เมนู

6. เตลปัตตชาดก


ว่าด้วยการรักษาจิต


[96] "บุคคลพึงประคอง ภาชนะอันเต็มเปี่ยม
ด้วยน้ำมัน ฉันใด บัณฑิตผู้ปรารถนาจะไปสู่ทิศ
ที่ยังไม่เคยไป ก็พึงตามรักษาจิตของตนไว้ ด้วย
สติฉันนั้น"

จบ เตลปัตตชาดกที่ 6

อรรถกถาเตลปัตตชาดกที่ 6


พระบรมศาสดา เมื่อทรงอาศัยนิคมชื่อ เสตกะ ในสุมภรัฐ
ประทับอยู่ ณ ไพรสณฑ์ตำบลหนึ่ง ทรงปรารภชนบทกัลยาณีสูตร
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า สมติตฺติกํ อนวเสสกํ
ดังนี้.
แท้จริงในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสชนบทกัลยาณี-
สูตร พร้อมด้วยอรรถ พร้อมด้วยพยัญชนะนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เปรียบเสมือนว่า พอได้ยินว่า นางงามในชนบท นางงาม
ในชนบท ดังนี้ หมู่มหาชนพึงประชุมกัน ยิ่งได้ยินว่า ก็นางงาม
ในชนบทนี้นั้น เป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างยอดเยี่ยมในการฟ้อน เป็น
ผู้เชี่ยวชาญอย่างยอดเยี่ยมในการขับ นางงามในชนบทจะฟ้อน

จะขับ หมู่มหาชนจะประชุมกันอย่างแออัด ที่นั้นบุรุษผู้ดำรงชีพ
ใฝ่หาความสำราญ รังเกียจความทุกข์ ก็จะพึงมา พระราชาพึง
รับสั่งกะเขาอย่างนี้ว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ โถน้ำมันอันเต็มเปี่ยมนี้
เจ้าจงนำไปในระหว่างหมู่มหาชน และนางชนบทกัลยาณี และจัก
มีคนเงื้อดาบ จ้องเดินตามไปข้างหลัง เจ้าทำน้ำมันนั้นให้หก
แม้หน่อยเดียว ณ ที่ใด เราจักสั่งให้เขาตัดศีรษะเจ้า ณ ที่นั้นแหละ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจักสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน บุรุษ
นั้นจะไม่พึงเอาใจใส่โถน้ำมันโน้น แล้วมามัวประมาทเสียใน
อารมณ์ภายนอก ? ข้อนั้นจะไม่พึงเป็นอย่างนั้นเลย พระเจ้าข้า.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออุปมานี้ เรากล่าวเพื่อให้พวกเธอทราบ
ความ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความข้อนี้ในเรื่องนี้ว่า โถน้ำมันเต็ม
เปี่ยมเสมอขอบ เป็นชื่อของสติอันเป็นไปในกายแล ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เหตุนั้นพวกเธอพึงศึกษาในข้อนี้อย่างนี้ว่า สติไปแล้ว
ในกายจักเป็นข้อที่พวกเราทั้งหลายจักต้องทำให้มีให้เป็นจงได้
เริ่มแล้วด้วยดีให้จงได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงศึกษา
อย่างนี้แล.
ในพระสูตรนั้นมีคำอธิบายย่อ ๆ ดังนี้ ที่ชื่อว่าชนบท
กัลยาณีนั้น ได้แก่นางงามในชนบท คือ เป็นหญิงงามเยี่ยม
ปราศจากโทษแห่งสรีระ 6 ประการ ถึงพร้อมด้วยความงาม
5 ประการ เพราะเหตุที่นางชนบทกัลยาณีนั้น เป็นหญิงไม่สูง
เกินไป ไม่ต่ำเกินไป ไม่ผอมเกินไป ไม่อ้วนเกินไป ไม่ดำเกินไป

ไม่ขาวเกินไป ขนาดยิ่งกว่าผิวมนุษย์ ไม่ถึงกับผิวเทวดา ฉะนั้น
นางจึงได้ชื่อว่า เว้นจากโทษแห่งสรีระ 6 ประการ และเพราะเหตุ
ที่นางประกอบด้วยความงาม 5 ประการเหล่านี้ คือ ผิวงาม
เนื้องาม เอ็นงาม กระดูกงาม วัยงาม ฉะนั้นจึงชื่อว่าถึงพร้อม
แล้วด้วยความงาม 5 ประการ แท้จริงหญิงเบญจกัลยาณีนั้น
ไม่จำเป็นต้องทำการเสริมสวยใหม่ ย่อมกระทำให้แสงสว่าง
ได้ในที่ประมาณ 12 ศอก ด้วยแสงสว่างแห่งร่างกายของตน
นั่นแล ผิวนางเสมอด้วยดอกประยงค์ หรือมิฉะนั้นก็เสมอด้วย
ทอง นี้เป็นความมีผิวงามของนาง อนึ่งมือและเท้าของนางทั้ง 4
และริมฝีปาก เป็นดุจย้อมด้วยน้ำครั่ง เป็นเช่นกับแก้วประพาฬ
สีแดง และผ้ากัมพลสีแดง นี้เป็นความมีเนื้องามของนาง แผ่น
เล็บทั้ง 20 ในที่ที่ยังไม่พ้นจากเนื้อ ดูดุจอิ่มด้วยน้ำครั่ง ในที่ที่
พ้นเนื้อ เป็นเช่นกับสายธารแห่งน้ำนม นี้เป็นความมีเอ็นงาม
ของนาง ฟันทั้ง 32 ซี่ สนิทเรียบ งามปรากฏดุจระเบียบเพชร
ที่เจียรนัยแล้ววางไว้ นี้เป็นความมีกระดูกงามของนาง อนึ่งแม้
นางมีอายุ 120 ปี ก็ยังดูสดใสเหมือนมีอายุได้ 16 ริ้วรอย
(เหี่ยวย่น) ไม่ปรากฏ ผมไม่หงอก นี้เป็นความมีวัยงามของนาง
ก็ในบทที่ว่า นางเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างยอดเยี่ยมมีอธิบายว่า
มีความชำนาญ คือประสบการณ์เป็นไป ความชำนาญ ก็คือ
ประสบการณ์นั่นเอง ความชำนาญชั้นยอดเยี่ยม ชื่อว่า มีความ
ชำนาญอย่างยอดเยี่ยม นางชื่อว่า ปรมปาสาวินี เพราะเป็นหญิง

มีความชำนาญอย่างยอดเยี่ยม ท่านอธิบายไว้ว่า มีความคล่องตัว
อย่างสูง คือมีลีลาอันประเสริฐในการฟ้อนหรือในการขับ คือ
ฟ้อนได้อย่างอ่อนช้อย และขับกล่อมได้อย่างไพเราะ.
ข้อที่ว่า ลำดับนั้น บุรุษพึงมานั้น มิได้หมายความว่า
บุรุษมาด้วยความพอใจของตน ก็ในข้อนี้ท่านอธิบายว่า ครั้ง
เมื่อนางงามในชนบทนั้นกำลังฟ้อนอยู่ท่ามกลางมหาชนนั้น และ
มีเสียงสาธุการว่า สวยแท้ งามจริง ทั้งเสียงดีดนิ้ว ทั้งการ
โบกผ้า กำลังเป็นไปอยู่อย่างสนั่นหวั่นไหว พระราชาทรงทราบ
พฤติกรรมนั้น รับสั่งให้เรียกนักโทษคนหนึ่งออกมาจากเรือนจำ
ถอดขื่อคาออกเสีย ประทานโถน้ำมัน มีน้ำมันเต็มเปี่ยมเสมอขอบ
ไว้ในมือของเขา ให้ถือไว้มั่นด้วยมือทั้งสอง ทรงสั่งบังคับบุรุษ
ผู้ถือดาบคนหนึ่งว่า จงพานักโทษผู้นี้ไปสู่สถานมหรสพของ
นางงามในชนบท และถ้าบุรุษผู้นี้ถึงความประมาท เทหยดน้ำมัน
แม้หยดเดียวลงในที่ใดแล จงตัดศีรษะเขาเสียในที่นั้นทีเดียว
บุรุษนั้นเงื้อดาบตะคอกเขาพาไป ณ ที่นั้น เขาอันมรณภัยคุกคาม
แล้ว ไม่ใส่ใจถึงนางด้วยสามารถแห่งความประมาทเลย ไม่ลืมตา
ดูนางชนบทกัลยาณีนั้น แม้ครั้งเดียว เพราะต้องการจะอยู่รอด
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เคยมีมาแล้วอย่างนี้ ก็เรื่องนี้พึงทราบว่า พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแล้วด้วยสามารถแห่งการสมบัติในพระสูตร
ก็ในบทว่า อุปมา โข มยายํ นี้ ทรงกระทำการอุปมาเทียบเคียง
โถน้ำมันกับกายคตาสติ เป็นที่ตั้ง.

ก็ในเรื่องนี้ กรรม พึงเห็นดุจพระราชา กิเลสดุจดาบ
มารดุจคนเงื้อดาบ พระโยคาวจรผู้เพ่งเจริญกายคตาสติ ดุจ
คนถือโถน้ำมัน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำพระสูตรนี้มา ทรงแสดงว่า
อันภิกษุผู้มุ่งเจริญกายคตาสติ ต้องไม่ปล่อยสติ เป็นผู้ไม่ประมาท
เจริญกายคตาสติ เหมือนคนถือโถน้ำมันนั้น ด้วยประการฉะนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ครั้นฟังพระสูตรนี้ และอรรถาธิบายแล้ว พากัน
กราบทูลอย่างนี้ว่า การที่บุรุษนั้นไม่มองดูนางชนบทกัลยาณี
ผู้งามหยดย้อย ประคองโถน้ำมันเดินไป กระทำแล้ว เป็นการ
กระทำได้ยาก พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่บุรุษ
นั้นกระทำแล้ว มิใช่เป็นการที่กระทำได้ยาก นั่นเป็นสิ่งที่ทำ
ได้ง่ายโดยแท้ เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุมีคนเงื้อดาบคอยขู่
ตะคอกสะกดไป แต่การที่บัณฑิตทั้งหลายในครั้งก่อนไม่ปล่อยสติ
ทำลายอินทรีย์ไม่มองดูแม้ซึ่งรูปทิพย์ที่จำแลงไว้เสียเลย เดินไป
จนได้ครองราชสมบัตินั่น (ต่างหาก) ที่กระทำได้โดยยาก อัน
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัส
ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ณ
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นพระโอรสองค์เล็กที่สุด
ของพระโอรส 100 องค์ แห่งพระราชานั้น. ทรงบรรลุความเป็นผู้
รู้เดียงสาโดยลำดับ และในครั้นนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าหลายพระองค์

ฉันในพระราชวัง พระโพธิสัตว์ทรงกระทำหน้าที่ไวยาจักร
แก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น วันหนึ่งทรงพระดำริว่า พี่ชาย
ของเรามีมาก เราจักได้ราชสมบัติสืบสันตติวงศ์ในพระนครนี้
หรือไม่หนอ. ครั้นแล้วพระองค์ได้มีปริวิตกว่า ต้องถามพระ-
ปัจเจกพุทธเจ้า จึงจะรู้แน่ ในวันที่ 2 เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้า
ทั้งหลายมากันแล้ว ท่านถือเอาธรรมกรกมากรองน้ำสำหรับดื่ม
ล้างเท้า ทาน้ำมัน ในเวลาที่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ฉันของ
เคี้ยวในระหว่าง จึงบังคมแล้วประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง มี
พระดำรัสถามความนั้น ทีนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นได้บอก
กะท่านว่า ดูก่อนกุมาร พระองค์จักไม่ได้ราชสมบัติในพระนครนี้
แต่จากพระนครนี้ไป ในที่สุด 120 โยชน์ ในคันธารรัฐ มีพระนคร
ชื่อว่า ตักกสิลา เธออาจจะไปในพระนครนั้น จักต้องได้ราชสมบัติ
ในวันที่ 7 นับจากวันนี้ แต่ในระหว่างทาง ในดงดิบใหญ่มีอันตราย
อยู่ เมื่อจะอ้อมดงนั้นไป จะเป็นทางไกลถึง 120 โยชน์ เมื่อ
ไปตรงก็เป็นทาง 50 โยชน์ ข้อสำคัญทางนั้นชื่อว่า อมนุสสกันดาร
ในย่านนั้น ฝูงยักษิณีพากันเนรมิตบ้านและศาลาไว้ในระหว่างทาง
ตกแต่งที่นอนอันมีค่า บนเพดานแพรวพราวไปด้วยดาวทอง แวด
วงม่านอันย้อมด้วยสีต่าง ๆ ตกแต่งอัตภาพด้วยอลังการอันเป็น
ทิพย์ พากันนั่งในศาลาทั้งหลาย หน่วงเหนี่ยวเหล่าบุรุษผู้เดินทาง
ไปด้วยถ้อยคำอ่อนหวาน พากันเชื้อเชิญว่า ท่านทั้งหลายปรากฏ
ดุจดังคนเหน็ดเหนื่อย เชิญมานั่งบนศาลานี้ ดื่มเครื่องดื่มแล้วค่อยไป

เถิด แล้วให้ที่นั่งแก่ผู้ที่มา พากันเล้าโลม ด้วยท่าทีอันยียวน
ของตน ทำให้ตกอยู่ในอำนาจกิเลสจนได้ เมื่อได้ทำอัชฌาจาร
ร่วมกับตนแล้ว ก็พากันเคี้ยวกินพวกนั้นเสียในที่นั้นเอง ทำให้ถึง
สิ้นชีวิต ทั้ง ๆ ที่โลหิตยังหลั่งไหลอยู่ พวกนางยักษิณีจะคอย
จับสัตว์ผู้มีรูปเป็นอารมณ์ด้วยรูปนั่นแหละ ผู้มีเสียงเป็นอารมณ์
ด้วยเสียงขับร้องบรรเลงอันหวานเจื้อยแจ้ว ผู้มีกลิ่นเป็นอารมณ์
ด้วยกลิ่นทิพย์ ผู้มีรสเป็นอารมณ์ด้วยโภชนะอันมีรสเลิศต่าง ๆ
ดุจรสทิพย์ ผู้มีโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์ ด้วยที่นอนดุจที่นอนทิพย์
เป็นเครื่องลาดมีสีแดงทั้งสองข้าง ถ้าพระองค์จักไม่ทำลาย
อินทรีย์ทั้ง 5 แลดูพวกมันเลย คุมสติมั่นคงไว้เดินไป จักได้
ราชสมบัติในพระนครนั้นในวันที่ 7 แน่. พระโพธิสัตว์ตรัสว่า
ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เรื่องนั้นจงยกไว้ ข้าพเจ้ารับโอวาท
ของพระคุณเจ้าทั้งหลายแล้ว จักแลดูพวกมันทำไม ? ดังนี้แล้ว
ขอให้พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายทำพระปริต รับทรายเศกด้วย
พระปริต และด้ายเศกด้วยพระปริต บังคมลาพระปัจเจกพุทธเจ้า
และพระราชมารดา พระราชบิดา เสด็จไปสู่พระราชวัง ตรัส
กะคนของพระองค์ว่า เราจักไปครองราชสมบัติในพระนคร-
ตักกสิลา พวกเจ้าจงอยู่กันที่นี่เถิด. ครั้งนั้นคนทั้ง 5 กราบทูล
พระโพธิสัตว์ว่า แม้พวกข้าพระองค์ก็จักตามเสด็จไป ตรัสว่า
พวกเจ้าไม่อาจตามเราไปได้ดอก ได้ยินว่า ในระหว่างทาง
พวกยักษิณีคอยเล้าโลมพวกมนุษย์ผู้มีรูปเป็นต้น เป็นอารมณ์

ด้วยกามารมณ์ มีรูปเป็นต้น หลายอย่างต่างกระบวน
แล้วจับกินเป็นอาหาร อันตรายมีอยู่อย่างใหญ่หลวง เราเตรียมตัว
ไว้แล้วจึงไปได้ พระราชบุรุษกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ
เมื่อพวกข้าพระบาทนั้นตามเสด็จไปกับพระองค์ จักแลดูรูป
เป็นต้นที่น่ารักเพื่อตนทำไม แม้พวกข้าพระบาท ก็จักไปในที่นั้น
ได้เหมือนกัน. พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงเป็น
ผู้ไม่ประมาทเถิด แล้วพาพวกคนทั้ง 5 เหล่านั้นเสด็จไป.
ฝูงยักษิณีพากันเนรมิตบ้านเป็นต้น นั่งคอยอยู่แล้ว ในคน
เหล่านั้น คนที่ชอบรูป แลดูยักษิณีเหล่านั้นแล้ว มีจิตผูกพันใน
รูปารมณ์ ชักจะล้าหลังลงหน่อยหนึ่ง พระโพธิสัตว์ก็ตรัสว่า
ท่านผู้เจริญ ทำไมจึงเดินล้าหลังลงไปเล่า ? กราบทูลว่า ข้าแต่
สมมติเทพ เท้าของข้าพระบาทเจ็บ ขอนั่งพักในศาลาสักหน่อย
แล้วจักตามมาพระเจ้าข้า. ตรัสว่า ท่านผู้เจริญ นั่นมันฝูงยักษิณี
เจ้าอย่าไปปรารถนามันเลย กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ จะเป็น
อย่างไรก็เป็นเถิด ข้าพระบาททนไม่ไหว ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น
เจ้าจักรู้เอง ทรงพาอีก 4 คนเดินทางต่อไป คนที่ชอบดูรูปได้ไป
สำนักของพวกมัน เมื่อได้ทำอัชฌาจารกับตนแล้ว พวกมันก็ทำ
ให้เขาสิ้นชีวิตในที่นั้นเอง แล้วไปดักข้างหน้า เนรมิตศาลาหลังอื่น
ไว้ นั่งถือดนตรีต่าง ๆ ขับร้องอยู่ ในคนเหล่านั้น คนที่ชอบเสียง
ก็ชักล้าหลัง พวกมันก็พากันกินคนนั้นเสีย. แล้วพากันไปดัก
ข้างหน้า จัดโภชนะดุจของทิพย์ มีรสเลิศนานาชนิดไว้เต็มภาชนะ

นั่งเปิดร้านขายข้าวแกง ถึงตรงนั้น คนที่ชอบรสก็ชักล้าลง
พวกมันพากันกินคนนั้นเสีย แล้วไปดักข้างหน้า ตกแต่งที่นอน
ดุจที่นอนทิพย์ นั่งคอยแล้ว ถึงตรงนั้น คนที่ชอบโผฏฐัพพะ ก็
ชักล้าลง พวกมันก็พากันกินเขาเสียอีก.
เหลือแต่พระโพธิสัตว์พระองค์เดียวเท่านั้น. ครั้งนั้น
นางยักษิณีตนหนึ่ง คิดว่า มนุษย์คนนี้มีมนต์ขลังนัก เราจักกิน
ให้ได้แล้วถึงจะกลับ แล้วเดินตามหลังพระโพธิสัตว์ไปเรื่อย ๆ
ถึงปากดงฟากโน้น พวกที่ทำงานในป่าเป็นต้น ก็ถามนางยักษิณี.
ว่า ชายคนที่เดินไปข้างหน้านางนี้เป็นอะไรกัน ? ตอบว่า เป็น
สามีหนุ่มของดิฉันเจ้าค่ะ. พวกคนเหล่านั้นจึงกล่าวว่า พ่อมหา-
จำเริญ กุมาริกานี้อ่อนแอถึงอย่างนี้ น่าถนอมเหมือนพวงดอกไม้
ผิวก็งามเหมือนทอง ทอดทิ้งตระกูลของตนออกมาเพราะรัก
คิดถึงพ่อมหาจำเริญ จึงยอมติดตามมา พ่อมหาจำเริญเหตุไร
จึงปล่อยให้นางลำบาก ไม่จูงนางไปเล่า ? พระโพธิสัตว์ตรัสว่า
พ่อคุณทั้งหลาย นั่นไม่ใช่เมียของเราดอก นั่นมันยักษิณี คนของ
เรา 5 คน ถูกมันกินไปหมดแล้ว ยักษิณี กล่าวว่า พ่อเจ้าประคุณ
ทั้งหลาย ธรรมดาผู้ชายในยามโกรธ ก็กระทำเมียของตนให้
เป็นนางยักษ์ก็ได้ ให้เป็นนางเปรตก็ได้ นางยักษิณีเดินตามมา
แสดงเพศของหญิงมีครรภ์ แล้วทำให้เป็นหญิงคลอดแล้วครั้งหนึ่ง
อุ้มบุตรใส่สะเอวเดินตามพระโพธิสัตว์ไป คนที่เห็นแล้ว ๆ ก็
พากันถามตามนัยก่อนทั้งนั้น แม้พระโพธิสัตว์ก็ตรัสอย่างนั้น

ตลอดทาง จนถึงพระนครตักกสิลา มันทำให้ลูกหายไป ติดตาม
ไปแต่คนเดียว พระโพธิสัตว์เสด็จถึงพระนครแล้ว ประทับนั่ง
ณ ศาลาหลังหนึ่ง เเม้ว่านางยักษิณีนั้นเล่า ไม่อาจเข้าไปได้ด้วย
เดชของพระโพธิสัตว์ ก็เนรมิตรูปเป็นนางฟ้า ยืนอยู่ที่ประตูศาลา.
สมัยนั้น พระราชากำลังเสด็จออกจากพระนครตักกสิลา
ไปสู่พระอุทยาน ทรงมีจิตปฏิพัทธ์ ตรัสใช้ราชบุรุษว่า ไปถามซิ
นางคนนี้มีสามีแล้วหรือยังไม่มี ? พวกราชบุรุษเข้าไปหานาง-
ยักษิณี ถามว่า เธอมีสามีแล้วหรือ ? นางตอบว่า เจ้าค่ะ ผู้ที่
นั่งอยู่บนศาลาคนนี้เป็นสามีของดิฉัน. พระโพธิสัตว์ตรัสว่า
นั่นไม่ใช่เมียของข้าพเจ้าดอก มันเป็นนางยักษิณี คนของข้าพเจ้า
5 คน ถูกมันกินเสียแล้ว ฝ่ายนางยักษิณีก็กล่าวว่า ท่านเจ้าค่ะ
ธรรมดาผู้ชายในยามโกรธ ก็จะพูดเอาตามที่ใจตนปรารถนา.
ราชบุรุษนั้นก็กราบทูลคำของคนทั้งสองแด่พระราชา. พระราชา
รับสั่งว่า ธรรมดาภัณฑะไม่มีเจ้าของ ย่อมตกเป็นของหลวง
แล้วตรัสเรียกยักษิณีมาให้นั่งเหนือพระคชาธาร ร่วมกับพระองค์
ทรงกระทำประทักษิณพระนคร แล้วเสด็จขึ้นสู่ปราสาท ทรง
สถาปนามันไว้ในตำแหน่งอรรคมเหสี เสด็จสรงสนานแต่ง
พระองค์เรียบร้อย เสวยพระกระยาหารในเวลาเย็นแล้ว ก็เสด็จ
ขึ้นพระแท่นที่สิริไสยาสน์ นางยักษิณีนั้นเล่า กินอาหารที่ควร
แก่ตนแล้ว ตกแต่งประดับประดาตน นอนร่วมกับพระราชา
เหนือพระแท่นที่บรรทมอันมีสิริ เวลาที่พระราชาทรงเปี่ยมไป

ด้วยความสุขด้วยอำนาจความรื่นรมย์ ทรงบรรทมแล้ว ก็พลิก
ไปทางหนึ่ง ทำเป็นร้องไห้ ครั้นพระราชาตรัสถามมันว่า ดูก่อน
นางผู้เจริญ เจ้าร้องไห้ทำไม ?
นางจึงทูลว่า ทูลกระหม่อมเพคะ กระหม่อมฉัน
เป็นผู้ที่พระองค์ทรงพบที่หนทางแล้วทรงพามา อนึ่งเล่าใน
พระราชวังของพระองค์ ก็มีหญิงอยู่เป็นอันมาก กระหม่อมฉัน
เมื่ออยู่ในกลุ่มหญิงที่ร่วมบำเรอพระบาท เมื่อเกิดพูดกันขึ้นว่า
ใครรู้จัก มารดา บิดา โคตร หรือชาติของเธอเล่า เธอนะ
พระราชาพบในระหว่างทาง แล้วทรงนำมา ดังนี้ จะเหมือนถูก
จับศีรษะบีบ ต้องเก้อเขินเป็นแน่ ถ้าพระองค์พระราชทานความ
เป็นใหญ่ และการบังคับในแว่นแคว้นทั้งสิ้น แก่หม่อมฉัน ใคร ๆ
ก็จักไม่อาจกำเริบจิตกล่าวแก่หม่อมฉันได้เลย. ทรงรับสั่งว่า
นางผู้เจริญ ชาวแว่นแคว้นทั้งสิ้น มิได้เป็นสมบัติบางส่วนของฉัน
ฉันไม่ได้เป็นเจ้าของของพวกนั้น แต่ชนเหล่าใดละเมิดพระราช-
กำหนดกฎหมาย กระทำสิ่งที่ไม่ควรทำ เราเป็นเจ้าของคนพวกนั้น
เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่อาจให้ความเป็นใหญ่ และการบังคับ
ในแว่นแคว้นทั้งสิ้นแก่เธอได้ นางกราบทูลว่า ทูลกระหม่อม
เพคะ ถ้าพระองค์ไม่สามารถจะพระราชทานการบังคับ
ในแว่นแคว้น หรือในพระนคร ก็ขอได้โปรดพระราชทานอำนาจ
เหนือปวงชนผู้รับใช้ข้างใน ภายในพระราชวัง เพื่อให้เป็นไป
ในอำนาจของหม่อมฉันเถิดพระเจ้าข้า พระราชาทรงติดพระทัย

โผฏฐัพพะดุจทิพย์เสียแล้ว ไม่สามารถจะละเลยถ้อยคำของนางได้
ตรัสว่า ตกลงนางผู้เจริญ เราขอมอบอำนาจในหมู่ชนผู้รับใช้
ภายในแก่เธอ เธอจงควบคุมคนเหล่านั้นให้เป็นไปในอำนาจ
ของตนเถิด นางยักษิณีรับคำว่าดีแล้ว พระเจ้าข้า พอพระราชา
บรรทมหลับสนิท ก็ไปเมืองยักษ์ชวนพวกยักษ์มา ยังพระราชา
ของตนให้ถึงชีพิตักษัย เคี้ยวกินหนังเนื้อและเลือดจนหมด เหลือ
ไว้แต่เพียงกระดูก พวกยักษ์ที่เหลือก็พากันเคี้ยวกินคนและสัตว์
ตั้งต้นแต่ไก่และสุนัข ภายในวังตั้งแต่ประตูใหญ่จนหมด เหลือไว้
แต่กระดูก รุ่งเช้าพวกคนทั้งหลาย เห็นประตูวังยังปิดไว้ตามเดิม
ก็พากันพังบานประตูด้วยขวาน แล้วชวนกันเข้าไปภายใน เห็น
พระราชวังทุกแห่งหน เกลื่อนกล่นไปด้วยกระดูก จึงพูดกันว่า
บุรุษคนนั้น พูดไว้เป็นความจริงหนอว่า นางนี้มิใช่เมียของเรา
มันเป็นยักษิณี แต่พระราชาไม่ทรงทราบอะไร ทรงพามันมา
แต่งตั้งให้เป็นมเหสีของพระองค์ พอค่ำมันก็ชวนพวกยักษ์มากิน
คนเสียหมดแล้วไปเสีย เป็นแน่.
ในวันนั้นแม้พระโพธิสัตว์ ก็ทรงใส่ทรายเศกพระปริตที่
ศีรษะ วงด้ายเศกพระปริต ทรงถือพระขรรค์ประทับยืนอยู่
ในศาลานั้น จนรุ่งอรุณ. พวกมนุษย์พากันทำความสะอาด
พระราชนิเวศน์ทั้งสิ้น ฉาบสีเหลือง ประพรมข้างบนด้วยของหอม
โปรยดอกไม้ ห้อยพวงดอกไม้ อบควัน ผูกพวงดอกไม้ใหม่ แล้ว
ปรึกษากันว่า เมื่อวานนี้บุรุษนั้นไม่ได้กระทำแม้เพียงแต่จะ

ทำลายอินทรีย์ มองดูยักษิณีอันจำแลงรูปดุจรูปทิพย์เดินมา
ข้างหลังเลย เขาเป็นสัตว์ประเสริฐยิ่งล้น หนักแน่น สมบูรณ์
ด้วยญาณ เมื่อบุรุษเช่นนั้น ปกครองแว่นแคว้น รัฐสีมามณฑล
จักมีแต่สุขสันต์ พวกเราจงทำให้เขาเป็นพระราชาเถิด. ครั้งนั้น
พวกอำมาตย์และชาวเมืองทุกคน ร่วมกันเป็นเอกฉันท์ เข้าไปเฝ้า
พระโพธิสัตว์ กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ เชิญพระองค์ทรง
ครองราชสมบัตินี้เถิด พระเจ้าข้า. เชิญเสด็จเข้าสู่พระนครแล้ว
เชิญขึ้นประทับเหนือกองแก้ว อภิเศก กระทำให้เป็นพระราชา
แห่งตักกสิลายนคร. ท้าวเธอทรงเว้นการลุอคติ 4 มิให้ราชธรรม
10 กำเริบ ครองราชสมบัติโดยธรรม ทรงบำเพ็ญบุญมีให้ทาน
เป็นต้น แล้วเสด็จไปตามยถากรรม.
พระศาสดาทรงนำเอาเรื่องในอดีตนี้มาสาธก ครั้นตรัสรู้
สัมโพธิญาณแล้ว ตรัสพระคาถานี้ความว่า
" ผู้ปรารถนาทิศที่ยังไม่เคยไป พึงรักษา
จิตของตนไว้ เหมือนคนประคองไปซึ่งโถน้ำมัน
อันเต็มเปี่ยมเสมอขอบ มิได้มีส่วนพร่องเลย"
ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมติตฺติกํ ความว่า เต็ม
เสมอขอบ ถึงลวดที่วงปากด้านใน.
บทว่า อนวเสกํ ความว่า การทำให้ใส่ลงไปอีกไม่ได้ คือ
หยดลงไปไม่ได้อีกเลย.

บทว่า เตลปตฺตํ ได้แก่โถที่เขาใส่น้ำมันงา.
บทว่า ปริหเรยฺย ความว่า พึงประคองไป คือถือเอาไป.
บทว่า เอวํ สจิตฺตมนุรกฺเข ความว่า พระโยคาวจรผู้เป็น
บัณฑิต พึงประคองจิตของตน อันเป็นดุจโถที่เต็มเปี่ยมด้วย
น้ำมันนั้นไว้ ในระหว่างแห่งธรรมแม้ทั้งสอง คือ ในอารมณ์
กับสติ ที่ประกอบไว้เป็นอันดี แล้วพึงรักษาไว้คือ คุ้มครองไว้
ด้วยกายคตาสติ โดยจิตไม่ซัดส่ายไปในอารมณ์ภายนอก แม้
เพียงครู่เดียวฉันนั้น.
เพราะเหตุไร ?
" เพราะเหตุว่าการฝึกจิตที่ข่มได้ยาก เบา
พลันตกไปในอารมณ์ที่ปรารถนานี้ ยังประโยชน์
ให้สำเร็จ จิตที่ฝึกแล้ว เป็นเหตุนำความสุข
มาให้"

เพราะฉะนั้น :-
"ท่านผู้มีปัญญา พึงรักษาจิตที่เห็นได้ยาก
แท้ ละเอียดลออ พลันตกไปในอารมณ์ที่น่า
ปรารถนา จิตที่คุ้มครองไว้ได้แล้ว นำความสุข
มาให้"

ด้วยว่า :-
" ชนเหล่าใด จักสำรวมจิตนี้ ซึ่งไปได้ไกล
เที่ยวไปโดดเดี่ยว ไม่มีรูปร่าง อาศัยถ้ำ คือ

ร่างกายไว้ได้ ชนเหล่านั้น จักพ้นจากบ่วงแห่ง
มารได้ "

ส่วนคนนอกนี้ คือ-
" ผู้ที่มีจิตไม่มั่นคง ไม่ทราบพระสัทธรรม
มีความเลื่อมใสรวนเร ย่อมมีปัญญาบริบูรณ์
ไม่ได้"

ส่วนผู้ที่คุ้นเคยกับพระกรรมฐานมานาน
"มีจิตอันราคะไม่รั่วรดแล้ว มีใจอันโทสะ
ตามกำจัดไม่ได้ ละบุญและบาปเสียได้แล้ว เป็น
ผู้ตื่นอยู่ ย่อมไม่มีภัยเลย"

เพราะฉะนั้น :-
" ผู้มีปัญญา ย่อมกระทำจิตอันดิ้นรน
กวัดแกว่ง รักษาได้ยาก ห้ามได้ยาก ให้ตรง
เหมือนช่างศร ดัดลูกศรฉะนั้น"

เมื่อพระโยคาวจรกระทำจิตให้ตรงอยู่อย่างนี้ ชื่อว่า ตาม
รักษาจิตของตน.
บทว่า ปฏฺฐยมาโน ทิสํ อคตปุพฺพํ ความว่า พระโยคาวจร
เมื่อปรารถนาบริกรรม ในกายคตาสติกรรมฐานนี้แล้ว ปรารถนา
ต้องการทิศที่ยังไม่เคยไป ในสงสารอันไม่มีที่สุดและเบื้องต้น
พึงรักษาจิตของตนโดยนัยดังกล่าวแล้ว.
ก็ที่ชื่อว่า ทิศ นี้ คืออะไร เล่า ?

ก่อนอื่น บุตรและภรรยาเป็นต้น ท่านกล่าวว่า เป็นทิศ
ดังในคาถานี้ว่า
" มารดาบิดาเป็นทิศเบื้องหน้า อาจารย์
เป็นทิศเบื้องขวา บุตรภรรยาเป็นทิศเบื้องหลัง
มิตรและอำมาตย์เป็นทิศเบื้องซ้าย ทาสและ
กรรมกรทั้งหลายเป็นทิศเบื้องต่ำ สมณะและ
พราหมณ์เป็นทิศเบื้องบน คฤหัสถ์ชนในสกุล
ไม่พึงประมาท นอบน้อมทิศเหล่านี้"

ยังมีทิศต่าง ๆ แยกประเภทออกเป็นทิศบูรพาเป็นต้น
ท่านก็เรียกว่าทิศ ดังในคาถานี้ว่า :-
" ทิศใหญ่ 4 ทิศเฉียง 4 ทิศเบื้องบน
เบื้องต่ำ รวมเป็น 10 ทิศ เหล่านี้ หม่อมฉันได้
เห็นพระยาช้าง 6 วา ในความฝัน พระยาช้างนั้น
สถิตย์อยู่ทิศไหน ?"

พระนิพพานท่านก็เรียกว่าทิศ ดังในคาถานี้ว่า :-
"คฤหัสถ์ทั้งหลาย ผู้ให้ข้าวน้ำ และผ้า
ท่านกล่าวว่า เป็นทิศแม้ของบรรพชิต ผู้ขอร้อง
ผู้มีทุกข์ ถึงทิศใดเล่าจึงจะมีความสุขได้ ทิศนี้
เป็นทิศอย่างยิ่งนะ เจ้าเสตเกตุ"

แม้ในบาทคาถานี้ ที่ว่า "ทิศที่ไม่เคยไป" ก็ประสงค์เอาทิศ
คือพระนิพพานนั่นแล. เพราะว่า พระนิพพานนั้น ย่อมปรากฏด้วย

ลักษณะเป็นต้นว่า ความสิ้นไป ความคลายกำหนัด เหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสเรียกว่า ทิศ. ส่วนที่ตรัสว่า ชื่อว่า
ทิศที่ไม่เคยไป เพราะพาลปุถุชนไร ๆ ในสงสารอันหาเบื้องต้น
และเบื้องปลายไม่พบนี้ ไม่เคยไปกันเลยแม้แต่ความฝัน. อัน
พระโยคาวจรผู้ปรารถนาทิศนั้น พึงกระทำความเพียร ในกาย-
คตาสติ.
พระบรมศาสดาทรงถือเอายอดแห่งเทศนา ด้วยพระ-
นิพพาน ด้วยประการฉะนี้ แล้วทรงประชุมชาดกว่า ราชบริษัท
ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัทในครั้งนี้ ส่วนพระราชกุมาร
ผู้ครองราชสมบัติในครั้งนั้น ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาเตลปัตตชาดกที่ 6

7. นามสิทธิชาดก


ว่าด้วยชื่อไม่เป็นของสำคัญ


[ 97] " เพราะเห็นคนชื่อ ชีวกะตาย นางธนปาลี
ตกยาก นายปันถกะหลงทางในป่า เจ้าปาปกะ
จึงกลับมา"

จบ นามลิทธิชาดกที่ 7

อรรถกถานามสิทธิชาดกที่ 7


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภภิกษุผู้หวังความสำเร็จโดยชื่อ รูปหนึ่ง ตรัสพระ-
ธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า ชีวกญฺจ มตํ ทิสฺวา ดังนี้.
ได้ยินว่า กุลบุตรผู้หนึ่ง โดยนาม ชื่อว่า ปาปกะ บวช
ถวายชีวิตในพระศาสนา เมื่อถูกพวกภิกษุเรียกว่า มาเถิด
อาวุโส ปาปกะ หยุดเถิดอาวุโส ปาปกะ ก็คิดว่า ในโลกผู้ที่มี
ชื่อว่า ปาปกะ เขากล่าวกันว่า ลามก เป็นตัวกาฬกรรณี เรา
ต้องให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์หาชื่อที่ประกอบไปด้วยมงคล
อย่างอื่น เธอเข้าไปหา อุปัชฌาย์อาจารย์กราบเรียนว่า ข้าแต่
ท่านผู้เจริญ ชื่อของผมเป็นอัปมงคล กรุณาตั้งชื่ออย่างอื่นให้
กระผมเถิด. ครั้งนั้นอาจารย์และอุปัชฌาย์ ก็กล่าวก็เธออย่างนี้