เมนู

8. กูฏวาณิชชาดก


ว่าด้วยพ่อค้าโกง


[98] คนที่ชื่อบัณฑิตดีแน่ ส่วนคนที่ชื่อว่า
อติบัณฑิตไม่ดีเลย เพราะว่าเจ้าอติบัณฑิต ลูกเรา
เกือบเผาเราเสียแล้ว.

จบ กูฏวาณิชชาดกที่ 8

อรรถกถากูฏวาณิชชาดกที่ 8


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภพ่อค้าโกงผู้หนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า สาธุ โข ปณฺฑิโต นาม ดังนี้ :-
ความย่อว่า คนสองคนในเมืองสาวัตถี ร่วมทุนกันทำการค้า
คุมขบวนเกวียนสินค้าไปสู่ชนบท ได้ของแล้วพากันกลับ ใน
พ่อค้าทั้งสองนั้น พ่อค้าโกงคิดว่า พ่อค้าผู้เป็นสหายเราคนนี้
ตรากตรำด้วยการกินไม่ดี นอนลำบาก มาหลายวันแล้ว คราวนี้
เขาจักกินโภชนะดี ๆ ด้วยรสเลิศต่าง ๆ ในเรือนของเขาจน
พอใจ จักตายด้วยโรคอาหารไม่ย่อย เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจักแบ่ง
ของนี้ออกเป็น 3 ส่วน ให้เด็ก ๆ ของเขาส่วนหนึ่ง อีก 2 ส่วน
เราจักเอาเสียเอง เขาผลัดวันอยู่ว่า จักแบ่งในวันนี้ จักแบ่งใน

วันพรุ่งนี้ ดังนี้แล้ว ไม่อยากจะแบ่งภัณฑะเลย ฝ่ายพ่อค้าผู้เป็น
บัณฑิต ก็คาดคั้นเขาผู้ไม่ปรารถนาจะแบ่ง ให้แบ่งจนได้ แล้ว
ไปสู่พระวิหาร ถวายบังคมพระศาสดา ได้รับปฏิสันถารที่ทรง
กระทำ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งถามว่า ดูท่านชักช้านัก
มาถึงพระนครนี้แล้ว กว่าจะมาสู่ที่เฝ้าก็นาน จึงกราบทูลเรื่องนั้น
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าให้ทรงทราบ พระบรมศาสดาตรัสว่า
ดูก่อนอุบาสก มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่นายพาณิชนั้นเป็น
พาณิชโกง แม้ในกาลก่อนก็เคยเป็นพาณิชโกงมาแล้วเหมือนกัน.
แต่ในครั้งนี้มุ่งจะลวงท่าน แม้ในครั้งก่อนก็ไม่อาจจะหลอกลวง
บัณฑิตได้ อันอุบาสกกราบทูลอาราธนา แล้วทรงนำเอาเรื่องใน
อดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพ่อค้า ในพระนคร
พาราณสี ในวันขนานนาม หมู่ญาติตั้งชื่อให้ท่านว่า บัณฑิต
ท่านเจริญวัยแล้ว เข้าหุ้นกับพ่อค้าอื่นทำการค้า พ่อค้านั้นชื่อว่า
อติบัณฑิต ทั้งคู่ชวนกันบรรทุกภัณฑะด้วยเกวียน 500 เล่ม
ไปสู่ชนบท ทำการค้าได้ของมามากมาย พากันกลับมายัง
พระนครพาราณสี ครั้นถึงเวลาที่จะแบ่งข้าวของกัน อติบัณฑิต
ก็กล่าวว่า ข้าพเจ้าควรได้สองส่วน พระโพธิสัตว์ถามว่า เพราะ
เหตุไรเล่า ? เขาตอบว่า ท่านชื่อบัณฑิต ข้าพเจ้าชื่ออติบัณฑิต
บัณฑิตควรได้ส่วนเดียว อติบัณฑิตควรได้สองส่วน พระโพธิสัตว์

ถามว่า ทุนที่ซื้อของก็ดี พาหนะมีโคเป็นต้นก็ดี แม้ของทั้งสอง
ก็เท่า ๆ กันมิใช่หรือ เหตุใดเล่าท่านจึงควรจะได้สองส่วน ?
เขาตอบว่า เพราะข้าพเจ้าเป็นอติบัณฑิต ทั้งสองคนโต้เถียงกัน
อยู่อย่างนี้ แล้วก็ทะเลาะกัน ลำดับนั้นอติบัณฑิตคิดได้ว่า ยังมี
อุบายอยู่อีกอันหนึ่ง จึงให้บิดาของตนเข้าไปซ่อนอยู่ในโพรงไม้
ต้นหนึ่ง สั่งไว้ว่า เวลาเราทั้งสองมาถึงละก็ คุณพ่อต้องพูดว่า
อติบัณฑิตควรจะได้สองส่วนนะครับ แล้วไปหาพระโพธิสัตว์
กล่าวว่า สหายรัก รุกขเทวดานั้นย่อมรู้การที่เราควรจะได้
สองส่วน หรือไม่ควร มาเถิดท่าน เราจักถามรุกขเทวดานั้นดู
แล้วพากันไปที่ต้นไม้นั้นแหละ กล่าวว่า ข้าแต่รุกขเทวดา ผู้เป็น
เจ้าไพร เชิญตัดสินคดีของเราด้วยเถิด ครั้งนั้น บิดาของเขาก็
เปลี่ยนเสียงให้เพี้ยนไป พูดว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงบอก
เรื่องราว อติบัณฑิตก็พูดว่า ข้าแต่เจ้าไพร ท่านผู้นี้ชื่อบัณฑิต
ข้าพเจ้าชื่ออติบัณฑิต เราทั้งสองเข้าหุ้นกันทำการค้าขาย ใน
เรื่องนั้นเขาควรได้รับอย่างไร ? (มีเสียงดังขึ้นว่า) บัณฑิตได้
ส่วนหนึ่ง อติบัณฑิตได้ 2 ส่วน พระโพธิสัตว์ฟังคดีที่เทวดา
วินิจฉัยแล้วอย่างนี้ คิดว่า เดี๋ยวเถอะ จะได้รู้กันว่า เป็นเทวดา
หรือไม่ใช่เทวดา แล้วไปหอบฟางมาใส่โพรงไม้จุดไฟทันที บิดา
ของอติบัณฑิต เวลาที่เปลวไฟถูกตนก็ร้อน เพราะสรีระเกือบ
จะไหม้ จึงทะลึ่งขึ้นข้างบน คว้ากิ่งไม้โหนไว้แล้วโดดลงดิน
พลางกล่าวคาถาว่า

" คนที่ชื่อบัณฑิตดีแน่ ส่วนคนที่ชื่อว่า
อติบัณฑิตไม่ดีเลย เพราะว่า เจ้าอติบัณฑิตลูกเรา
เกือบเผาเราเสียแล้ว "

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาธุ โข ปณฺฑิโต นาม ความว่า
บุคคลผู้ประกอบด้วยคุณเครื่องความเป็นบัณฑิต รู้เหตุและสิ่ง
ที่ไม่ใช่เหตุ จัดเป็นคนดีงามในโลกนี้.
บทว่า อติปณฺฑิโต ความว่า คนโกง ๆ เป็นอติบัณฑิต
ด้วยเหตุสักว่าชื่อ ไม่ประเสริฐเลย.
บทว่า มนมฺหิ1 อุปกุฏฺฐิโต ความว่า เราถูกไฟไหม้ไปหน่อย
หนึ่ง รอดพ้นจากการไหม้ตั้งครึ่งตัวมาได้อย่างหวุดหวิดทีเดียว.
แม้คนทั้งสองนั้น ต่างก็แบ่งกันคนละครึ่ง ถือเอาส่วนเท่า ๆ กัน
ทีเดียว แล้วต่างก็ไปตามยถากรรม.
พระศาสดาทรงนำเอาเรื่องในอดีตนี้มาสาธกว่า แม้ในครั้งก่อน
พาณิชนั้น ก็เป็นนายพาณิชโกงเหมือนกัน แล้วทรงประชุมชาดก
ว่า พ่อค้าโกงในครั้งนั้น ได้มาเป็นพ่อค้าโกงในปัจจุบันนี้แหละ
ส่วนพ่อค้าผู้เป็นบัณฑิต ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากูฏวาณิชชาดกที่ 8
1. บาลีเป็น มนมฺหิ แต่อฏฺฐกถาเป็น ปนมฺหิ ฯ

9. ปโรสหัสสชาดก


ว่าด้วยคนผู้มีปัญญา


[99 ] "แม้จะมีผู้มาประชุมกัน ตั้งพันกว่า
พวกเหล่านั้น ก็ไม่มีปัญญา พึงคร่ำครวญไปตั้ง
100 ปี บุรุษผู้มีปัญญา รู้แจ้งความหมายของคำ
ที่เรากล่าวแล้ว ผู้เดียวเท่านั้น ประเสริฐกว่า"

จบ ปโรสหัสสชาดกที่ 9

อรรถกถาปโรสหัสสชาดกที่ 9


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภปัญหาในปุถุชน มีบุคคลเป็นที่ 5 ตรัสพระธรรมเทศนา
นี้ มีคำเริ่มต้นว่า ปโรสหสฺสมฺปิ สมาคตานํ ดังนี้.
เรื่องจักปรากฏชัดเจนในสรภังคชาดก ก็สมัยหนึ่ง ภิกษุ
ทั้งหลายประชุมกันในธรรมสภา นั่งสนทนากันถึงเรื่องคุณของ
พระเถระเจ้าว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร
พยากรณ์ปัญหาที่พระทศพลตรัสโดยย่อได้โดยพิสดาร พระ-
ศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่ง
ประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูล
ให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้