เมนู

5. กฏาหกชาดก


ว่าด้วยคนขี้โอ่


[125] "ผู้ใดไปสู่ชนบทอื่น ผู้นั้นพึงกล่าวอวด
แม้มากมาย ดูก่อนกฏาหกะ เจ้าของเงินจะตาม
มาประทุษร้ายเอา เชิญท่านบริโภคอาหารเสีย
เถิด"

จบ กฏาหกชาดกที่ 5

อรรถกถากฏาหกชาดกที่ 5


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเขตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภภิกษุผู้มักโอ่รูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำ
เริ่มต้นว่า พหุมฺปิ โส วิกตฺเถยฺย ดังนี้.
เรื่องของภิกษุนั้น เช่นกับเรื่องที่กล่าวแล้วในหนหลัง
นั่นแล.
แปลกแต่ว่า ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราช-
สมบัติ อยู่ใน พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น
เศรษฐีผู้มีสมบัติมาก ภรรยาของท่านคลอดกุมาร แม้ทาสีของ
ท่านก็คลอดบุตรในวันนั้นเหมือนกัน เด็กทั้งสองนั้นเติบโตมา
ด้วยกันทีเดียว เมื่อบุตรท่านเศรษฐีเรียนหนังสือก่อน แม้ลูกทาส
ของท่านก็ถือกระดานชนวนตามไป พลอยศึกษาหนังสือกับ

บุตรเศรษฐีนั้นด้วย ได้เขียนอ่านสองสามครั้ง ลูกทาสนั้นก็ฉลาด
ในถ้อยคำ ฉลาดในโวหารโดยลำดับ เป็นหนุ่มมีรูปงาม โดยนาม
ชื่อ กฏาหกะ เขาทำหน้าที่เป็นเสมียนคลังพัสดุ ในเรือนของ
ท่านเศรษฐี ดำริว่า คนเหล่านี้คงจะไม่ใช้ให้เรากระทำหน้าที่
เป็นเสมียนคลังพัสดุตลอดไป พอเห็นโทษอะไร ๆ เข้าหน่อย
ก็คงจะเฆี่ยน จองจำ ทำตราเครื่องหมาย แล้วก็ใช้สอยทำนอง
ทาสต่อไป ก็ที่ชายแดนมีเศรษฐีผู้เป็นสหายของท่านเศรษฐีไปใน
อยู่ ถ้ากระไร เราถือหนังสือด้วยถ้อยคำของท่านเศรษฐีไปใน
ที่นั้น บอกว่าเราเป็นลูกท่านเศรษฐี ลวงเศรษฐีนั้นแล้วขอ
ธิดาของท่านเศรษฐีเป็นคู่ครอง พึงอยู่อย่างสบาย เขาถือ
หนังสือไปด้วยตนเอง เขียนว่า ข้าพเจ้าส่งลูกชายของข้าพเจ้า
ชื่อโน้น ไปสู่สำนักของท่าน ขึ้นชื่อว่าความสัมพันธ์ฐาน
เกี่ยวดองกัน ระหว่างข้าพเจ้ากับท่าน และระหว่างท่านกับ
ข้าพเจ้า เป็นการสมควร เพราะฉะนั้น ขอท่านไปโปรดยกธิดา
ของท่านให้แก่ทารกนี้ แล้วให้เขาอยู่ในที่นั้นแหละ แม้ข้าพเจ้า
ได้โอกาสแล้ว จึงจะมา ดังนี้ เเล้วเอาตราของท่านเศรษฐี
นั่นแหละประทับ ถือเอาเสบียง และของหอม กับผ้าเป็นต้น
ไปตามชอบใจ ไปสู่ปัจจันตชนบท พบท่านเศรษฐี ไหว้แล้วยืนอยู่
ครั้งนั้นท่านเศรษฐีถามเขาว่า มาจากไหนเล่า พ่อคุณ ? ตอบว่า
มาจากพระนครพาราณสี ถามว่า พ่อเป็นลูกใคร ? ตอบว่า
เป็นบุตรของพาราณสีเศรษฐีขอรับ ถามว่า มาด้วยต้องการอะไร

เล่า พ่อคุณ ? ในขณะนั้น กฏาหกะก็ให้หนังสือ พร้อมกับกล่าวว่า
ท่านดูหนังสือนี้แล้วจักทราบ ท่านเศรษฐีอ่านหนังสือแล้ว ดีใจว่า
คราวนี้เราจะอยู่อย่างสบายละจัดแจงยกธิดาแต่งให้ บริวารของ
ท่านเศรษฐีมีเป็นอันมาก ในเมื่อมีผู้น้อมนำยาคูและของเคี้ยว
เป็นต้นเข้าไปให้ หรือน้อมนำผ้าที่อบด้วยของหอมใหม่ ๆ เข้าไป
ให้ ก็ติเตียนข้าวยาคูเป็นต้นว่า โธ่เอ๋ย คนบ้านนอก ต้มยาคูกัน
แบบนี้ ทำของเคี้ยวก็อย่างนี้ หุงข้าวกันแบบนี้เอง ติเตียนผ้าและ
กรรมกรเป็นต้นว่า เพราะเป็นคนบ้านนอกนั่นเอง พวกคนเหล่านี้
จึงไม่รู้จักใช้ผ้าใหม่ ๆ ไม่รู้จักอบของหอม ไม่รู้จักร้อยกรอง
ดอกไม้.
พระโพธิสัตว์ เมื่อไม่เห็นทาส ก็ถามว่า กฏาหกะ เราไม่
พบหน้าเลย มันไปไหน ช่วยกันตามมันทีเถิด ดังนี้แล้ว ใช้ให้คน
เที่ยวหาโดยรอบ บรรดาคนเหล่านั้น คนหนึ่งไปที่นั้นเห็นเขาแล้ว
จำเขาได้ เขาไม่รู้ว่าตนมา ไปบอกแก่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์
ฟังเรื่องนั้นแล้วคิดว่า มันทำไม่สมควรเลย ต้องไปจับมา กราบทูล
พระราชา ออกจากบ้านไปด้วยบริวารเป็นอันมาก ข่าวปรากฏ
ไปทั่วว่า ได้ยินว่าท่านเศรษฐีไปสู่ปัจจันตชนบท กฏาหกะฟังว่า
ท่านเศรษฐีมา คิดว่าท่านคงไม่มาด้วยเรื่องอื่น ต้องมาด้วยเรื่อง
เรานั่นแหละ ก็ถ้าเราจักหนีไปเสีย จักไม่อาจกลับมาได้อีก ก็
อุบายนั้นยังพอมี เราต้องไปพบกับท่านผู้เป็นนาย แล้วกระทำ
กิจของทาส ทำให้ท่านโปรดปรานให้จนได้ จำเดิมแต่นั้น เขา

กล่าวอย่างนี้ในท่ามกลางบริษัทว่า พวกคนพาลอื่น ๆ ไม่รู้คุณ
ของมารดาบิดา เพราะตนเป็นคนพาล ในเวลาที่ท่านบริโภค ก็
ไม่กระทำความนอบน้อม บริโภครวมกับท่านเสียเลย ส่วนเรา
ในเวลามารดาบิดาบริโภค ย่อมคอยยกสำรับเข้าไป ยกกระโถน
เข้าไป ยกของบริโภคเข้าไปให้ บางทีก็หาน้ำดื่มให้ บางทีก็
พัดให้ เข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ ดังนี้แล้ว ประกาศกิจที่พวกทาสต้อง
กระทำแก่นายทุกอย่าง ตลอดถึงการถือกระออมน้ำไปในที่ลับ
ในเวลาที่นายถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ครั้นให้บริษัทกำหนด
อย่างนี้แล้ว เวลาที่พระโพธิสัตว์มาใกล้ปัจจันตชนบท ก็บอกกับ
เศรษฐีผู้เป็นพ่อตาว่า คุณพ่อครับ ได้ยินว่า บิดาของผมมา
เพื่อพบคุณพ่อ คุณพ่อโปรดให้เขาเตรียมขาทนียโภชนียาหาร
เถิดครับ ผมจักถือเอาเครื่องบรรณาการสวนทางไป พ่อตาก็
รับคำว่า ดีแล้วพ่อ.
กฏาหกะถือเอาบรรณาการไปเป็นอันมาก เดินทางไป
พร้อมด้วยบริวารกลุ่มใหญ่ ไหว้พระโพธิสัตว์แล้วให้บรรณาการ
ฝ่ายพระโพธิสัตว์รับบรรณาการ กระทำปฏิสันถารกับเขา ถึง
เวลาบริโภคอาหารเช้า ก็ให้ตั้งกองพัก แล้วเข้าไปสู่ที่ลับเพื่อ
ถ่ายสรีรวลัญชะ กฏาหกะให้บริวารของตนกลับแล้ว ถือกระออม-
น้ำ ไปสำนักพระโพธิสัตว์ เมื่อเสร็จอุทกกิจแล้ว ก็หมอบที่เท้า
ทั้งสอง กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นนาย กระผมจักให้ทรัพย์แก่
ท่าน เท่าที่ท่านปรารถนา โปรดอย่าให้ยศของกระผมเสื่อมไป

เลย ขอรับ พระโพธิสัตว์เลื่อมใสในความสมบูรณ์ด้วยวัตรของ
เขา ปลอบโยนว่า อย่ากลัวเลย อันตรายจากสำนักของเราไม่มี
แก่เจ้าดอก แล้วเข้าสู่ปัจจันตนคร สักการะอย่างมากได้มีแล้ว
ฝ่ายกฏาหกะก็กระทำกิจที่ทาสต้องทำแก่ท่านตลอดเวลา ครั้งนั้น
ปัจจันตเศรษฐีกล่าวกะพระโพธิสัตว์ผู้นั่งอย่างสบายในเวลาหนึ่ง
ว่า ข้าแต่ท่านเศรษฐี พอผมเห็นหนังสือของท่านเข้าเท่านั้น
ก็ยกบุตรสาวให้แก่บุตรของท่านทีเดียว พระโพธิสัตว์ก็กระทำ
กฏาหกะให้เป็นบุตรเหมือนกัน กล่าวถ้อยคำเป็นที่รักอันคู่ควรกัน
ให้เศรษฐียินดีแล้ว ตั้งแต่นั้นก็ไม่มีใครสามารถมองหน้ากฏาหกะ
ได้เลย อยู่มาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์เรียกธิดาเศรษฐีมาหากล่าวว่า
มานี่เถิดแม้คุณ ช่วยหาเหาบนศีรษะของเราหน่อยเถิด ดังนี้แล้ว
กล่าวถ้อยคำอันเป็นที่รัก กะนางผู้มายืนหาเหาให้ ถามว่า แม่คุณ
ลูกของเราไม่ประมาทในสุขทุกข์ของเจ้าดอกหรือ เจ้าทั้งสอง
ครองรักสมัครสมานกันดีอยู่หรือ ? นางตอบว่า ข้าแต่คุณพ่อ
มหาเศรษฐี บุตรของท่านไม่มีข้อตำหนิอย่างอื่นดอก นอกจาก
จะคอยจู้จี้เรื่องอาหารเท่านั้น ท่านเศรษฐีกล่าวว่า แม่คุณ เจ้าลูก
คนนี้ มีปกติกินยากเรื่อยมาทีเดียว เอาเถิด พ่อจะให้มนต์สำหรับ
ผูกปากมันไว้แก่เจ้า เจ้าจงเรียนมนต์นั้นไว้ให้ดี เมื่อลูกเราบ่น
ในเวลากินข้าวละก็ เจ้าจงยืนกล่าวตรงหน้า ตามข้อความที่เรียน
ไว้ แล้วให้นางเรียนคาถา พักอยู่สองสามวัน ก็กลับพระนคร-
พาราณสีตามเดิม ฝ่ายกฏาหกะ ขนขาทนีย โภชนียาหารมากมาย

ตามไปส่งให้ทรัพย์เป็นอันมากแล้วกราบลากลับ ตั้งแต่เวลาที่
พระโพธิสัตว์กลับไปแล้ว เขายิ่งเย่อหยิ่งมากขึ้น วันหนึ่ง เมื่อ
ธิดาเศรษฐีน้อมนำโภชนะมีรสเลิศต่าง ๆ เข้าไปให้ ถือทัพพี
คอยปรนนิบัติอยู่ เขาเริ่มติเตียนอาหาร เศรษฐีธิดาจึงกล่าว
คาถานี้ ตามทำนองที่เรียนแล้ว ในสำนักของพระโพธิสัตว์ ว่า :-
"ผู้ใดไปสู่ชนบทอื่น ผู้นั้นพึงกล่าวอวด
แม้มากมาย ดูก่อนกฏาหกะ เจ้าของเงินจะติดตาม
มาประทุษร้ายเอา เชิญท่านบริโภคอาหารเสีย
เถิด"
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พทุมฺปิ โส วิกตฺเถยฺย อญฺญํ
ชนปทํ คโต
ความว่า ผู้ใดไปสู่ชนบทอื่น จากชาติภูมิของตน
ในที่ใดไม่มีคนรู้กำเนิดของเขา ผู้นั้นพึงจู้จี้ คือกล่าวคำข่มแม้
มากก็ได้.
บทว่า อนฺวาคนฺตฺวาน ทูเสยฺย ความว่า เพราะย้อนทาง
ไปทำกิจของทาสให้แก่นายแล้ว เจ้าจึงพ้นจากการถูกเฆี่ยน
ด้วยหวาย อันจะถลกหนังสันหลังขึ้น และการตีตราทำเครื่องหมาย
ทาสไปคราวหนึ่งก่อน ถ้าเจ้าขืนทำไม่ดี ในคราวหลังเขาย้อน
กลับมา นายของเจ้าพึงตามประทุษร้ายได้ คือมาตามตัวถึง
เรือนนี้ แล้วประทุษร้ายทำลายเจ้าอีกได้ ด้วยการเฆี่ยนด้วย
หวาย ด้วยการตีตราเครื่องหมายทาส และด้วยการประกาศ
กำเนิดก็ได้ เหตุนั้น กฏาหกะเอ๋ย เจ้าจงละความประพฤติไม่ดี

นี้เสีย บริโภคโภคะทั้งหลายเถิด อย่าทำให้ความเป็นทาสของตน
ปรากฏแล้วเป็นผู้ต้องเดือดร้อนในภายหลังเลย นี้แลเป็นอรรถาธิบาย
ของท่านเศรษฐี.
ส่วนธิดาเศรษฐี. ไม่รู้ความหมายนั้น กล่าวได้คล่องแต่
พยัญชนะ ตามข้อขอดที่เรียนมาเท่านั้น กฏาหกะคิดว่า ท่าน-
เศรษฐีบอกเรื่องโกงของเราแล้ว คงบอกเรื่องทั้งหมดแก่นางนี้
แล้วเป็นแน่ ตั้งแต่นั้นก็ไม่กล้าติเตียนภัตรอีก ละมานะได้ บริโภค
ตามมีตามได้ ไปตามยถากรรม.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกว่า กฏาหกะในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุผู้มักโอ้อวด ส่วน
พาราณสีเศรษฐีได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากฏาหกชาดกที่ 5

6. อสิลักขณชาดก


ว่าด้วยเหตุอย่างเดียวกัน คนได้ผลต่างกัน


[126] "เหตุอย่างเดียวกันนั่นแหละ เป็นผลดีแก่
คนหนึ่ง แต่เป็นผลร้ายแก่อีกคนหนึ่งได้ เพราะ
ฉะนั้นเหตุอย่างเดียวกัน มิใช่ว่าจะเป็นผลดีไป
ทั้งหมด และมิใช่ว่าจะเป็นผลร้ายเสมอไป"

จบ อสิลักขณชาดกที่ 6

อรรถกถาอสิลักขณชาดกที่ 6


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภพราหมณ์ผู้ตรวจลักษณะดาบของพระเจ้าโกศล
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ตเถเวกสฺส กลฺยาณํ
ดังนี้ :-
ได้ยินว่าพราหมณ์นั้น ในเวลาที่พวกช่างเหล็ก นำดาบ
มาถวายพระราชา ก็สูดดมดาบ แล้วชี้ถึงลักษณะดีชั่วของดาบ
เขาได้ลาภจากมือของช่างดาบพวกใด ก็กล่าวดาบของช่างพวกนั้น
ว่าสมบูรณ์ด้วยลักษณะ ประกอบด้วยมงคล ไม่ได้จากมือของ
ช่างพวกใด ก็ติเตียนดาบของช่างพวกนั้นว่า อัปลักษณ์ ครั้งนั้น
ช่างดาบคนหนึ่งกระทำดาบแล้ว ใส่พริกป่นอย่างละเอียดในฝัก
นำดาบมาถวายพระราชา พระราชารับสั่งหาพราหมณ์มาตรัส