เมนู

9. อัคคิกชาดก


ว่าด้วยหมาจิ้งจอกเจ้าเล่ห์


[ 129 ] "แหยมนี้มิใช่มีไว้ เพราะเหตุแห่งบุญ
มีไว้เป็นเลสอ้างของการหากิน ฝูงหนูไม่ครบ
จำนวน เพราะการนับด้วยหาง พอกันทีเถิด ท่าน
อัคคิกะเจ้าเล่ห์"

จบ อัคคิกชาดกที่ 9

อรรถกถาอัคคิกชาดกที่ 9


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภภิกษุผู้หลอกลวงนั่นแหละ ตรัสพระธรรมเทศนานี้
มีคำเริ่มต้นว่า นายํ สิขา ปุญฺญเหตุ ดังนี้ เรื่องปัจจุบัน เช่นเดียว
กับเรื่องที่กล่าวแล้วในหนหลัง.
ความย่อว่า ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราช-
สมบัติ อยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติ
เป็นพระยาหนูอยู่ในป่า ครั้งนั้นเมื่อเกิดไฟไหม้ป่า หมาจิ้งจอก
ตัวหนึ่งไม่สามารถจะหนีไปได้ทัน ก็ยืนเอาหัวยันไว้ที่ต้นไม้
ต้นหนึ่ง ขนทั้งตัวของมันถูกไฟไหม้ เหลือแต่ขนตรงที่มันเอาหัว
ไปยันต้นไม้ไว้หน่อยหนึ่ง เป็นเหมือนจุกบนกระหม่อม วันหนึ่ง
มันดื่มน้ำในตระพัง มองดูเงาเห็นจุกแล้วคิดว่า บัดนี้ สิ่งที่เป็น

รากฐานแห่งภัณฑะเกิดแก่เราแล้ว เมื่ออยู่ในป่า เห็นฝูงหนูนั้น
คิดว่า เราจักลวงกินหนูเหล่านี้ ได้ยืนอยู่ในที่ไม่ไกลตามนัยที่กล่าว
แล้วในหนหลังนั่นเทียว ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เที่ยวหากิน เห็นมัน
แล้วเข้าไปหา ด้วยสำคัญว่า ผู้นี้มีศีล แล้วถามว่า ท่านชื่อว่า
อย่างไร ? สุนัขจิ้งจอกตอบว่า เราชื่ออัคคิกภารทวาชะ ถามว่า
ท่านมาทำอะไรเล่า ? ตอบว่า มาเพื่อช่วยคุ้มครองพวกเจ้า
ถามว่า ท่านทำอย่างไร จึงจะคุ้มครองพวกเราได้ ตอบว่า เรารู้
วิธีคำนวณที่เรียกกันว่านับด้วยหาง ในเวลาที่พวกเจ้าพากัน
ออกไปหากินแต่เช้า เราก็นับไว้ว่ามีจำนวนเท่านี้ ในเวลากลับ
ก็ต้องนับดู เมื่อเราตรวจนับอยู่ทั้งเช้าทั้งเย็นอย่างนี้ ก็จักคุ้มครอง
พวกเจ้าได้ พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นก็จงคุ้มครองเถิดลุง
มันรับคำแล้ว ในเวลาที่พวกหนูออกไป ก็นับ หนึ่ง-สอง-สาม
เป็นต้น แม้ในเวลาที่กลับมาก็นับโดยทำนองเดียวกัน แล้วตะครุบ
เอาตัวหลังเพื่อนกินเสีย เรื่องที่เหลือก็เหมือนกับเรื่องก่อนนั่นแหละ
แต่ว่าในชาดกนี้ พระยาหนูหันกลับมายืนแล้วกล่าวว่า
เจ้าหมาอัคคิกภารทวาชะเจ้าเล่ห์ จุกบนหัวของเจ้า มิได้มีไว้
เพื่อความซึ่งสัตย์สุจริตยุติธรรม แต่มีไว้เพราะเหตุแห่งปากท้อง
แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า :-
"แหยมนี้ มิใช่มีไว้เพราะเหตุแห่งบุญ
มีไว้เป็นเลสอ้างของการหากิน ฝูงหนูไม่ครบ

จำนวน เพราะการนับด้วยหาง พอกันทีเถอะ
ท่านอัคคิกะเจ้าเล่ห์"
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นงฺคฏฺฐคณนํ ยาติ ท่านกล่าวไว้
หมายถึงการนับด้วยหาง อธิบายว่า ฝูงหนูนี้ไม่ถึง ไม่ใกล้เคียง
ไม่ครบจำนวน ได้แก่พร่องไป.
บทว่า อลนฺเต โหตุ อคฺคิก ความว่า พระยาหนู เมื่อจะพูด
ถึงสุนัขจิ้งจอก เรียกโดยชื่อว่า อัคคิกะ. อธิบายว่า อัคคิกะ
เจ้าเล่ห์เอ๋ย สำหรับเจ้าพอกันเพียงเท่านี้ทีเถิดนะ เบื้องหน้าแต่นี้
ต่อไป เจ้าจักกัดหนูกินอีกไม่ได้ เราหรือเจ้าเป็นอันเลิกอยู่ร่วมกัน
อธิบายว่า บัดนี้พวกเราจักไม่อยู่ร่วมกับเจ้าต่อไป ข้อความที่เหลือ
เช่นเดียวกับเรื่องก่อนนั่นแหละ.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกว่า หมาจิ้งจอกในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุนี้ในบัดนี้ ส่วน
พระยาหนูได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอัคคิกชาดกที่ 9

10. โกสิยชาดก


ว่าด้วยคำพูดกับการกระทำไม่สมกัน


[130] "ดูก่อนนางผู้โกสิยะ เจ้าจงกินยาให้สม
กับที่อ้างว่าป่วย หรือจงทำการงานให้สมกับ
อาหารที่บริโภคเพราะถ้อยคำ กับการกินของเจ้า
ทั้งสองอย่างไม่สมกันเลย"

จบ โกสิยชาดกที่ 10

อรรถกถาโกสิยชาดกที่ 10


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภมาตุคามในพระนครสาวัตถี นางหนึ่ง ตรัสพระธรรม-
เทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยถา วาจาว ภุญฺชสฺสุ ดังนี้.
ได้ยินว่า นางเป็นพราหมณีของพราหมณ์อุบาสก ผู้มี
ศรัทธาปสาทะผู้หนึ่ง เป็นหญิงประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง หยาบช้า
ลามก กลางคืนก็ประพฤตินอกใจ กลางวันก็ไม่ทำงานอะไร
แสดงท่าทางอย่างคนไข้ นอนทอดถอนใจอยู่ไปมา ครั้งนั้น
พราหมณ์ถามนางว่า แม่มหาจำเริญ เธอไม่สบาย เป็นอะไรไป
หรือ ? นางตอบว่า ลมมันเสียดแทงดิฉัน พราหมณ์ถามว่า
ถ้าอย่างนั้นได้อะไรถึงจะเหมาะเล่า ? นางตอบว่า ต้องได้รับ
ยาคูภัตรและน้ำมันเป็นต้น ที่ประณีต ๆ พราหมณ์ก็ไปหาสิ่ง