เมนู

7. ติตติรชาดก


ว่าด้วยตายเพราะปาก


[117] "วาจาที่ดังเกินไป ความเป็นผู้รุนแรง
เกินไป พูดล่วงเวลา ย่อมฆ่าผู้มีปัญญาทรามเสีย
ดุจวาจาฆ่านกกระทา ผู้ขันดังเกินไป ฉะนั้น"

จบ ติตติรชาดก 7

อรรถกถาติตติรชาดกที่ 7


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภภิกษุชื่อโกกาลิกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำ
เริ่มต้นว่า อจฺจุคฺคตา อติพลตา ดังนี้ เรื่องของโกกาลิกภิกษุนั้น
จักแจ่มแจ้งในตักการิยชาดก เตรสนิบาต.
แต่ในชาดกนี้ พระศาสดาทรงรับสั่งว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลายมิใช่แต่บัดนี้เท่านั้น ที่โกกาลิกะอาศัยวาจาของตน
ต้องพินาศ แม้ในครั้งก่อนก็เคยพินาศมาแล้วเหมือนกัน แล้วทรง
นำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ อยู่ใน
พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลอุทิจจพราหมณ์
เจริญวัย เรียนศิลปะทุกอย่างในเมืองตักกสิลา ละกาม




ทั้งหลายเสียแล้วบวชเป็นฤาษี ทำอภิญญา 5 สมาบัติ 8 ให้เกิด
แล้ว คณะฤาษีทั้งปวงประชุมกันในหิมวันตประเทศ ตั้งให้ท่านเป็น
อาจารย์ผู้ให้โอวาท ยอมตนเป็นบริวาร ท่านได้เป็นอาจารย์ผู้ให้โอวาท
ของฤาษี 500 เล่นอยู่ด้วยฌานกรีฑาอยู่ในป่าหิมพานต์ ครั้งนั้น ดาบส
ผู้หนึ่ง เป็นโรคผอมเหลือง ถือพร้าไปผ่าไม้ ครั้งนั้นดาบสปากกล้า
ผู้หนึ่ง นั่งอยู่ใกล้ ๆ ดาบสผอมนั้น พูดว่า จงฟันในที่นี้ จงฟัน
ในที่นี้ ทำให้ดาบสผอมนั้นขัดเคือง เธอโกรธแล้วกล่าวว่า เดี๋ยวนี้
ท่านไม่ใช่อาจารย์ฝึกหัตศิลปะในการผ่าฟืนของเรานะ แล้ว
เงื้อพร้าอันคม ฟันทีเดียวเท่านั้น ทำให้ดาบสปากกล้าถึงสิ้น
ชีวิต พระโพธิสัตว์ให้กระทำสรีรกิจแก่เธอแล้ว ในครั้งนั้น
ที่เชิงจอมปลวกแห่งหนึ่ง ไม่ไกลอาศรมบท นกกระทาตัวหนึ่ง
อาศัยอยู่ ทุกเช้าทุกเย็นมันยืนอยู่บนยอดจอมปลวก ขันเสียง
ดังลั่น ฟังเสียงนั้นแล้ว พรานผู้หนึ่งคิดว่า น่าจะมีนกกระทา
จึงสะกดไปด้วยหมายเสียงเป็นสำคัญ ฆ่ามันแล้วถือเอาไป
พระโพธิสัตว์ไม่ได้ยินเสียงมัน ถามพวกดาบสว่า ที่ตรงโน้น
มีนกกระทำอาศัยอยู่ เพราะเหตุไรเล่าหนอ จึงไม่ได้ยินเสียงมัน ?
พวกดาบสบอกเรื่องนั้นแก่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เทียบเคียง
เหตุการณ์ทั้งสองอย่างแม้เหล่านั้นแล้ว กล่าวคาถานี้ ในท่ามกลาง
หมู่ฤๅษี ความว่า :-
วาจาที่ดังเกินไป ความเป็นผู้รุนแรง
เกินไป พูดล่วงเวลา ย่อมฆ่าผู้มีปัญญาทรามเสีย

ดุจวาจาที่ฆ่านกกระทา ผู้ขันดังเกินไป ฉะนั้น
ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อจฺจุคฺคตา แปลว่า วาจาที่สูง
เกินไป.
บทว่า อติพลตา ได้แก่วาจาที่รุนแรงเกินไป เพราะกล่าว
ซ้ำ ๆ ซาก ๆ.
บทว่า อติเวลํ ปภาสิตา ได้แก่ วาจาที่ล่วงเวลา คือ
คำทูลที่กล่าวเกินประมาณ.
บทว่า ติตฺติรํวาติวสฺสิตํ ความว่า เสียงขันที่ดังเกินไป
ย่อมกำจัดนกกระทาเสียฉันใด วาจาเห็นปานนี้ ย่อมกำจัดคนโง่ ๆ
คือคนพาลเสียฉันนั้น.
พระโพธิสัตว์ให้โอวาทแก่หมู่ฤาษีด้วยประการฉะนี้ เจริญ
พรหมวิหาร 4 ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้
เท่านั้น ที่โกกาลิกภิกษุอาศัยคำพูดของตน ฉิบหายแล้ว แม้
ในครั้งก่อนก็เคยฉิบหายแล้วเหมือนกัน ครั้นทรงนำพระธรรม-
เทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า ดาบสว่ายากในครั้งนั้น
ได้มาเป็นโกกาลิกภิกษุ คณะฤๅษี ได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วน
ศาสดาแห่งคณะได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาติตติรชาดกที่ 7

8. วัฏฏกชาดก


ว่าด้วยการใช้ความคิดให้เป็นประโยชน์


[118] "บุรุษเมื่อไม่คิด ก็ย่อมไม่ได้ผลพิเศษ
ท่านจงดูผลแห่งอุบายที่เราคิดเถิด เราพ้นจาก
การถูกฆ่าและจองจำ ก็ด้วยอุบายนั้น"

จบ วัฏฏกชาดกที่ 8

อรรถกถาวัฏฏกชาดกที่ 8


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภบุตรของอุตตรเศรษฐี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มี
คำเริ่มต้นว่า นาจินฺตยนฺโต ปุริโส ดังนี้.
ได้ยินว่า ในพระนครสาวัตถี ได้มีเศรษฐีชื่อว่า อุตตระ
มีสมบัติมาก สัตว์ผู้มีบุญผู้หนึ่ง จุติจากพรหมโลก ถือปฏิสนธิ
ในท้องแห่งภรรยาของท่านเศรษฐี เจริญวัย มีรูปงดงาม แจ่มใส
มีผิวพรรณเพียงดังพรหม อยู่มาวันหนึ่งในพระนครสาวัตถี
เมื่องานนักขัตฤกษ์ประจำเดือน 12 ได้ป่าวร้องไปทั่วแล้ว
โลกทั้งหมดได้เป็นประเทศมีงานนักขัตฤกษ์ บุตรเศรษฐีอื่น ๆ
ผู้เป็นสหายของเศรษฐีบุตรนั้น ได้มีภรรยากันแล้ว แต่เพราะ
เหตุที่บุตรของท่านอุตตรเศรษฐี อยู่ในพรหมโลกตลอดกาลนาน