เมนู

แผ่นดินนี้ไม่มีจิตใจ ไม่รับรู้สุขทุกข์ แม้แผ่น-
ดินนั้นก็ได้ไหวแล้วถึง 7 ครั้ง เพราะอำนาจแต่งทาน
ของเรา
ดังนี้
ในเวลาสิ้นสุดแห่งอายุ จุติจากนั้นได้ไปเกิดในดุสิตพิภพ. จำเดิมแต่
บาทมูลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร จนถึงพระโพธิสัตว์นี้เกิดใน
ดุสิตบุรี ข้อนั้นพึงทราบว่า ชื่อทูเรนิทาน.

อวิทูเรนิทาน



ก็เมื่อพระโพธิสัตว์อยู่ในดุสิตบุรีนั่นแล ความแตกตื่นเรื่องพระพุทธ-
เจ้าได้บังเกิดขึ้นแล้ว. จริงอยู่ ในโลกย่อมมีโกลาหล 3 อย่างเกิดขึ้นคือ
โกลาหลเรื่องกัป 1 โกลาหลเรื่องพระพุทธเจ้า 1 โกลาหลเรื่องพระ
เจ้าจักรพรรดิ 1

พวกเทวดาชั้นกามาวจรที่ชื่อว่าโลกพยุหะทราบว่า เหตุที่จะเกิด
เมื่อสิ้นกัปจักมีโดยล่วงไปได้แสนปีนั้น ดังนี้ ต่างมีศีรษะเปียก สยายผมมีหน้า
ร้องไห้ เอามือทั้งสองเช็ดน้ำตา นุ่งผ้าแดง มีรูปร่างแปลก เที่ยวเดิน
บอกกล่าวไปในเมืองมนุษย์ว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย โดยกาลล่วงไป
แห่งแสนปีแต่นี้ เหตุที่จะเกิดเมื่อสิ้นกัปจักมีขึ้น แม้โลกนี้ก็จักพินาศไป แม้
มหาสมุทรก็จักพินาศ แผ่นดินใหญ่นี้และพญาแห่งภูเขาสิเนรุ จักถูกไฟไหม้
จักพินาศไป ความพินาศจักมีจนถึงพรหมโลก ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย
ขอพวกท่านจงเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาจงบำรุงมารดาบิดา จงเป็น
ผู้นอบน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลดังนี้ นี้ชื่อว่าโกลาหลเรื่องกัป.

พวกเทวดาชื่อว่าโลกบาลทราบว่า ก็โดยล่วงไปแห่งพันปี พระสัพพัญญู
พุทธเจ้าจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ดังนี้ แล้วพากันเที่ยวป่าวร้อง นี้ชื่อว่าโกลา-
หลเรื่องพระพุทธเจ้า.

เทวดาพวกนั้นแหละทราบว่า โดยล่วงไปแห่งร้อยปีพระเจ้าจักรพรรดิ
จักเสด็จอุบัติขึ้นพากันเที่ยวป่าวประกาศว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย โดย
ล่วงไปแห่งร้อยปีแต่นี้ พระเจ้าจักรพรรดิจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ดังนี้.
นี้ชื่อว่าโกลาหลเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิ.
โกลาหลทั้งสามประการนี้นับว่าเป็นของใหญ่. บรรดาโกลาหลทั้งสาม
นั้น เทวดาในหมื่นจักรวาลทั้งสิ้นได้ฟังเสียงโกลาหลเรื่องพระพุทธเจ้าแล้ว จึง
ร่วมประชุมพร้อมกันทราบว่า สัตว์ชื่อโน้นจักเป็นพระพุทธเจ้า เข้าไปหาเขา
แล้วต่างจะอ้อนวอนและเมื่ออ้อนวอนอยู่ก็จะอ้อนวอนในเมื่อบุรพนิมิตเกิดขึ้น
แล้ว. ก็ในกาลนั้นเทวดาแม้ทั้งปวง พร้อมกับท้าวจาตุมมหาราช ท้าวสักกะ
ท้าวสุยาม ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมมานรดี ท้าวปรนิมมิตวสวัตดี และท้าวมหา-
พรหม ในแต่ละจักรวาลมาประชุมพร้อมกันในจักรวาลหนึ่ง แล้วพากันไปยัง
สำนักของพระโพธิสัตว์ ในภพดุสิตต่างอ้อนวอนว่า "ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์
ท่านเมื่อบำเพ็ญบารมีสิบ ก็มิได้ปรารถนาสมบัติของท้าวสักกะ สมบัติของมาร
สมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ สมบัติของพรหมบำเพ็ญ แต่ท่านปรารถนาพระ
สัพพัญญุตญาณบำเพ็ญแล้ว เพื่อต้องการจะขนสัตว์ออกจากโลก ข้าแต่ท่านผู้
นิรทุกข์ บัดนี้ถึงเวลาที่ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ถึงสมัยที่ท่านจะเป็นพระ
พุทธเจ้าแล้ว".
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ยังไม่ให้ปฏิญาณแก่เทวดาทั้งหลาย จะตรวจดู
มหาวิโลกนะ คือที่จะต้องเลือกใหญ่ 5 ประการคือ กาล ทวีป ประเทศ ตระกูล
และการกำหนดอายุของมารดา. ใน 5 ประการนั้น พระโพธิสัตว์จะตรวจดูกาล
ก่อนว่า เป็นกาลสมควรหรือไม่สมควร. ในข้อนั้นกาลแห่งอายุที่เจริญขึ้นถึง

แสนปีจัดว่า เป็นกาลไม่สมควร. เพราะเหตุไร. เพราะในกาลนั้น ชาติชราและ
มรณะไม่ปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลาย และพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ที่จะพ้นจากไตรลักษณ์ไม่มี เมื่อพระองค์ตรัสว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พวก
เขาก็จะคิดว่า พระองค์ตรัสข้อนั้นทำไม แล้วจะไม่เห็นเป็นสำคัญว่าควรจะฟัง
ควรจะเชื่อ ต่อนั้นก็จะไม่มีการตรัสรู้ เมื่อไม่มีการตรัสรู้ศาสนาก็จะไม่เป็นสิ่งนำ
ออกจากทุกข์ เพราะฉะนั้น จึงเป็นกาลที่ยังไม่ควร. แม้กาลแห่งอายุหย่อน
กว่าร้อยปี ก็จัดเป็นกาลที่ยังไม่ควร. เพราะเหตุไร. เพราะในกาลนั้น สัตว์
ทั้งหลายมีกิเลสหนา และโอวาทที่ให้แก่ผู้มีกิเลสหนาจะไม่ตั้งอยู่ในที่เป็นโอวาท
โอวาทนั้น ก็จะพลันปราศไปเร็วพลันเหมือนรอยไม้เท้าในน้ำฉะนั้น เพราะฉะนั้น
แม้กาลนั้น ก็จัดได้ว่าเป็นกาลไม่ควร. กาลแห่งอายุต่ำลงมาตั้งแต่แสนปี สูงขึ้น
ไปตั้งแต่ร้อยปี จัดเป็นกาลอันควร. และในกาลนั้นก็เป็นกาลแห่งอายุร้อยปี.
ที่นั้นพระมหาสัตว์ก็มองเห็นว่าเป็นกาลที่ควรจะเกิดได้แล้ว. ต่อจากนั้นเมื่อจะ
ตรวจดูทวีปก็ตรวจดูทวีปใหญ่ 4 ทวีป เห็นทวีปหนึ่งว่า ในทวีปทั้งสามพระพุทธ
เจ้าทั้งหลายย่อมไม่เสด็จอุบัติขึ้น เสด็จอุบัติขึ้นในชมพูทวีปเท่านั้น. ต่อจากนั้น
ก็ตรวจดูประเทศว่า ธรรมดาชมพูทวีปกว้างใหญ่มาก มีปริมาณถึงหมื่นโยชน์
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เสด็จอุบัติขึ้นในประเทศไหนหนอ. จึงมองเห็นมัชฌิม
ประเทศ. ชื่อว่ามัชฌิมประเทศ คือประเทศที่ท่านกล่าวไว้ในวินัยอย่างนี้ว่า ใน
ทิศตะวันออกมีนิคมชื่อกชังคละ ที่อื่นจากนิคมนั้นเป็นที่กว้างขวาง อื่นไปจาก
ที่นั้น เป็นชนบทตั้งอยู่ในชายแดน ร่วมในเป็นมิชฌิมประเทศ ในทิศใต้ มีแม่น้ำ
ชื่อสัลลวดี ต่อจากนั้น เป็นชนบทตั้งอยู่ชายแดน ร่วมในเป็นมัชฌิมประเทศ ใน
ทิศทักษิณมีนิคมชื่อเสตกัณณิกะ ต่อจากนั้นเป็นชนบทตั้งอยู่ในชายแดน ร่วม
ในเป็นมัชฌิมประเทศ ในทิศตะวันตก มีพราหมณคามชื่อถูนะ ต่อจากนั้นเป็น
ชนบทตั้งอยู่ในชายแดน ร่วมในเป็นมัชฌิมประเทศ ในทิศเหนือ มีภูเขาชื่อ
อุสีรธชะ ต่อจากนั้นเป็นชนบทตั้งอยู่ในชายแดน ร่วมในเป็นมัชฌิมประเทศ.

มัชฌิมประเทศนั้นโดยยาววัดได้สามร้อยโยชน์ โดยกว้างได้สองร้อยห้าสิบโยชน์
โดยวงรอบได้เก้าร้อยโยชน์. ในประเทศนั้น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า
พระอัครสาวก พระเจ้าจักรพรรดิ และกษัตริย์พราหมณ์คฤหบดีมหาศาล ผู้มี
ศักดาใหญ่เหล่าอื่นย่อมเกิดขึ้น และนครชื่อว่ากบิลพัสดุ์นี้ก็ตั้งอยู่ในมัชฌิมประ-
เทศนี้ พระโพธิสัตว์จึงได้ถึงความตกลงใจว่า เราควรจะไปเกิดในนครนั้น.
ต่อจากนั้นพระโพธิสัตว์เมื่อจะเลือกตระกูล จึงเห็นตระกูลว่า มารดาพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย ย่อมไม่เสด็จอุบัติในตระกูลแพศย์ หรือในตระกูลศูทร แต่จะเสด็จ
อุบัติในตระกูลกษัตริย์หรือในตระกูลพราหมณ์ที่โลกยกย่อง สองตระกูลนี้เท่านั้น
ก็บัดนี้มีตระกูลกษัตริย์ที่โลกยกย่องแล้ว เราจักเกิดในตระกูลนั้น พระเจ้าสุท-
โธทนมหาราช จักเป็นพระราชบิดาของเราดังนี้. ต่อจากนั้นเมื่อจะเลือกมารดา
ก็เห็นว่า ธรรมดาพระพุทธมารดาย่อมไม่โลเลในบุรุษ ไม่เป็นนักเลงสุรา แต่จะ
เป็นผู้บำเพ็ญบารมีมาตลอดแสนกัป จำเดิมแต่เกิดจะมีศีล 5 ไม่ขาดเลย และ
พระเทวีทรงพระนามว่า มหามายา นี้ทรงเป็นเช่นนี้ พระนางจะทรงเป็น พระ-
ราชมารดาของเรา ดังนี้ เมื่อตรวจดูว่า ก็พระนางจะทรงมีพระชนมายุเท่าไร
ก็เห็นว่ามีอายุเกินกว่า 10 เดือนไป 7 วัน.
พระโพธิสัตว์ตรวจดูมหาวิโลกนะ 5 ประการนี้ ด้วยประการฉะนี้แล้ว
คิดว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ ถึงกาลอันควรของเราแล้วที่จะเป็นพระพุทธเจ้า
เมื่อจะกระทำการสงเคราะห์เทวดาทั้งหลายจึงให้ปฏิญญาแล้วกล่าวว่า ขอพวก
ท่านไปได้ ส่งเทวดาเหล่านั้นกลับไป มีเทวดาชั้นดุสิตห้อมล้อมแล้ว ไปสู่
นันทวันในดุสิตบุรี. จริงอยู่ นันทวันมีอยู่ในทุกเทวโลกทีเดียว. เทวดาใน
นันทวันในเทวโลกนั้น กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ขอท่านจงจุติจากนันทวัน
นี้ไปสู่สุคติเถิด เที่ยวคอยเตือนให้พระมหาสัตว์รำลึกถึงโอกาสแห่งกุศลกรรมที่
เคยกระทำไว้ครั้งก่อน. พระโพธิสัตว์อันพวกเทวดาผู้คอยเตือนให้รำลึกถึงกุศล
กรรมห้อมล้อมแล้วอย่างนี้ เที่ยวไปอยู่ในเทวโลกนั้น จุติแล้วถือเอาปฏิสนธิ

ในพระครรภ์ของพระมหามายาเทวี ก็เพื่อที่จะให้ชัดแจ้งถึงวิธีที่พระโพธิสัตว์
ถือปฏิสนธิ มีถ้อยคำที่จะบรรยายตามลำดับ ดังนี้
ได้ยินว่า ในกาลนั้นในนครกบิลพัสดุ์ได้มีงานนักขัตฤกษ์ เดือน 8
กันอย่างเอิกเกริก มหาชนเล่นงานนักขัตฤกษ์กัน ฝ่ายพระนางมหามายาเทวี
อีก 7 วันจะถึงวันบุรณมี ทรงร่วมเล่นงานนักขัตฤกษ์แต่ไม่มีการดื่มสุรากัน
มีแต่จัดดอกไม้ของหอมและเครื่องประดับ ในวันที่ 7 ทรงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่
ทรงสนานด้วยน้ำหอม ทรงสละพระราชทรัพย์สี่แสน ถวายมหาทานแล้ว
ทรงแต่งพระองค์ด้วยเครื่องประดับครบทุกอย่าง เสวยพระกระยาหารอย่างดี
ทรงอธิษฐานองค์อุโบสถ เสด็จเข้าห้องอันมีสิริ บรรทมบนพระสิริไสยาสน์
ก้าวลงสู่นิทรารมณ์ ได้ทรงพระสุบินนี้ว่า นัยว่าท้าวมหาราชทั้ง 4 ยก
พระนางขึ้นพร้อมกับพระแท่นที่บรรทมทีเดียว ไปยังป่าหิมพานต์ แล้ววาง
บนพื้นแผ่นศิลามีประมาณ 60 โยชน์ ภายใต้ต้นสาละใหญ่มีประมาณ 7 โยชน์
ได้ยืน ณ ที่ควรข้างหนึ่ง. ที่นั้นเหล่านางเทวีของท้าวมหาราชทั้ง 4 นั้น ต่าง
พากันมานำพระเทวีไปยังสระอโนดาต ให้สรงสนานเพื่อที่จะชำระล้างมลทิน
ของมนุษย์ออก ให้ทรงนุ่งห่มผ้าทิพย์ ลูบไล้ด้วยของหอมทิพย์ ประดับประ-
ดาด้วยดอกไม้ทิพย์ ในที่ไม่ไกลจากที่นั้น มีภูเขาเงินอยู่ลูกหนึ่ง ภายในภูเขา
นั้นมีวิมานทอง พวกเขาก็ตั้งพระแท่นที่บรรทมอันเป็นทิพย์ บ่ายพระเศียร
สูงขึ้นทางปราจีนทิศ (ตะวันออก) ทูลให้บรรทมในวิมานทองนั้น พระโพธิ-
สัตว์เป็นพระยาช้างตัวประเสริฐสีขาวผ่อง เดินเที่ยวไปที่ภูเขาทองลูกหนึ่ง ใน
ที่ไม่ไกลแต่ที่นั้น เดินลงจากภูเขาทองนั้น ขึ้นไปยังภูเขาเงิน มาทางด้านอุตตร
ทิศ (ทิศเหนือ) เอางวงอันมีสีราวกะว่าพวงเงินจับดอกปทุมชาติสีขาว เปล่ง
โกญจนาท เข้าไปยังวิมานทอง กระทำประทักษิณแท่นบรรทมของพระราช-
มารดา 3 รอบแล้ว ปรากฏเหมือนกับว่าทะลุทางด้านเบื้องขวาเข้าไปในพระ

อุทรของพระนาง. พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิ ในวันนักขัตฤกษ์เดือน 8 หลัง
ด้วยประการฉะนี้.
ในวันรุ่งขึ้นพระเทวีทรงตื่นบรรทมแล้ว กราบทูลถึงพระสุบินนั้นแด่
พระราชา พระราชารับสั่งให้เชิญพราหมณ์ชั้นหัวหน้า 64 คนเข้าเฝ้า ให้
จัดปูลาดอาสนะมีค่ามากบนพื้นที่ฉาบด้วยโคมัยสด มีเครื่องสักการะอันเป็น
มงคลกระทำด้วยข้าวตอกเป็นต้น ให้ใส่ข้าวปายาสอย่างเลิศ ซึ่งปรุงด้วยเนย
ใส น้ำผึ้ง และน้ำตาลกรวดลงจนเต็มถาดทองและเงิน เอาถาดทองและเงิน
ครอบแล้ว ถวายให้พวกเขาอิ่มหนำ พร้อมกับถวายผ้าห่มและแม่โคแดงเป็นต้น
ที่นั้น เมื่อพวกพราหมณ์เหล่านั้น อิ่มหนำด้วยของที่ต้องการทุกอย่างแล้ว จึง
ตรัสบอกพระสุบิน แล้วตรัสถามว่า จักมีอะไรเกิด. พวกพราหมณ์กราบทูล
ว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์อย่าทรงวิตกอะไรเลย พระเทวีทรงตั้งพระครรภ์
แล้ว และพระครรภ์ที่ตั้งขึ้นนั้น เป็นครรภ์บุรุษ มิใช่ครรภ์ของสตรี พระองค์
จักมีพระราชบุตร ถ้าพระราชบุตรนั้นทรงอยู่ครองเรือน จักได้เป็นพระเจ้า
จักรพรรดิ ถ้าเสด็จออกจากเรือนบวชจักได้เป็นพระพุทธเจ้า ผู้ทรงมีกิเลส
ประดุจหลังคาอันเปิดแล้วในโลก.
ก็ในขณะที่พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระคัพโภทรของพระมารดา
นั่นแหละ ตลอดหมื่นโลกธาตุก็ไหวหวั่นสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นพร้อมกันทันที.
บุรพนิมิต 32 ประการปรากฏขึ้นแล้ว. ในหมื่นจักรวาลได้มีแสงสว่างสุดจะ
ประมาณแผ่ซ่านไป. พวกคนตาบอดต่างก็ได้ตาดีขึ้น ดูประหนึ่งว่ามีประสงค์
จะดูพระสิรินั้นของพระโพธิสัตว์นั้น. พวกคนหูหนวกก็ฟังเสียงได้ พวกคนใบ้
ก็พูดจาได้ พวกคนค่อมก็มีตัวตรงขึ้น คนง่อยเปลี้ยเสียขาก็เดินด้วยเท้าได้.
สัตว์ทั้งปวงที่ถูกจองจำก็พ้นจากเครื่องจองจำมีขื่อคาเป็นต้น. ในนรกทุกแห่ง
ไฟก็ดับ. ในเปรตวิสัยความหิวกระหายก็สงบระงับ. เหล่าสัตว์ดิรัจฉานก็ไม่
มีความกลัวภัย. โรคและไฟกิเลสมีราคะเป็นต้นของสัตว์ทั้งปวงก็สงบระงับ.

สัตว์ทั้งปวงต่างมีวาจาน่ารัก ม้าทั้งหลายต่างก็ร้อง ช้างทั้งหลายต่างก็ร้อง
ด้วยอาการอันอ่อนหวาน. บรรดาดนตรีทุกชนิดต่างก็เปล่งเสียงกึกก้องของตน
ได้เอง ไม่ต้องมีใครตีเลย เครื่องอาภรณ์ที่สวมอยู่ที่มือของมนุษย์ทั้งหลาย
ร้องขึ้นได้ ทิศทุกทิศต่างก็แจ่มใสไปทั่ว สายลมอ่อนเย็นที่จะให้เกิดสุขแก่
สัตว์ทั้งหลายก็พัดโชยมา. เมฆที่มิใช่กาลก็ให้ฝนตก. แม้จากแผ่นดิน น้ำก็ชำ-
แรกไหลออกมา เหล่านกก็ไม่บินไปในอากาศ แม่น้ำก็นิ่งไม่ไหล น้ำใน
มหาสมุทรก็มีรสอร่อย พื้นทั่วไปทุกแห่งก็ดาดาษด้วยดอกบัวหลวงมี 5 สี.
ดอกไม้ทุกชนิดที่เกิดบนพื้นดินและเกิดในน้ำต่างก็บานไปทั่ว. ที่ลำต้นต้นไม้ก็
มีดอกปทุมลำต้นบาน ที่กิ่งก็มีดอกปทุมกิ่งบาน ที่เถาวัลย์ก็มีดอกปทุมเถาวัลย์
บาน. ที่พื้นดินก็มีดอกปทุมมีก้านชำแรกพื้นหินโผล่ขึ้นเบื้องบน ๆ แห่งละ 7
ดอก ในอากาศก็มีดอกปทุมห้อยย้อยเกิดขึ้น ฝนดอกไม้โปรยปรายไปโดย
รอบ ๆ ทิพยดนตรีต่างก็บรรเลงขึ้นในอากาศ. ทั้งหมื่นโลกธาตุเป็นประดุจ
พวงมาลัยที่เขาจับเหวี่ยงให้หมุนแล้วปล่อยไป ดูราวกะว่ากำดอกไม้ที่เขาจับบีบ
เข้าแล้วมัดให้รวมกัน และเป็นเสมือนที่นอนดอกไม้ที่ประดับประดาและตก-
แต่งแล้ว มีดอกไม้เป็นพวงเดียวกัน เหมือนพัดวาสวีชนีที่กำลังโบกสะบัดอยู่
อบอวลไปด้วยกลิ่นของดอกไม้และธูป ได้เป็นโลกธาตุที่ถึงความงามสุดยอด
แล้ว.
จำเดิมแต่ปฏิสนธิของพระโพธิสัตว์ ผู้ถือปฏิสนธิแล้วอย่างนี้ เพื่อที่
จะป้องกันมิให้เกิดอันตรายแก่พระโพธิสัตว์ และพระราชมารดาของพระโพธิ
สัตว์ เทวบุตร 4 องค์ มีมือถือพระขรรค์คอยให้การอารักขา ความคิดเกี่ยว
กับราคะในบุรุษทั้งหลาย มิได้เกิดแต่พระราชมารดาของพระโพธิสัตว์. พระ-
นางมีแต่ถึงความเลิศด้วยลาภและความเลิศด้วยยศ มีความสุข มีพระวรกาย
ไม่ลำบาก และทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งอยู่ในพระคัพโภทร
ประดุจด้ายสีขาวที่ร้อยไว้ในแก้วมณีที่ใสแจ๋ว ธรรมดาคัพโภทรที่พระโพธิสัตว์

อาศัยอยู่เป็นเช่นกับท้องของเจดีย์ สัตว์อื่นไม่สามารถจะอาศัยอยู่หรือบริโภค
ได้ เพราะฉะนั้น พระราชมารดาของพระโพธิสัตว์จึงสวรรคต แล้วไป
อุบัติในดุสิตบุรี ในเมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติแล้วได้ 7 วัน หญิงอื่นไม่ถึง
10 เดือนบ้าง เลยไปบ้าง นั่งคลอดบ้าง นอนตลอดบ้าง ฉันใด พระราช-
มารดาของพระโพธิสัตว์หาเป็นฉันนั้นไม่. แต่พระนางจะบริบาลพระโพธิสัตว์
ไว้ในพระคัพโภทรสิ้น 10 เดือน แล้วประทับยืนตลอด และก็ข้อนี้เองเป็น
ธรรมดาของพระราชมารดาของพระโพธิสัตว์ แม้พระนางมหามายาเทวีทรง
บริบาลพระโพธิสัตว์ในพระคัพโภทรสิ้น 10 เดือน ประดุจบริบาลน้ำมันไว้
ด้วยบาตรฉะนั้น มีพระครรภ์แก่เต็มที่แล้ว มีพระราชประสงค์จะเสด็จไปยัง
เรือนพระญาติ จึงกราบทูลพระเจ้าสุทโธทนมหาราชว่า ข้าแต่สมมติเทพ
หม่อมฉันปรารถนาจะไปยังนครเทวหะที่เป็นของตระกูล. พระเจ้าสุทโธทนะ
ทรงรับว่าได้ แล้วรับสั่งให้ปราบทางจากพระนครกบิลพัสดุ์จนถึงเทวทหนคร
ให้ราบเรียบดีแล้ว ประดับประดาด้วยต้นกล้วย หม้อเต็มด้วยน้ำ ธงชายและ
ธงแผ่นผ้า ให้พระเทวีประทับนั่งในพระวอทอง ให้อำมาตย์พันคนหามไป ทรง
ส่งไปพร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก. ก็ในระหว่างพระนครทั้งสองแม้ชาวพระ
นครทั้งสอง ก็มีสาลวันอันเป็นมงคล ชื่อว่าลุมพินีวัน. ในสมัยนั้น สาลวัน
ทั้งปวงได้มีดอกไม้บานเป็นอย่างเดียวกัน ตั้งแต่โคนต้นจนถึงปลายกิ่ง. จาก
ระหว่างกิ่งและระหว่างดอก มีฝูงนกห้าสี มีสีดั่งแมลงภูจำนวนมากมาย เที่ยว
บินร้องประสานเสียง ลุมพินีวันทั้งสิ้นจึงเป็นเช่นกับจิตรลดาวัน ดูประหนึ่ง
เป็นมณฑลของพื้นที่มาร่วมดื่มกัน. พระเทวีได้เกิดมีพระประสงค์จะทรงเล่น
กีฬาในสาลวัน เพราะทอดพระเนตรเห็นลุมพินีวันนั้น. พวกอำมาตย์พาพระ-
เทวีเข้าไปยังสาลวัน พระนางได้ทรงมีพระประสงค์จะเสด็จไปยังโคนต้นสาละ
อันเป็นมงคลแล้ว ทรงจับที่กิ่งต้นสาละ กิ่งต้นสาละก็น้อมลง ประดุจยอด

หวายที่ถูกรมให้ร้อนแล้ว พระหัตถ์พระเทวีพอจะเอื้อมถึงได้. พระนางทรง
เหยียดพระหัตถ์ออกจับกิ่ง.
ก็ในขณะนั้นนั่นเองลมกันมัชวาตของพระนางเกิดปั่นป่วน ทีนั้น
มหาชนแวดวงพระวิสูตรแก่พระนางแล้วก็หลีกไป. เมื่อพระนางทรงจับกิ่งต้น
สาละประทับยืนอยู่นั่นแหละ ได้ทรงประสูติแล้ว. ในขณะนั้นนั่นเอง
ท้าวมหาพรหมผู้มีจิตบริสุทธิ์ 4 องค์ ก็มาถึงพร้อมกับถือข่ายทองมาด้วย เอา
ข่ายทองนั้นรับพระโพธิสัตว์ วางไว้ตรงพระพักตร์ของพระราชมารดา พลาง
ทูลว่า ข้าแต่พระเทวี ขอพระองค์จงดีพระทัยเถิด พระราชบุตรของพระองค์
มีศักดาใหญ่อุบัติขึ้นแล้ว เหมือนอย่างว่า สัตว์เหล่าอื่นเมื่อตลอดออกจากท้อง
มารดาย่อมแปดเปื้อนด้วยสิงปฏิกูลอันไม่สะอาดตลอดออกมาฉันใด พระโพธิ-
สัตว์หาเป็นฉันนั้นไม่ ก็พระโพธิสัตว์นั้นเหยียดมือและเท้าสองข้างออกยืนตรง
ดุจพระธรรมกถึกลงจากธรรมาสน์ และดุจบุรุษลงจากบันได มิได้แปดเปื้อน
ด้วยของไม่สะอาดใด ๆ ที่มีอยู่ในครรภ์มารดา เป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์รุ่งโรจน์
อยู่ประดุจแก้วมณีที่เขาวางไว้บนผ้ากาสิกพัสตร์ ตลอดออกมาจากครรภ์มารดา
แม้เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วก็ตาม สายธารแห่งน้ำสองสายก็พลุ่งออกมาจากอากาศ
โสรจสรงพระสรีระของพระโพธิสัตว์และพระมารดาทำให้อบอุ่นสบาย เพื่อเป็น
เครื่องสักการะแก่พระโพธิสัตว์และพระมารดา ต่อนั้นท้าวมหาราช 8 องค์ได้
รับพระโพธิสัตว์นั้น จากมือของพรหมผู้ยืนเอาข่ายทองรับอยู่ ด้วยเครื่องปู
ลาดที่ทำด้วยหนังเสือดาวที่มีสัมผัสอ่อนนุ่มซึ่งสมมติกันว่าเป็นมงคล พวก
มนุษย์จึงเอาพระยี่ภู่ผ้าทุกูลพัสตร์รับจากมือของท้าวมหาราชเหล่านั้น พอพ้น
จากมือของพวกมนุษย์ พระโพธิสัตว์ก็ประทับยืนบนแผ่นดินทอดพระเนตรดู
ทิศตะวันออก จักรวาลนับได้หลายพันได้เป็นที่โล่งเป็นอันเดียวกัน พวกเทวดา
และมนุษย์ในที่นั้นต่างพากัน บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น กราบทูลว่า
ข้าแต่ท่าน บุรุษคนอื่นในที่นี้เช่นกับท่านไม่มี คนที่ยิ่งกว่าท่านจักมีแต่ที่ไหน

พระโพธิสัตว์มองตรวจดูตลอดทิศให้ทิศเล็กแม้ทั้ง 10 คือทิศใหญ่ 4 ทิศเล็ก
4 เบื้องล่าง เบื้องบน ก็มิได้ทรงมองเห็นใครที่เช่นกับคนทรงดำริว่า นี้เป็น
ทิศเหนือ แล้วได้เสด็จไปโดยย่างพระบาท 7 ก้าว มีท้าวมหาพรหมกั้นเศวต-
ฉัตร ท้าวสุยามเทวบุตรถือพัดวาลวีชนี และเทวดาเหล่าอื่นมีมือถือเครื่อง
ราชกกุธภัณฑ์ที่เหลือเดินตามเสด็จ ต่อจากนั้นประทับยืนที่พระบาทที่ 7 ทรง
เปล่งอาสภิวาจา [วาจาแสดงความยิ่งใหญ่] เป็นต้นว่า เราเป็นผู้เลิศของโลก
ทรงบรรลือสีหนาทแล้ว.
จริงอยู่พระโพธิสัตว์ เพียงตลอดออกมาจากครรภ์มารดาเท่านั้น ก็เปล่ง
วาจาได้ในสามอัตภาพเท่านั้นคือ ในอัตภาพเป็นมโหสถ ในอัตภาพเป็นพระ-
เวสสันดร ในอัตภาพนี้. นัยว่าในอัตภาพเป็นมโหสถเมื่อพระโพธิสัตว์ตลอด
ออกจากครรภ์มารดาเท่านั้น ท้าวสักกเทวราชเสด็จมา ทรงวางแก่นจันทน์ที่
มือแล้วเสด็จไป พระโพธิสัตว์กำแก่นจันทร์นั้นไว้ในกำมือตลอดออกมา. ทีนั้น
มารดาจึงถามเขาว่า แน่ะพ่อ ลูกถืออะไรมา. ข้าแต่แม่ ยาครับ พระโพธิสัตว์
ตอบ. เพราะเหตุที่ถือเอายามา คนทั้งหลายจึงตั้งชื่อใให้แก่เขาว่า โอสถทารก[เด็ก
ถือยา] ชนทั้งหลายจึงถือเอายานั้นใส่ไว้ในตุ่ม โอสถนั้นนั่นแหละได้เป็นยารักษา
โรคสารพัดให้หายได้ แก่คนตาบอดและหูหนวกเป็นต้น ที่พากันมา ๆ ต่อมา
เพราะถือเอาคำที่พูดกันว่า โอสถนี้มีคุณมาก โอสถนี้มีคุณมาก เขาจึงได้เกิดมีชื่อ
ขึ้นอีกว่า มโหสถ. ส่วนในอัตภาพเป็นพระเวสสันดร พระโพธิสัตว์เพียงตลอด
ออกจากครรภ์ของมารดา ก็เหยียดแขนออก พลางกล่าวว่า ข้าแต่แม่ ในเรือน
มีทรัพย์บ้างไหม ลูกจะให้ทาน แล้วตลอดออกมาทีนั้น พระมารดาของพระโพธิ-
สัตว์นั้นกล่าวว่า แน่ะพ่อ ลูกเกิดในตระกูลที่มีทรัพย์ ว่าแล้วให้วางถุงเงินพัน
หนึ่งไว้แล้ว จึงวางมือของลูกไว้บนฝ่ามือของพระองค์ ในอัตภาพเป็นพระโพธิ
สัตว์บรรลือสีหนาทแม้นี้ ด้วยประการฉะนี้.

พระโพธิสัตว์เพียงแต่ว่าตลอดออกจากครรภ์มารดาเท่านั้น ก็เปล่งวาจา
ได้ในสามอัตภาพโดยอาการอย่างนี้. เหมือนอย่างว่าในขณะถือปฏิสนธิฉันใด
แม้ในขณะอุบัติขึ้นก็ฉันนั้น. บุรพนิมิต 32 ประการก็ได้ปรากฏขึ้น ก็ใน
สมัยที่พระโพธิสัตว์ของพวกเราอุบัติ แล้วในลุมพินีวัน ในสมัยนั้นนั่นแล พระ-
เทวีผู้เป็นพระราชมารดาของพระราหุล ฉะนั้นอำมาตย์ กาฬุทายีอำมาตย์
ราชกุมารอานนท์ พระยาม้ากัณฐกะ มหาโพธิพฤกษ์ ชุมทรัพย์ 4 ขุมก็เกิดขึ้น
พร้อมกัน บรรดาชุมทรัพย์เหล่านั้น ขุมทรัพย์หนึ่งมีประมาณคาวุตหนึ่ง ขุมหนึ่ง
ประมาณกึ่งโยชน์ ขุมหนึ่งมีประมาณ 3 คาวุต ขุมหนึ่งมีประมาณโยชน์หนึ่ง
เพราะฉะนั้น จึงรวมเป็นสหชาต 7 อย่างเหล่านี้. พวกชาวเมืองลองนครต่างได้
พาพระโพธิสัตว์กลับ ไปยังนครกบิลพัสดุ์เลยทีเดียว ในวันนั้นนั่นเอง ชุมนุม
เทวดาในดาวดึงสพิภพต่างร่าเริงยินดีว่า พระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทน-
มหาราช อุบัติแล้วในนครกบิลพัสดุ์ พระราชกุมารนี้จักประทับนั่งที่ลานต้น
โพธิแล้วจักเป็นพระพุทธเจ้าดังนี้ แล้วพากันโบกสะบัดผ้า [แสดงความยินดี]
เล่นสนุกกัน.
ในสมัยนั้นมีดาบสผู้คุ้นเคยกับตระกูลของพระเจ้าสุทโธทนมหาราชได้
สำเร็จสมาบัติ 8 ชื่อกาลเทวละ เขาฉันเสร็จสรรพแล้วจึงเหาะไปยังดาวดึงส์
พิภพ เพื่อพักผ่อนในเวสากลางวัน นั่งพักผ่อนกลางวันในที่นั้น เห็นเทวดา
เหล่านั้น จึงถามว่าเพราะเหตุไรพวกท่านจึงมีใจยินดีเล่นสนุกกันอย่างนี้ ขอ
ได้โปรดบอกเหตุนั้นแก่อาตมภาพด้วย พวกเทวดาได้บอกเหตุนั้นว่า ข้าแต่
ท่านผู้นิรทุกข์ พระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะอุบัติขึ้นแล้ว ในกาลนั้น
พระองค์จักประทับนั่งที่ลานแห่งต้นโพธิแล้วจักเป็นพระพุทธเจ้าประกาศพระ-
ธรรมจักร พวกข้าพเจ้าต่างยินดีเพราะเหตุนี้ว่า พวกเราจักได้เห็นพระพุทธลีลา
อันหาที่สุดมิได้ และจักได้ฟังพระธรรมของพระองค์ ดาบสนั้นฟังคำของเหล่า
เทวดาแล้ว ลงจากเทวโลกทันทีเข้าไปยังพระราชนิเวศน์ นั่งบนอาสนะที่เขาปู

ไว้แล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่มหาบพิตร ได้ยินว่าพระราชโอรสของพระองค์อุบัติ
แล้ว อาตมภาพอยากเห็นพระองค์ พระราชามีรับสั่งให้พาพระราชกุมารผู้ประ-
ดับประดาตกแต่งแล้วมา ทรงอุ้มไปเพื่อให้นมัสการดาบส พระบาททั้งสอง
ของพระโพธิสัตว์กลับไปประดิษฐานอยู่บนชฎาของดาบส จริงอยู่บุคคลอื่น
ที่ชื่อว่าพระมหาสัตว์จะพึงไหว้โดยอัตภาพนั้นไม่มี ถ้าคนผู้ไม่รู้พึงวางศีรษะ
ของพระโพธิสัตว์ที่บาทมูลของดาบส ศีรษะของดาบสนั้น พึงแตกออก 7 เสี่ยง
ดาบสคิดว่า การทำคนของเราให้พินาศไม่สมควร จึงลุกจากอาสนะแล้ว
ประคองอัญชลีแก่พระโพธิสัตว์ พระราชาทอดพระเนตรเห็นเหตุอัศจรรย์นั้น
จึงทรงไหว้บุตรของตน. ดาบสระลึกได้ชาติ 80 กัป คือ ในอดีต 40 กัป ใน
อนาคต 40 กัป เห็นลักษณสมบัติของพระโพธิสัตว์จึงใคร่ครวญดูว่า เธอจักได้
เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่หนอ ทราบว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยมิต้องสงสัย
คิดว่า พระราชบุตรนี้เป็นอัจฉริยบุรุษจึงได้กระทำความยิ้มแย้มให้ปรากฏ ต่อ
นั้นจึงใคร่ครวญดูว่า เราจักได้ทันเห็นความเป็นพระพุทธเจ้านี้หรือไม่หนอ ก็
เห็นว่า เราจักไม่ได้ทันเห็น จักดายเสียก่อนในระหว่างนั้นแหละ แล้วจักไป
บังเกิดในอรูปภพที่พระพุทธเจ้าตั้งร้อยพระองค์ก็ดี ตั้งพันพระองค์ก็ดี ไม่สา-
มารถที่จะเสด็จไปเพื่อให้ตรัสรู้ได้ แล้วคิดว่า เราจักไม่เห็นอัจฉริยบุรุษผู้เป็น
พระพุทธเจ้าเห็นปานนี้ และเราจักมีความเสื่อมใหญ่ ดังนี้แล้วร้องไห้ลั่นไป.
พวกมนุษย์เห็นแล้วจึงเรียนถามว่า พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา เมื่อตะกี้นี้เอง
หัวเราะแล้วกลับปรากฏร้องไห้อีกเล่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อันตรายอะไรจักเกิด
แก่พระลูกเจ้าของพวกเราหรือหนอ. ดาบสตอบว่า พระองค์ไม่มีอันตรายจักได้
เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย.
พวกมนุษย์ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร ท่านจึงร้องไห้ลั่นไป.
ดาบสตอบว่า เราเศร้าโศกถึงตนว่า จักไม่ได้ทันเห็นพระมหาบุรุษผู้เป็นพระ-
พุทธเจ้า เห็นปานนี้ ความเสื่อมใหญ่จักมีแก่เราดังนี้ จึงได้ร้องไห้.

ต่อจากนั้น ดาบสใคร่ครวญอยู่ว่า ในวงญาติของเรามีใครบ้างจักได้
เห็นความเป็นพระพุทธเจ้านั้น ได้มองเห็นนาลกทารกผู้เป็นหลาน เขาจึงไปยัง
เรือนของน้องสาว ถามว่า นาลกะ. บุตรของเจ้าอยู่ไหน. ข้าแต่พระคุณเจ้า เขา
อยู่ในเรือน น้องสาวตอบ. จงเรียกเขามาที ให้เรียกมาแล้ว. ดาบสพูดกะเขาผู้
มายังสำนักของตนว่า นี่แน่ะพ่อ พระราชโอรสอุบัติแล้วในตระกูลของพระเจ้า
สุทโธทนมหาราชเป็นหน่อพุทธางกูร พระองค์จักได้เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อล่วงได้
35 ปี เจ้าจักได้เห็นพระองค์ เจ้าจงบวชในวันนี้ทีเดียว. เด็กเกิดในตระกูลนี้
ทรัพย์ได้ 87 โกฏิ คิดว่า ลุงคงจักไม่ชักชวนเราในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ทันใด
นั้นนั่นเองให้คนซื้อผ้ากาสาวพัสตร์ และบาตรดินจากตลาด ให้ปลงผมและ
หนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ประคองอัญชลีบ่ายหน้าไปทางพระโพธิสัตว์ ด้วย
กล่าวว่า บุคคลผู้สูงสุดในโลกพระองค์ใด ข้าพเจ้าขอบวชอุทิศบุคคลนั้น แล้ว
กราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ เอาบาตรใส่ถุง คล้องที่จะงอยบ่าแล้วไปยังหิม-
วันตประเทศบำเพ็ญสมณธรรม ท่านเข้าไปเฝ้าพระตถาคตผู้ได้บรรลุพระอภิ-
สัมโพธิครั้งแรก ทูลขอให้พระองค์ทรงแสดงนาลกปฏิปทา แล้วเข้าไปยังป่า
หิมพานต์อีก บรรลุพระอรหัตปฏิบัติข้อปฏิปทาอย่างเคร่งครัด รักษาอายุมาได้
ตลอด 7 เดือน ยืนพิงภูเขาทองอยู่นั่นแหละ ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสส
นิพพานธาตุ.
ในวันที่ 5 พระประยูรญาติทั้งหลายคิดว่าในวันที่ 5 พวกเราจักโสรจ-
สรงเศียรเกล้าพระโพธิสัตว์ แล้วเฉลิมพระนามแด่พระองค์ดังนี้ แล้วฉาบทา
พระราชมณเฑียรด้วยคันธชาติ 4 ชนิด โปรยดอกไม้มีข้าวดอกเป็นที่ 5 ให้
หุงข้าวปายาสล้วนๆ แล้วนิมนต์พรหมณ์ผู้เรียนจบไตรเพทจำนวน 108 คน
ให้นั่งในพระราชมณเฑียร ให้ฉันโภชนะอย่างดี ถวายสักการะมากมายแล้ว
ถามว่า อะไรหนอจักมี แล้วให้ตรวจดูพระลักษณะ บรรดาพราหมณ์เหล่านั้น.

พราหมณ์ 8 คนเหล่านี้คือ พราหมณ์ชื่อรามะ
ชื่อธชะ ชื่อลักขณะ ชื่อสุชาติมันตี ชื่อโภชะ ชื่อ
สุยานะ ชื่อโกณฑัญญะ ชื่อสุทัตตะ ในครั้งนั้นพวก
เขาได้เป็นพราหมณ์ 8 คน ผู้เรียนจบเวทางคศาสตร์
ทั้ง 6 พยากรณ์มนต์แล้ว.

ได้เป็นผู้ตรวจดูพระลักษณะ แม้พระสุบินในวันที่ถือปฏิสนธิ พราหมณ์
เหล่านี้แหละก็ได้ตรวจดูแล้ว บรรดาพราหมณ์ทั้ง 8 นั้น 7 คนยกสองนิ้ว
พยากรณ์เป็นสองทางว่า ผู้ประกอบด้วยลักษณะเหล่านี้ เมื่ออยู่ครองเรือน
จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เมื่อบวชจักได้เป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้ ต่างพา
กันบอกถึงสมบัติอันมีสิริของพระเจ้าจักรพรรดิ. แต่มาณพชื่อโกณฑัญญะโดย
โคตร เด็กกว่าพราหมณ์เหล่านั้นทุกคน พิจารณาดูความสมบูรณ์แห่งพระ-
ลักษณะของพระโพธิสัตว์ ชูนิ้วมือนิ้วเดียวเท่านั้นแล้วพยากรณ์อย่างเดียวว่า
พระโพธิสัตว์นี้ไม่มีเหตุที่จะดำรงอยู่ในท่ามกลางเรือน จักได้เป็นพระพุทธเจ้า
ผู้ทรงปราศจากกิเลสประดุจหลังคาโดยส่วนเดียวเท่านั้น. จริงอยู่โกณฑัญญ-
พราหมณ์นี้เป็นผู้สร้างความดียิ่งมาแล้ว เป็นสัตว์ที่จะเกิดเป็นภพสุดท้าย มี
ปัญญาเหนือกว่าคนทั้ง 7 ได้เห็นคติเดียวเท่านั้นว่า สำหรับผู้ที่ประกอบ
ด้วยลักษณะเหล่านั้น ไม่มีฐานะที่จะดำรงอยู่ในท่ามกลางเรือน จักต้องเป็นพระ-
พุทธเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้น เขาจึงชูนิ้วขึ้นนิ้วเดียว แล้วพยากรณ์
อย่างเดียว. ต่อมา พวกพราหมณ์เหล่านั้น กลับไปยังเรือนของตน แล้วต่าง
พากันเรียกบุตรมาบอกว่า นี่แน่ะพ่อทั้งหลาย พวกเราแก่แล้วจะทันได้เห็น
พระราชบุตรของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณหรือ
ไม่ก็ไม่รู้ พวกเจ้าเมื่อพระราชกุมารนี้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว พึงบวช
ในศาสนาของพระองค์เถิด ชนแม้ทั้ง 7 คนเหล่านั้น ดำรงอยู่ตราบเท่าอายุขัย
ก็ตายไปตามยถากรรม โกณฑัญญมาณพเท่านั้น ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ (ยังมี

ชีวิตอยู่). เมื่อพระมหาสัตว์เติบโตเจริญวัยขึ้นแล้ว เสด็จออกพระมหาภิเนษ-
กรมณ์ เสด็จไปยังอุรุเวลาประเทศตามลำดับ ทรงเกิดพระดำริว่า ภูมิภาคนี้
น่ารื่นรมย์จริงหนอ สถานที่นี้เหมาะที่จะบำเพ็ญเพียร สำหรับกุลบุตรผู้มีความ
ต้องการความเพียร ดังนี้แล้วเสด็จเข้าจำพรรษา ณ ที่นั้น เขาได้ฟังข่าวว่า
พระมหาบุรุษทรงผนวชแล้ว จึงเข้าไปหาบุตรของพราหมณ์เหล่านั้น พูดอย่าง
นี้ว่า ได้ทราบข่าวว่า พระสิทธีตถกุมารทรงผนวชแล้ว พระองค์จักได้เป็น
พระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย ถ้าบิดาของพวกท่านยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาพึง
ออกบวชในวันนี้แน่ หากพวกท่านพึงต้องการเช่นนั้นบ้าง มาซิ เราจักบวช
ตามพระมหาบุรุษนั้น พวกเขาทุกคนไม่สามารถที่จะมีความเห็นเป็นเอกฉันท์
กันได้. สามคนไม่บวช. สี่คนนอกนี้บวชตั้งให้โกณฑัญญพราหมณ์เป็นหัวหน้า
ชนทั้ง 5 คนเหล่านั้น จึงได้มีชื่อว่า พระปัญจวัคคีย์เถระ.
ก็ในกาลนั้น พระราชาตรัสถามว่า บุตรของเราเห็นอะไรจึงจักบวช
พวกอำมาตย์กราบทูลว่า บุพนิมิต 4 (ลางบอกเหตุล่วงหน้า). ตรัสถามว่า
อะไรบ้าง ๆ กราบทูลว่า คนแก่เพราะชรา คนเจ็บป่วย คนตาย บรรพชิต
พระราชาตรัสว่า จำเดิมแต่นี้ไป พวกท่านอย่าได้ให้นิมิตเห็นปานนี้ เข้าไป
สำนักแห่งบุตรของเรา เราไม่ต้องการให้บุตรเราเป็นพระพุทธเจ้า เราต้อง
การอยากจะเห็นบุตรของเรา ครอบครองราชสมบัติที่เป็นใหญ่และปกครอง
ทวีปใหญ่ทั้ง 4 ซึ่งมีทวีปเล็กสองหมื่นเป็นบริวาร ห้อมล้อมไปด้วยบริษัท
มีปริมณฑลได้สามสิบหกโยชน์ ท่องเที่ยวไปในพื้นนภากาศ. ก็แล เมื่อ
พระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้ว ทรงมีรับสั่งให้วางอารักขาไว้ในที่ทุก ๆ คาวุต ใน
ทิศทั้งสี่ เพื่อจะห้ามมิให้บริษัท 4 ประการเหล่านั้น เข้ามายังคลองจักษุของ
พระกุมาร ก็ในวันนั้น เมื่อตระกูลพระญาติแปดหมื่นประชุมกันในที่มงคลสถาน
พระญาติแต่ละพระองค์ต่างยินยอมยกบุตรให้ แต่ละคนว่า พระราชกุมาร

สิทธัตถะนี้จะเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระราชาก็ตาม พวกเราจักให้บุตรคนละคน
แม้ถ้าจักเป็นพระพุทธเจ้า ก็จักมีสมณกษัตริย์ไห้เกียรติและห้อมล้อม แม้ถ้า
เป็นพระราชา ก็จักมีขัตติยกุมารให้เกียรติและห้อมล้อม เที่ยวไป. ฝ่าย
พระราชาก็ทรงตั้งนางนม ล้วนมีรูปทรงชั้นเยี่ยม ปราศจากสรรพโทษทุก
ประการแก่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทรงเจริญวัยด้วยบริวารอเนกอนันต์
ด้วยส่วนแห่งความงามอันยิ่งใหญ่.
ต่อมาวันหนึ่ง พระราชาได้มีพระราชพิธีวัปปมงคล (แรกนาขวัญ)
วันนั้น พวกชาวนครต่างประดับประดา พระนครทุกหนทุกแห่งดุจดังเทพวิมาน
เหล่าพวกทาสและกรรมกรทั้งหมด ต่างนุ่งห่มผ้าใหม่ ประดับประดาด้วยของ
หอมและดอกไม้ ประชุมกันในราชตระกูล. ในพระราชพิธีมีการเทียมไถถึง
พันคัน ก็ในวันนั้น ไถ 108 อันหย่อนหนึ่งคัน (107 คัน) หุ้มด้วยเงิน
พร้อมด้วยโคผู้ ตะพาย และเชือก. ส่วนที่งอนพระนังคัลของพระราชา
หุ้มด้วยทองคำสุกปลั่ง. เขาของโคผู้ ตะพาย เชือก และปฏัก ก็หุ้มด้วย
ทองคำทั้งนั้น. พระราชาทรงพร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก เสด็จออกจากพระ
นครทรงพาพระราชโอรสไปด้วย. ในที่ประกอบพระราชพิธี มีต้นหว้าอยู่ต้น
หนึ่ง มีใบหนาแน่น มีเงาทึบ. ภายใต้ต้นหว้านั้นนั่นแหละ พระราชาทรง
รับสั่งให้ปูลาดพระแท่นบรรทมของพระราชโอรส เบื้องบนให้ผูกเพดานปัก
ด้วยดาวทองคำ ให้แวดวงด้วยปราการพระวิสูตร วางอารักขา ส่วนพระองค์
ก็ทรงประดับประดาด้วยเครื่องสรรพอลงกรณ์ มีหมู่อำมาตย์แวดล้อม ได้เสด็จ.
ไปยังที่จรดพระนังคัล ในที่นั้น พระราชาทรงถือพระนังคัลทองคำ พวก
อำมาตย์ถือคันไถเงิน 107 คัน พวกชาวนาต่างพากัน ถือคันไถที่เหลือ. เขา
เหล่านั้นต่างถือคันไถไถไปข้างโน้นบ้างข้างนี้บ้าง. แต่พระราชาทรงไถไปจาก
ด้านในสู่ด้านนอก จากด้านนอกสู่ด้านใน. ในที่นั้นมีมหาสมบัติ. นางนมที่

นั่งห้อมล้อมพระโพธิสัตว์อยู่ ต่างพากันออกมาข้างนอก จากภายในพระวิสูตร
ด้วยคิดว่า พวกเราจะดูสมบัติของพระราชา. พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรดู
ข้างโน้นและข้างนี้ ไม่ทรงเห็นใครจึงเสด็จลุกขึ้นโดยเร็ว ทรงนั่งขัดสมาธิ
กำหนดลมหายใจเข้าออก ทำปฐมฌานให้เกิดขึ้นแล้ว. พวกนางนมพากัน
เที่ยวไปในระหว่างเวลากินอาหาร ชักช้าไปหน่อยหนึ่ง. เงาของต้นไม้ที่เหลือ
ชายไป ส่วนเงาของต้นไม้นั้นตั้งเป็นปริมณฑลตรงอยู่. พวกนางนมคิดได้ว่า
พระลูกเจ้าประทับอยู่พระองค์เดียว จึงรีบเปิดพระวิสูตรขึ้น เข้าไปข้างใน
เห็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่งขัดสมาธิบนแท่นบรรทม และปาฏิหาริย์นั้น จึง
ไปกราบทูลแด่พระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระราชกุมารประทับนั่งอย่างนี้
เงาของต้นไม้เหล่าอื่นชายไป ของต้นหว้าตั้งเป็นปริมณฑลตรงอยู่อย่างนี้.
พระราชารีบเสด็จมา ทอดพระเนตรเห็นปาฏิหาริย์จึงตรัสว่า นี่แน่ะพ่อ นี้เป็น
การไหว้เจ้าครั้งที่สอง แล้วทรงไหว้ลูก.
ต่อมา พระโพธิสัตว์มีพระชนมายุได้ 16 พรรษาโดยลำดับ พระ-
ราชาทรงมีรับสั่งให้สร้างปราสาทสามหลังเหมาะสมกับสามฤดู คือ หลังหนึ่งมี
9 ชั้น หลังหนึ่งมี 7 ชั้น หลังหนึ่งมี 5 ชั้น และให้จัดหาหญิงฟ้อนรำไว้
สี่หมื่นคน พระโพธิสัตว์มีหญิงฟ้อนรำแต่ตัวสวยห้อมล้อมอยู่เป็นประหนึ่ง
เทพเจ้าผู้ห้อมล้อมอยู่ด้วยหมู่นางอัปสร ฉะนั้น ถูกบำเรออยู่ด้วยดนตรี ไม่มี
บุรุษเลย ทรงเสวยสมบัติใหญ่ ประทับอยู่ในปราสาทเหล่านั้นตามคราวแห่ง
ฤดู. ส่วนพระราหุลมารดาได้เป็นพระอัครมเหสีของพระองค์. เมื่อพระองค์
เสวยมหาสมบัติอยู่ วันหนึ่งได้มีพูดกันขึ้นในระหว่างหมู่พระญาติอย่างนี้ว่า
พระสิทธัตถะทรงขวนขวายอยู่แต่การเล่นเท่านั้น มิได้ทรงศึกษาศิลปะใด ๆ
เลย เมื่อเกิดสงความขึ้นจักทำอย่างไรกัน. พระราชาทรงมีรับสั่งให้เรียกพระ-
โพธิสัตว์มาแล้วตรัสว่า นี่แน่ะพ่อ พวกญาติ ๆ ของลูกพูดกันว่า พระ-

สิทธัตถะมิได้ศึกษาศิลปะใด ๆ เลย เที่ยวขวนขวายแต่การเล่น ดังนี้ ลูกจะ
เห็นว่าถึงกาลอันควรหรือยัง พระโพธิสัตว์ทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์
ไม่มีกิจที่จะต้องศึกษาศิลปะ ขอพระองค์ได้โปรดให้ตีกลองป่าวร้องไปในพระ
นคร เพื่อให้มาดูการแสดงศิลปะของข้าพระองค์ แต่นี้อีก 7 วันข้าพระองค์ก็
จักแสดงศิลปะแก่พระญาติทั้งหลาย. พระราชาได้ทรงกระทำตามเช่นนั้น. พระ-
โพธิสัตว์รับสั่งให้ประชุมเหล่านายขมังธนูที่สามารถยิงได้ดังสายฟ้าแลบ ยิงขน
หางสัตว์ได้ ยิงต้านลูกศรได้ ยิงตามเสียงได้ และยิงลูกศรตามลูกศรได้
แล้วได้ทรงแสดงศิลปะ 12 อย่าง ที่พวกนายขมังธนูเหล่าอื่นไม่มีแก่พระญาติ
ทั้งหลาย ในท่ามกลางมหาชน ข้อนั้นพึงทราบตามนัยที่มีมาในสรภังคชาดก
นั้นเถิด ในคราวนั้น หมู่พระญาติของพระองค์ได้หมดพระทัยสงสัยแล้ว.
ต่อมาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์มีพระประสงค์จะเสด็จยังภูมิภาคในพระ
อุทยานจึงตรัสเรียกสารถีมาตรัสว่า จงเทียมรถ เขารับพระดำรัสว่าดีแล้ว จึง
ประดับประดารถชั้นดีที่สุด มีด่ามากด้วยเครื่องอลังการทุกชนิด เทียมม้าสินธพ
อันเป็นมงคล ซึ่งมีสีดุจกลีบดอกบัวขาว 4 ตัวเสร็จแล้วไปทูลบอกแด่พระโพธิ-
สัตว์ พระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นรถอันเป็นเช่นกับเทววิมานทรงบ่ายพระพักตร์
สู่พระอุทยาน เทวดาทั้งหลายคิดว่า กาลที่จะตรัสรู้ของพระสิทธัตถราชกุมาร
ใกล้เข้ามาแล้ว พวกเราจักแสดงบุพนิมิต เเล้วแสดงเทวบุตรคนหนึ่งทำให้
เป็นคนแก่หง่อม มีฟันหัก มีผมหงอก มีหลังโกงดุจกลอนเรือน มีตัวโค้งลง
มีมือถือไม้เท้า เดินงก ๆ เงิน ๆ อยู่ พระโพธิสัตว์และสารถีก็ได้ทอดพระเนตร
เห็นและแลเห็นภาพนั้น. ทีนั้นพระโพธิสัตว์ตรัสถามตามนัยที่มีมาในอุปทาน
นั่นแหละว่า นี่แน่ะสหายผู้เจริญชายคนนี้ชื่ออะไรกันนะ แม้แต่ผมของเขาก็ไม่
เหมือนของผู้อื่นดังนี้ ทรงสดับคำของสารถีแล้ว ทรงมีพระทัยสังเวชว่า นี่แน่ะ
ผู้เจริญ น่าติเตียนจริงหนอความเกิดนี้ ความแก่จักต้องปรากฏแก่สัตว์ผู้เกิด

แล้วอย่างแน่นอน ดังนี้แล้ว เสด็จกลับจากพระอุทยานเสด็จขึ้นสู่ปราสาท
ทีเดียว พระราชาตรัสถามว่า เพราะเหตุไรบุตรของเราจึงกลับเร็วนัก พวก
อำมาตย์ทูลว่า เพราะทอดพระเนตรเห็นคนแก่ พระเจ้าข้า พระราชาตรัสว่า
พวกเจ้าพูดว่า ลูกของเราเห็นคนแก่แล้วจักบวช เพราะเหตุไร จึงมาทำลาย
เราเสียเล่า จงรีบจัดหาละครมาแสดงแก่บุตรของเรา เธอเสวยสมบัติอยู่จักไม่
ระลึกถึงการบรรพชา แล้วให้เพิ่มอารักขามากขึ้น วางไว้ทุก ๆ ครั้งโยชน์ในทุก
ทิศ. ในวันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์ก็เสด็จไปยังพระอุทยานเหมือนเดิม ทอดพระ
เนตรเห็นคนเจ็บที่เทวดาเนรมิตขึ้น จึงตรัสถามโดยนัยก่อนนั่นแหละ ทรงมี
พระหฤทัยสังเวชแล้วกลับในรูปสู่ปราสาท. ฝ่ายพระราชาก็ตรัสถามแล้วทรงจัด
แจงตามนัยที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ ทรงวางอารักขาเพิ่มขึ้นอีก ในที่มี
ประมาณ 3 คาพยุตโดยรอบ. ต่อมาอีกวันหนึ่งพระโพธิสัตว์เสด็จไปยังพระ-
อุทยานเหมือนเดิม ทอดพระเนตรเห็นคนตายที่เทวดาเนรมิตขึ้น ตรัสถามโดย
นัยก่อนนั่นแหละ มีพระหฤหัยสังเวชแล้ว เสด็จกลับในรูปสู่ปราสาทอีก ฝ่าย
พระราชาก็ตรัสถามแล้วทรงจัดแจงตามนัยทีกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ ทรง
วางอารักขาเพิ่มขึ้นอีกในที่ประมาณโยชน์หนึ่งโดยรอบ. ก็ในวันหนึ่งต่อมาอีก
พระโพธิสัตว์เสด็จไปสู่พระอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเห็นบรรพชิตนุ่งห่มเรียบ
ร้อย มีเทวดาเนรมิตขึ้นเช่นเดิมนั่นแหละ จึงตรัสถามสารถีว่า นี่แน่ะเพื่อน
คนนั้นเขาเรียกชื่ออะไรนะ สารถีไม่ทราบถึงบรรพชิตหรือคนที่ทำให้เป็น
บรรพชิตเลย เพราะไม่มีการอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าก็จริง แต่ด้วยอานุภาพ
แห่งเทวดาจึงกราบทูลว่า คนนั้นเขาเรียกชื่อว่าบรรพชิตพระเจ้าข้า แล้ว
พรรณนาคุณแห่งการบวช พระโพธิสัตว์ให้รู้สึกเกิดความพอพระทัยในบรรพชิต
ได้เสด็จไปยังพระอุทยานในวันนั้น. แต่ท่านผู้กล่าวทีฆนิกายกล่าวว่า พระ-
โพธิสัตว์ได้เสด็จไปทอดพระเนตรเห็นนิมิตทั้ง 4 ในวันเดียวเท่านั้น พระโพธิ-

สัตว์เสด็จเทียวเตร่ตลอดวัน ทรงสระสนานในสระโบกขรณีอันเป็นมงคล เมื่อ
พระอาทิตย์อัสดงแล้ว ประทับนั่งบนแผ่นศิลาอันเป็นมงคลมีพระประสงค์จะ
ประดับประดาพระองค์ ทีนั้นพวกบริจาริกาของพระองค์พากันถือผ้ามีสีต่าง ๆ
เครื่องอาภรณ์ต่างชนิดมากมาย และดอกไม้ของหอม เครื่องลูบไล้ มายืน
ห้อมล้อมอยู่โดยรอบ ในขณะนั้น อาสนะที่ประทับนั่งของท้าวสักกะได้เกิดร้อน
ขึ้นแล้ว ท้าวเธอทรงใคร่ครวญดูว่า ใครหนอมีประสงค์จะให้เราเคลื่อนจาก
ที่นี้ ทอดพระเนตรเห็นกาลที่จะต้องประดับประดาพระโพธิสัตว์ จึงตรัสเรียก
วิสสุกรรมเทพบุตรมาตรัสว่า ดูก่อนวิสสุกรรมผู้สหาย วันนี้สิทธัตถราชกุมาร
จักเสด็จออกมหาภิเนษกรมน์ในเวลาเที่ยงคืน นี้เป็นเครื่องประดับอันสุดท้าย
ของพระองค์ ท่านจงไปยังพระอุทยานพบพระมหาบุรุษแล้ว จงประดับด้วย
เครื่องประดับทุกชนิด วิสสุกรรมเทพบุตรทูลรับ พระดำรัสว่าดีแล้ว เข้าไปหา
ในขณะนั้นนั่นเองด้วยเทวานุภาพ แปลงเป็นช่างกัลบกของพระองค์ทีเดียว
แล้วรับเอาผ้าโพกจากมือของช่างกัลบก มาพันพระเศียรของพระโพธิสัตว์พระ-
โพธิสัตว์ทรงทราบด้วยสัมผัสแห่งมือเท่านั้นว่า ผู้นี้มิใช่มนุษย์เขาเป็นเทวบุตร
พอพันผ้าโพกเข้า ผ้าพันผืนก็ปลิวสูงขึ้นโดยอาการเหมือนแก้วมณี ที่พระเมาลี
บนพระเศียร เมื่อพันอีกก็เป็นผ้าพันผืน เพราะฉะนั้น เมื่อพันสิบครั้ง ผ้า
หมื่นผืนก็ปลิวสูงขึ้น. ไม่ควรคิดว่า พระเศียรเล็กผ้ามีมาก ปลิวสูงขึ้นได้อย่างไร
ก็บรรดาผ้าเหล่านั้นผืนที่ใหญ่ที่สุด มีประมาณเท่าดอกสามลดา (เถาจิงจ้อ)
ที่เหลือนอกนี้มีประมาณเท่าดอกกุตุมพกะ พระเศียรของพระโพธิสัตว์หนา
แน่นด้วยศก เป็นเหมือนดอกสารภีที่แน่นทึบด้วยเกสร ต่อมาเมื่อพวกนักดนตรี
แสดงปฏิภาณของตน ๆ อยู่ เมื่อพวกพราหมณ์กล่าวยกย่องด้วยคำเป็นต้นว่า
ข้าแต่พระจอมนรินทร์ ขอพระองค์จงทรงชำนะเถิด และเมื่อพวกสารถีและ
มาฆตันธกะเป็นต้น กล่าวยกย่องอยู่ด้วยถ้อยคำอันเป็นมงคล คำชมเชยและ

คำป่าวประกาศนานัปการแก่พระโพธิสัตว์ผู้ประดับประดาแล้วด้วยเครื่องประดับ
สารพัด พระองค์ก็เสด็จขึ้นยังพระราชรถอันประเสริฐ ซึ่งประดับด้วยเครื่อง
ประดับทุกอย่าง.
ในสมัยนั้น พระเจ้าสุทโธทนมหาราชทรงสดับข่าวว่า พระราชมารดา
ของพระราหุล ทรงประสูติพระราชโอรสแล้ว จึงทรงส่งข่าวสารไปด้วยตรัสว่า
พวกเธอจงบอกความดีใจของเราแก่ลูกด้วย พระโพธิสัตว์ทรงสดับข่าวนั้นแล้ว
ตรัสว่า ราหุลเกิดแล้ว เครื่องจองจำเกิดแล้ว พระราชาตรัสถามว่า ลูกของเรา
พูดอะไรบ้าง ทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงตรัสว่า จำเดิมแต่นี้หลานของเราจงมีชื่อ
ว่า ราหุลกุมาร เถิด ฝ่ายพระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นยังพระราชรถอันประเสริฐ
เสด็จเข้าพระนครด้วยพระยศอันยิ่งใหญ่ด้วยพระสิริโสภาคย์อันน่ารื่นรมย์ใจยิ่ง
นัก ในสมัยนั้นพระนางกิสาโคตมีขัตติยกัญญา เสด็จอยู่ ณ พื้นปราสาทชั้นบน
ทอดพระเนตรเห็นพระรูปสิริของพระโพธิสัตว์ ผู้ทรงกระทำประทักษิณพระ
นครอยู่ ทรงเกิดพระปีติและโสมนัส จึงทรงเปล่งอุทานนี้ว่า
หญิงใดเป็นมารดาของพระกุมารนี้ หญิงนั้นดับ
ทุกข์ได้ ชายใดเป็นบิดาของพระกุมารนี้ ชายนั้นดับ
ทุกข์ได้ พระกุมารนี้เป็นพระสวามีของหญิงใด หญิง
นั้นดับทุกข์ได้

พระโพธิสัตว์สดับคำเป็นคาถานั้นแล้ว ทรงดำริว่า พระนางกิสา-
โคตมีนี้ตรัสอย่างนี้ว่า หทัยของมารดา หทัยของบิดา หทัยของภริยา ดูเห็น
อัตภาพเห็นปานนี้อยู่ ย่อมดับทุกข์ได้ เมื่ออะไรหนอดับ หทัยจึงชื่อว่าดับทุกข์
ได้ ทีนั้น พระโพธิสัตว์ผู้มีน้ำพระทัยคลายกำหนัดแล้วในกิเลสทั้งหลาย ได้ทรง
มีพระดำริว่า เมื่อไฟคือราคะดับ ขึ้นชื่อว่าความดับทุกข์ก็มีได้ เมื่อไฟคือโทสะ
ดับ ขึ้นชื่อว่าความดับทุกข์ก็มีได้ เมื่อไฟคือโมหะดับ ขึ้นชื่อว่าความดับทุกข์

ก็มีได้ เมื่อความเร่าร้อนทั้งหลายในกิเลสทั้งปวงมีฐานะและทิฏฐิเป็นต้น ดับ
แล้ว ขึ้นชื่อว่าความดับทุกข์ก็มีได้ พระนางให้เราได้ฟังคำที่ดี ความจริงเรา
ก็กำลังเที่ยวแสวงหานิพพานอยู่ เราควรจะทิ้งฆราวาสออกไปบวชและแสวงหา
นิพพานเสียวันนี้ทีเดียว แล้วทรงปลดสร้อยไข่มุกมีค่าพันหนึ่งจากพระศอก
ส่งไปมอบให้แก่พระนางกิสาโคตมี ด้วยทรงดำริว่า นี้จงเป็นอาจริยภาค
[ค่าเล่าเรียนของครู] สำหรับพระนางเถิด. พระนางเกิดปีติและโสมนัสว่า
สิทธัตถราชกุมารมีจิตรักใคร่ในเรา จึงส่งบรรณาการมาให้.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ เสด็จขึ้นสู่ปราสาทของพระองค์ ด้วยพระสิริโสภาคย์
อันใหญ่หลวง เสด็จบรรทมบนพระสิริไสยาสน์ ในทันใดนั่งเอง เหล่าสตรีผู้
ประดับประดาด้วยเครื่องประดับทุกอย่าง ได้ศึกษามาดีแล้วในเรื่องการฟ้อนและ
การขับเป็นต้น ทั้งมีรูปโฉมเลอเลิศ ประดุจดังนางเทพกัญญา ถือเอาดนตรี
นานาชนิดมาล้อมวงเข้าแล้วบำเรอพระโพธิสัตว์ให้รื่นรมย์ ต่างพากันแสดงการ
ฟ้อนรำขับร้องและการบรรเลง พระโพธิสัตว์เพราะเหตุที่พระองค์ทรงมีพระทัย
คลายกำหนัดแล้วในกิเลสทั้งหลาย จึงมิตรงอภิรมย์ในการฟ้อนรำเป็นต้น ครู่
เดียวก็ทรงเข้าสู่นิทรา พวกสตรีเหล่านั้นคิดว่า พวกเราแสดงการฟ้อนรำ
เป็นต้น เพื่อประโยชน์แก่พระราชกุมารใด พระราชกุมารนั้นทรงเข้าสู่นิทรา
แล้ว บัดนี้ จะลำบากไปเพื่ออะไร ต่างพากันวางเครื่องดนตรีที่ถือไว้ ๆ ลง
แล้วก็นอนหลับไป ควงประทีปน้ำมันหอมยังคงลุกไหม้อยู่ พระโพธิสัตว์ทรง
ตื่นบรรทม ประทับนั่งขัดสมาธิบนพระแท่นบรรทม ได้ทอดพระเนตรเห็นสตรี
เหล่านั้น นอนหลับทับเครื่องดนตรีอยู่ บางพวกมีน้ำลายไหล มีตัวเปรอะเปื้อน
ด้วยน้ำลาย บางพวกกัดฟัน บางพวกกรน บางพวกละเมื่อ บางพวกอ้าปาก บาง
พวกผ้านุ่งหลุดลุ่ย ปรากฏให้เห็นอวัยวะสตรีเพศที่น่าเกลียด พระโพธิสัตว์ทอด

พระเนตรเห็นอาการผิดปกติของสตรีเหล่านั้น ได้ทรงมีพระทัยคลายกำหนัด
ในกามทั้งหลายเป็นอย่างมาก พื้น [ปราสาท] ใหญ่นั้นประดับประดาตกแต่งแล้ว
แม้จะเป็นเช่นกับพิภพของท้าวสักกะ ได้ปรากฏแก่พระโพธิสัตว์นั้น ประหนึ่ง
ว่าป่าช้าผีดิบ ที่กองเต็มไปด้วยซากศพต่าง ๆ ที่เขาทิ้งไว้ ภพสามปรากฏ
ประหนึ่งว่าเรือนที่ไฟลุกไหม้ พระอุทานจึงมีขึ้นว่า วุ่นวายจริงหนอ ขัดข้อง
จริงหนอ พระทัยทรงน้อมไปในการบรรพชาเหลือเกิน.
พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า ควรเราจะออกมหาภิเนษกรมน์เสียวันนี้ที
เดียว จึงเสด็จลุกขึ้นจากที่บรรทม ไปยังที่ใกล้ประตูตรัสว่า ใครอยู่ในที่นี้
นายฉันนะนอนเอาศีรษะหนุนธรณีประตูอยู่ทูลตอบว่า ข้าแต่พระลุกเจ้า ข้าพระ-
องค์ฉันนะ. นี่แน่ะฉันนะ วันนี้เรามีประสงค์จะออกมหาภิเนษกรมน์ จงจัดหา
ม้าให้เราตัวหนึ่ง เขาทูลรับว่าได้พระเจ้าข้า แล้วเอาเครื่องแต่งม้าไปยังโรงพัก
ม้า เมื่อดวงประทีปน้ำมันหอมลุกโพลงอยู่ เห็นพระยาม้ากัณฐกะยืนอยู่บนภูมิ
ภาคน่ารื่นรมย์ ภายใต้เพดานที่ขึงไว้โดยรอบ คิดว่า วันนี้เราควรจัดม้า
กัณฐกะตัวนี้แหละถวาย จึงจัดม้ากัณฐกะถวาย ม้ากัณฐกะนั้นเมื่อเขาจัดเตรียม
อยู่ได้รู้ว่า การจัดเตรียมเราคราวนี้กระชับแน่นจริงไม่เหมือนกับการจัดเตรียม
ในเวลาเสด็จไปทรงเล่นในพระราชอุทยานในวันอื่นเป็นต้น วันนี้พระลูกเจ้า
ของเราคงจักทรงมีพระประสงค์จะเสด็จออกมหาภิเนษกรมน์ ทีนั้นมีใจยินดี
จึงร้องเสียงดังลั่นไปหมด เสียงนั้นพึงดังลั่นกลบทั่วพระนครทั้งสิ้น แต่เทวดา
คอยปิดกั้นไว้มิให้ใคร ๆ ได้ยิน ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงใช้นายฉันนะไปแล้ว
ทรงดำริว่า เราจักดูลูกเสียก่อน จึงเสด็จลุกขึ้นจากที่ประทับนั่งขัดสมาธิ ไป
ยังที่บรรทมของพระมารดาของพระราหุล เปิดพระทวารห้องแล้ว ในขณะนั้น
ประทีปที่เต็มด้วยน้ำมันหอมยังคงลุกไหม้อยู่ แม้พระราหุลมารดาก็บรรทมวาง

พระหัตถ์บนพระเศียรของพระโอรส บนที่บรรทมอันเกลื่อนกล่นไปด้วยดอก
มะลิซ้อนและดอกมะลิลาเป็นต้น ประมาณ 1 อัมมณะ [มาตราตวงข้าวสารมีน้า-
หนัก 11 โทณะ (ทะนาน)] พระโพธิสัตว์ประทับยืนวางพระบาทบนธรณี
ประตูนั่นแหละ ทอดพระเนตรดูแล้วทรงดำริว่า ถ้าเราจักจับมือพระเทวีออก
แล้วจับลูกของเรา พระเทวีจักตื่น เมื่อเป็นเช่นนี้อันตรายแห่งการไปจักมีแก่
เรา แม้เราเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็จักมาเยี่ยมลูกได้ ดังนี้จึงเสด็จลงจากพื้น
ปราสาทไป ก็คำที่ท่านกล่าวไว้ในอรรกถาชาดกว่า ตอนนั้นพระราหุลกุมาร
ประสูติได้ 7 วัน ไม่มีในอรรกถาที่เหลือ เพราะฉะนั้น พึงถือเอาคำนี้
นี่แหละ.
พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากพื้นปราสาทโดยประการนี้แล้ว ไปใกล้ม้าแล้ว
ตรัสว่า นี่แน่ะพ่อกัณฐกะ วันนี้เจ้าจงให้เราข้ามฝั่งสักคืนหนึ่งเถิด เราอาศัย
เจ้าเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จักให้โลกพร้อมทั่งเทวโลกข้ามฝั่งด้วย. ทีนั้นพระ-
โพธิสัตว์ก็ทรงกระโดดขึ้นหลังม้ากัณฐกะ. ม้ากัณฐกะโดยยาววัดได้ 18 ศอก
เริ่มแต่คอประกอบด้วยส่วนสูงก็เท่ากัน สมบูรณ์ด้วยกำลังและความเร็ว ขาวล้วน
ประดุจสังข์ที่ขัดสะอาดแล้ว. ถ้าม้ากัณฐกะนั้นพึงร้องหรือย่ำเท้า เสียงก็จะดังกลบ
ทั่วพระนครหมด เพราะเหตุนั้นเทวดาจึงกั้นเสียงร้องของม้านั้น โดยอาการที่
ใคร ๆ จะไม่ได้ยิน ด้วยอานุภาพของตน. พระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นสู่ หลังม้าตัว
ประเสริฐ ทรงให้นายฉันนะจับทางของม้าไว้เสด็จถึงที่ใกล้ประตูใหญ่ตอนเที่ยง
คืน ก็ในกาลนั้นพระราชาทรงดำริว่า พระโพธิสัตว์จักไม่สามารถเปิดประตู
พระนครออกไปได้ ไม่ว่าในเวลาใด ๆ จึงรับสั่งให้กระทำบานประตูสองบาน
แต่ละบาน บุรุษพันคนจึงจะเปิดได้ด้วยประการฉะนี้. พระโพธิสัตว์ทรง
สมบูรณ์พระกำลังยิ่ง ทรงมีพระกำลัง เมื่อเทียบกับช้างก็นับได้พันโกฏิ เมื่อ
เทียบกับบุรุษ ก็ทรงมีพระกำลังนับได้สิบแสนโกฏิ. เพราะฉะนั้นพระองค์จึง

ทรงดำริว่า ถ้าประตูไม่เปิด วันนี้เรานั่งอยู่บนหลังม้ากัณฐกะนี่แหละจักเอาขา
อ่อนหนีบม้ากัณฐกะแล้ว กระโดดข้ามกำแพงซึ่งสูงได้ 18 ศอกไป. นายฉันนะ
ก็คิดว่า ถ้าประตูไม่เปิด เราจักให้พระลูกเจ้าประทับนั่งที่คอของเราแล้วเอา
แขนขวาโอบรอบม้ากัณฐกะที่ท้อง กระทำให้อยู่ในระหว่างรักแร้ จักกระโดด
ข้ามกำแพงไป แม้ม้ากัณฐกะก็ติดว่า ถ้าประตูไม่เปิดเราจักยกนายของเราทั้ง ๆ
ที่นั่งอยู่บนหลังนี่แหละ พร้อมกันทีเดียวกับนายฉันนะผู้จับทางยืนอยู่ กระโดด
ข้ามกำเเพงไป ถ้าประตูจะไม่มีใครเปิดให้ บรรดาคนทั้งสามคนใดคนหนึ่งคง
จะทำสมกับที่คิดไว้แน่เเท้เทวดาผู้สิงอยู่ที่ประตูเปิดประตูให้.
ในขณะนั้นนั่นเอง มารผู้มีบาปมาด้วยคิดว่า เราจักให้พระโพธิสัตว์
กลับ แล้วยืนอยู่ในอากาศทูลว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ผู้เจริญ ท่านอย่าออกไป
ในวันที่ 7 นับเเต่วันนี้ไปจักรรัตนะจักปรากฏแก่ท่าน ท่านจักครอบครองราช
สมบัติแห่งทวีปใหญ่ทั้ง 4 มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวาร ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์
ท่านจงกลับเสียเถิด. จึงตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร. มารตอบว่า เราเป็น
วสวัตดีมาร. ตรัสว่า ดูก่อนมาร เราทราบว่าจักรรัตนะจะปรากฏแก่เรา เราไม่
มีความต้องการด้วยราชสมบัตินั้น เราจักไห้หมื่นโลกธาตุบรรลือแล่นแล้วเป็น
พระพุทธเจ้า. มารกล่าวว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ในเวลาที่ท่านทรงดำริ
ถึงกามวิตกก็ดี พยาบาทวิตกก็ดี วิหิงสาวิตกก็ดี เราจักรู้ดังนี้ คอยแสวงหา
ช่องอยู่ ติดตามพระองค์ไปประดุจเงา.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์มิได้มีความอาลัยละทิ้งจักรพรรดิราชสมบัติอันอยู่ใน
เงื้อมพระหัตถ์ ประหนึ่งทิ้งก้อนเขฬะเสด็จออกจากพระนครด้วยสักการะอันใหญ่
ก็แหละในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ เดือน 8 เมื่อนักขัตฤกษ์ในเดือนอุตตรา-
สาฬหะ เดือน 8 หลัง กำลังดำเนินไปอยู่ ครั้น เสด็จออกจากพระนครแล้ว มี
พระประสงค์จะแลดูพระนคร. ก็แหละเมื่อพระโพธิสัตว์นั้นมีความคิดพอเกิด

ขึ้นเท่านั้น ปฐพีประหนึ่งจะทูลว่า ข้าแต่พระมหาบุรุษ พระองค์ไม่ต้องหันกลับ
มากระทำการทอดพระเนตรดอก จึงแยกหมุนกลับ ประดุจจักรของนายช่างหม้อ.
พระโพธิสัตว์ประทับยืนบ่ายพระพักตร์ไปทางพระนคร ทอดพระเนตรดูพระ-
นครแล้วทรงแสดงเจดีย์สถานเป็นที่กลับของม้ากัณฐกะ ณ ที่นั้น ทรงกระทำม้า
กัณฐกะให้บ่ายหน้าต่อหนทางที่จะเสด็จ ได้เสด็จไปแล้วด้วยสักการะอันยิ่งใหญ่
ด้วยความงามสง่าอันโอฬาร. ได้ยินว่า ในกาลนั้นเทวดาทั้งหลายชูคบเพลิง
60,000 อันข้างหน้าพระโพธิสัตว์นั้น ข้างหลัง 60,000 อัน ข้างขวา 60,000
อัน ข้างซ้าย 60,000 อัน. เทวดาอีกพวกหนึ่ง ชูคบเพลิงหาประมาณมิได้ ณ
ที่ขอบปากจักรวาล. เทวดา กับนาคและครุฑเป็นต้นอีกพวกหนึ่ง เดินบูชา
ด้วยของหอม ดอกไม้ จุรณและธูปอันเป็นทิพย์. พื้นท้องฟ้านภาดลได้ต่อ
เนื่องกันไปไม่ว่างเว้นด้วยดอกปาริชา และดอกมณฑารพ เหมือนเวลามีเมฆฝน
อันหนาทึบ ทิพยสังคีตทั้งหลายได้เป็นไปแล้ว. ดนตรีหกหมื่นแปดพันชนิด
บรรเลงขึ้นแล้วโดยทั่ว ๆ ไป. กาลย่อมเป็นไป เหมือนเวลาที่เมฆคำรามใน
ท้องมหาสมุทร และเหมือนเวลาที่สาครมีเสียงกึกก้องในต้องภูเขายุคนธร.
พระโพธิสัตว์ เมื่อเสด็จไปอยู่ด้วยสิริโสภาคย์นี้ ล่วงเลยราชอาณาจักร
ทั้ง 3 โดยราตรีเดียวเท่านั้น เสด็จถึงฝั่งแม่น้ำอโนมานที่ในที่สุดหนทาง 30
โยชน์. ถามว่า ก็ม้าสามารถจะไปให้ยิ่งกว่านั้นได้หรือไม่ ? ตอบว่า สามารถ
ไปได้ เพราะม้านั้นสามารถเที่ยวไปตลอดห้วงจักวาลโดยไม่มีขอบเขตอย่างนี้
เหมือนเหยียบวงแห่งกงล้อที่สอดอยู่ในดุมแล้ว กลับมาก่อนอาหารเช้า บริโภค
อาหารที่เขาจัดไว้สำหรับตน. ก็ในกาลนั้น ม้าดึงร่างอันทับถมด้วยของหอมและ
ดอกไม้เป็นต้น ซึ่งเทวดา นาค และครุฑเป็นต้น ยืนอยู่ในอากาศแล้วโปรยลงมา
ท่วมจนกระทั่งอุรุประเทศขาอ่อน เเล้วตลุยชัฏแห่งของหอมและดอกไม้ไป จึง

ได้มีความล่าช้ามาก เพราะฉะนั้นม้าจึงได้ไปเพียง 30 โยชน์เท่านั้น พระโพธิ-
สัตว์ประทับยืนที่ฝั่งแม่น้ำแล้วตรัสถามนายฉันนะว่า แม่น้ำนี้ชื่ออะไร ? นาย
ฉันนะกราบทูลว่า ชื่ออโนมานทีพะยะค่ะ. พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า บรรพชา
แม้ของเราก็จักไม่ทราม จึงเอาส้นพระบาทกระตุ้นให้สัญญาณม้า. ม้าได้โดดข้าม
แม่น้ำอันกว้างประมาณ 8 อุสภะไปยืนที่ฝั่งโน้น พระโพธิสัตว์เสด็จลง
จากหลังม้าประทับยืนที่เนินทรายอันเหมือนแผ่นเงิน ตรัสเรียกนายฉันนะมา
ว่า ฉันนะผู้สหาย เธอจงพาเอาอาภรณ์และม้าของเราไป เราจักบวช ณ ที่นี้
แหละ. นายฉันนะกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็จักบวช
กับพระองค์ พระเจ้าข้า. พระโพธิสัตว์ตรัสห้ามถึง 3 ครั้งว่า เธอยังบวชไม่
ได้ เธอจะต้องไป แล้วทรงมอบเครื่องอาภรณ์และม้ากัณฐกะให้นายฉันทะรับ
ไปแล้ว ทรงดำริว่า ผมทั้งหลายของเรานี้ ไม่สมควรแก่สมณะ ทรงดำริ
ต่อไปว่า ผู้อื่นที่สมควรจะตัดผมของพระโพธิสัตว์ ย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้น
เราจักตัดด้วยพระขรรค์นั้นด้วยตนเอง จึงเอาพระหัตถ์ขวาจับพระขรรค์ เอา
พระหัตถ์ซ้ายจับพระจุฬา (จุก) พร้อมกับพระโมลี (มวยผม) แล้วจึงตัดออก
เส้น พระเกศาเหลือประมาณ 2 องคุลีเวียนขวาแนมติดพระเศียร พระเกศา
ได้มีประมาณเท่านั้น จนตลอดพระขนมชีพ. และพระมัสสุ (หนวด) ก็ได้มี
พอเหมาะพอควรกับพระเกศานั้น ชื่อว่ากิจด้วยการปลงผมและหนวดมิได้มีอีก
ต่อไป. พระโพธิสัตว์จับพระจุฬาพร้อมด้วยพระโมลีทรงอธิษฐานว่าถ้าเราจักได้
เป็นพระพุทธเจ้าไซร้ พระโมลีจงตั้งอยู่ในอากาศ ถ้าจักไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า
จงตกลงบนภาคพื้น แล้วทรงโยนขึ้นไปในอากาศ ม้วนพระจุฬามณีนั้นไปถึง
ที่ประมาณโยชน์หนึ่งแล้วได้คงอยู่ในอากาศ. ท้าวสักกเทวราชตรวจดูด้วยทิพย-
จักษุ จึงเอาผอบแก้วประมาณโยชน์หนึ่งรับไว้ นำไปประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์
ชื่อว่าจุฬามณีในภพชั้นดาวดึงส์ เหมือนดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า

อัครบุคคลผู้เลิศได้ตัดพระโมลีอันอบด้วยกลิ่น
หอมอันประเสริฐแล้ว โยนขึ้นไปยังเวหา ท้าววาสวะ
ผู้มีพระเนตรตั้งพันเอาผอบทองอันประเสริฐทูนพระ
เศียรรับไว้แล้ว.

พระโพธิสัตว์ทรงพระดำริอีกว่า ผ้ากาสิกพัสตร์เหล่านั้นไม่สมควรแก่
สมณะสำหรับเรา. ลำดับนั้น ฆฏิการมหาพรหมผู้เป็นสหายเก่าในครั้งพระ-
กัสสปพุทธเจ้า มีความเป็นมิตรยังไม่ถึงพุทธันดร คิดว่า วันนี้สหายของเรา
ออกมหาภิเนษกรมณ์ เราจักถือเอาสมณบริขารของสหายเรานั้นไป จึงได้นำ
เอาบริขาร 8 เหล่านั้นคือ
บริขารเหล่านี้คือ ไตรจีวร บาตร มีด เข็ม
รัดประคด เป็น 8 กับผ้ากรองน้ำ ย่อมควรแก่ภิกษุ
ประกอบความเพียร.

ไปให้ พระโพธิสัตว์ทรงนุ่งห่มธงชัยแห่งพระอรหัตแล้ว ถือเพศบรรพชา
อันสูงสุด จึงทรงส่งนายฉันนะไปด้วยพระดำรัสว่า ฉันนะ เธอจงทูลถึง
ความไม่มีโรคป่วยไข้แก่พระชนกเเละชนนี ตามคำของเราด้วยเถิด. นายฉันนะ
ถวายบังคมพระโพธิสัตว์ กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป. ส่านม้ากัณฐกะยืนฟัง
คำของพระโพธิสัตว์ซึ่งตรัสกับนายฉันนะ คิดว่า บัดนี้ เราจะไม่มีการได้เห็น
นายอีกต่อไป เมื่อละคลองจักษุไป ไม่อาจอดกลั้นความโศกไว้ได้ เมื่อหทัย
แตก ตายไปบังเกิดเป็นกัณฐกเทวบุตรในภพดาวดึงส์. ครั้งแรก นายฉันนะ
ได้มีความโศกเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อม้ากัณฐกะตายไป นายฉันนะถูกความ
โศกครั้งที่สองบีบคั้น ได้ร้องไห้คร่ำครวญเดินไป.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ครั้นบรรพชาแล้ว ได้ยับยั้งอยู่ด้วยความสุขอันเกิด
จากการบรรพชา ตลอดสัปดาห์ ในอนุปิยอัมพวันซึ่งมีอยู่ในประเทศนั้นนั่น

แล แล้วเสด็จดำเนินด้วยพระบาทสิ้นหนทาง 30 โยชน์ โดยวันเดียวเท่านั้น
แล้วเสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์ ก็แหละครั้นเสด็จเข้าไปแล้ว เสด็จเที่ยวบิณฑ-
บาตรไปตามลำดับตรอก. พระนครทั้งสิ้นได้ถึงความตื่นเต้น เพราะได้เห็น
พระรูปโฉมของพระโพธิสัตว์ เหมือนตอนช้างธนบาลเข้าไปกรุงราชคฤห์ และ
เหมือนเทพนครตอนจอมอสูรเข้าไปฉะนั้น. ลำดับนั้น ราชบุตรทั้งหลายมา
กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ บุคคลชื่อเห็นปานนี้เที่ยวบิณฑบาตอยู่ในพระ-
นคร ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ทราบเกล้าว่า ผู้นี้ชื่อไร จะเป็นเทพ มนุษย์
นาค หรือครุฑ พระราชาประทับยืนที่พื้นปราสาททอดพระเนตรเห็นพระมหา-
บุรุษ เกิดอัศจรรย์ไม่เคยเป็น ทรงสั่งพวกราชบุรุษว่า แน่ะพนาย ท่านทั้ง
หลายจงไปพิจารณาดู ถ้าจักเป็นอมนุษย์ เขาออกจากพระนครแล้วจักหายไป
ถ้าเป็นเทวดาจักเหาะไป ก็ถ้าเป็นนาคจักดำดินไป ถ้าเป็นมนุษย์จักบริโภค
ภิกษาหารตามที่ได้. ฝ่ายพระมหาบุรุษแล รวบรวมภัตอันสำรวมกันแล้วรู้ว่า
ภัตมีประมาณเท่านี้พอสำหรับเรา เพื่อยังอัตภาพให้เป็นไป เสด็จออกจาก
พระนครทางประตูที่เสด็จเข้ามานั่นแล บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก
ประทับนั่งที่ร่มเงาของปัณฑวบรรพต เริ่มเพื่อเสวยพระกระยาหาร. ลำดับนั้น
พระอันตะไส้ใหญ่ของพระมหาบุรุษได้ถึงอาการจะออกมาทางพระโอษฐ์. ลำดับ
นั้น พระโพธิสัตว์ทรงอึดอัดกังวลพระทัยด้วยอาหารอันปฏิกูล เพราะด้วยทั้ง
อัตภาพนั้น พระองค์ไม่เคยเห็นอาหารเห็นปานนั้น แม้ด้วยพระเนตร จึง
ทรงโอวาทตนด้วยพระองค์เองอย่างนี้ว่า ดูก่อนสิทธัตถะ เธอเกิดในสถานที่มี
โภชนะมีรสเลิศต่าง ๆ ด้วยโภชนะแห่งข้าวสาลีมีกลิ่นหอม ซึ่งเก็บไว้ 3 ปี
ในตระกูลอันมีข้าวและน้ำหาได้ง่ายมาก ได้เห็นบรรพชิตผู้ทรงผ้าบังสุกุลรูป
หนึ่งแล้วคิดว่า เมื่อไรหนอ แม้เราก็จักเป็นผู้เห็นปานนั้นเที่ยวบิณฑบาต
บริโภค กาลนั้น จักมีไหมหนอสำหรับเรา จึงออกบวช บัดนี้ เธอจะทำข้อ

นั้นอย่างไร ครั้นทรงโอวาทพระองค์อย่างนี้แล้ว ไม่ทรงมีอาการอันผิดแผก
ทรงเสวยพระกระยาหาร ราชบุรุษทั้งหลายเห็นความเป็นไปนั้นแล้ว จึงไป
กราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ พระราชาได้สดับคำของทูตเท่านั้น รีบเสด็จ
ออกจากพระนคร เสด็จไปยังสำนักของพระโพธิสัตว์ ทรงเลื่อมใสเฉพาะใน
พระอิริยาบถเท่านั้น จึงทรงมอบความเป็นใหญ่ให้แก่พระโพธิสัตว์. พระ-
โพธิสัตว์ตรัสว่า มหาบพิตร อาตมภาพไม่มีความต้องการวัตถุกามหรือกิเลสกาม
ทั้งหลาย อาตมภาพปรารถนาปรมาภิสัมโพธิญาณ จึงออกบวช. พระราชา
แม้จะทรงอ้อนวอนเป็นอเนกประการ ก็ไม่ได้น้ำพระทัยของพระโพธิสัตว์นั้น
จึงตรัสว่า พระองค์จักได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่แล้ว ก็พระองค์ได้เป็นพระพุทธ
เจ้าแล้ว พึงเสด็จมายังแคว้นของหม่อมฉันก่อน นี้เป็นความย่อในที่นี้ ส่วน
ความพิศดาร พึงตรวจดูศัพท์ในบรรพชาสูตรนี้ว่า เราจักสรรเสริญการบวช
เหมือนผู้มีจักษุบวชแล้ว ดังนี้ ในอรรถกถา แล้วพึงทราบเถิด.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงให้ปฏิญญาแก่พระราชาแล้ว เสด็จจาริกไปโดย
ลำดับ เข้าไปหาอาฬารดาบสกาลามโคตร และอุทกดาบสรามบุตร ทำสมาบัติ
ให้บังเกิดแล้ว ทรงดำริว่า นี้มิใช่ทางเพื่อจะตรัสรู้ จึงยังไม่ทรงพอพระทัย
สมาบัติภาวนาแม้นั้น มีพระประสงค์จะเริ่มตั้งมหาปธานความเพียรใหญ่ เพื่อ
จะทรงแสดงเรี่ยวแรงและความเพียรของพระองค์แก่โลก พร้อมทั้งเทวโลก
จึงเสด็จไปยังตำบลอุรุเวลา ทรงพระดำรัสว่า ภูมิภาคนิน่ารื่นรมย์หนอ จึง
เสด็จเข้าอยู่ ณ ตำบลอุรุเวลานั้น ทรงเริ่มตั้งมหาปธานความเพียรใหญ่. บรรพ-
ชิต 5 รูป มีโกณฑัญญะเป็นประธานแม้เหล่านั้นแล พากันเที่ยวภิกขาจารไป
ในคาน นิคม และราชธานีได้ถึงทันพระโพธิสัตว์ ณ ตำบลอุรุเวลานั้น. ลำดับ
นั้น บรรพชิตทั้ง 5 รูปนั้น อุปัฏฐากพระโพธิสัตว์นั้นผู้เริ่มตั้งมหาปธานความ
เพียรตลอด 6 พรรษา ด้วยวัตรปฏิบัติมีการกวาดบริเวณเป็นต้น ด้วยหวังใจ

ว่า จักเป็นพระพุทธเจ้าในบัดนี้ และได้เป็นผู้อยู่ในสำนักของพระโพธิสัตว์
นั้น.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า จักกระทำทุกรกิริยาให้ถึงที่สุด
จึงทรงยับยั้งอยู่ด้วยข้าวสารเพียงเมล็ดงาหนึ่งเป็นต้น ได้ทรงกระทำการตัด
อาหารเสียโดยประการทั้งปวง. ฝ่ายเทวดาก็นำเอาโอชะใส่เข้าไปทางขุมพระโลมา
ทั้งหลาย ครั้นเมื่อพระโพธิสัตว์นั้น มีพระวรกายอันถึงความอ่อนเปลี้ยอย่างยิ่ง
เพราะความเป็นผู้ที่ไม่มีพระกระยาหารนั้น พระวรกายอันมีฉวีวรรณดุจทอง
ได้มีพระฉวีวรรณคำไป พระมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ ก็ได้ถูกปกปิดไม่
ปรากฏ. ในกาลบางคราว เมื่อทรงเพ่งฌานอันไม่มีลมปราณ ถูกเวทนา
ใหญ่หลวงครอบงำ ทรงวิสัญญีสลบล้มลงในที่สุดที่จงกรม. ลำดับนั้น เทวดา
บางพวกกล่าวถึงพระโพธิสัตว์นั้นว่า พระสมณโคดมกระทำกาลกิริยาแล้วเทวดา
บางพวกกล่าวว่า นี้เป็นธรรมเครื่องอยู่ของพระอรหันต์ทีเดียว บรรดาเทวดา
เหล่านั้น เหล่าเทวดาผู้พูดว่า พระสมณโคดมได้กระทำกาลกิริยาแล้วนั้น พากัน
ไปกราบทูลแก่พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชว่า พระราชโอรสของพระองค์สวรรคต
แล้ว. พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชตรัสว่า บุตรของเรายังไม่เป็นพระพุทธเจ้าจะ
ยังไม่ตาย. เทวดาเหล่านั้นกราบทูลว่า พระโอรสของพระองค์ไม่อาจเป็นพระ-
พุทธเจ้า ทรงล้มลงที่พื้นสำหรับบำเพ็ญเพียรสวรรคตแล้ว. พระราชาทรงสดับ
คำนี้จึงตรัสห้ามว่า เราไม่เชื่อ ชื่อว่าบุตรของเรายังไม่บรรลุโพธิญาณแล้ว
กระทำกาลกิริยา ย่อมไม่มี. ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระราชาจึงไม่ทรงเชื่อ ?
ตอบว่า เพราะพระองค์ได้ทรงเห็นปาฏิหาริย์ทั้งหลาย ในวันที่ให้ไหว้พระกาล-
เทวลดาบส และที่ควงไม้หว้า. พระโพธิสัตว์ทรงกลับได้สัญญาลุกขึ้นได้อีก
เมื่อพระมหาสัตว์ลุกขึ้นแล้ว เทวดาเหล่านั้นมากราบทูลแก่พระราชาว่า ข้าแต่

มหาราช พระราชโอรสของพระองค์ไม่มีพระโรคแล้ว. พระราชาตรัสว่า เรา
ย่อมรู้ว่าบุตรของเราไม่ตาย.
เมื่อพระมหาสัตว์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ 6 พรรษา กาลเวลา
ได้เป็นเหมือนขอดปมในอากาศ. พระมหาสัตว์นั้นทรงพระดำริว่า ชื่อว่าการ
ทำทุกรกิริยานี้ ไม่ใช่ทาง (บรรลุ) จึงเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาตในคามและ
นิคมทั้งหลาย เพื่อต้องการอาหารหยาบ แล้วนำอาหารมา ครั้งนั้น
มหาปุริสลักษณะ 32 ประการของพระโพธิสัตว์นั้นได้กลับเป็นปกติ พระกาย
ได้มีพระฉวีวรรณดุจทองคำ พระภิกษุปัญจวัคคีย์พากันคิดว่า พระมหาบุรุษ
นี้แม้กระทำทุกรกิริยาถึง 6 ปี ก็ไม่สามารถแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณได้
บัดนี้ เที่ยวบิณฑบาตไปในบ้านเป็นต้น นำอาหารหยาบมา จักสามารถ
ได้อย่างไร พระมหาบุรุษนี้กลายเป็นผู้มักมากคลายความเพียร ชื่อการคาด
คะเนถึงคุณวิเศษจากสำนักของพระมหาบุรุษนี้แห่งพวกเรา ก็เหมือนคนผู้จะ
สรงสนานศีรษะคิดคาดคะเนเอาหยาดน้ำค้างฉะนั้น พวกเราจะประโยชน์อะไร
ด้วยพระมหาบุรุษนี้ จึงพากันละพระมหาบุรุษ ถือเอาบาตรและจีวรของ
ตน ๆ เดินทางไปประมาณ 18 โยชน์ เข้าไปยังป่าอิสิปตนะ.
ก็สมัยนั้นแล ทาริกาชื่อว่า สุชาดา บังเกิดในเรือนของเสนากุฎุมพี
ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม พอเจริญแล้ว ได้กระทำความปรารถนาที่ต้นไทร
แห่งหนึ่งว่า ถ้าเราไปยังเรือนสกุลที่มีชาติเสมอกัน จักได้บุตรชายในครรภ์แรก
เราจักทำพลีกรรม โดยบริจาคทรัพย์แสนหนึ่งแก่ท่านทุกปี ๆ ความปรารถนา
อันนั้นของนางก็สำเร็จแล้ว. เมื่อพระมหาสัตว์นั้นกระทำทุกรกิริยา. เมื่อครบ
ปีที่ 6 บริบูรณ์ นางสุชาดานั้นประสงค์จะพลีกรรมในวันเพ็ญเดือน 6. และก่อน
หน้านั้นแหละ ได้ปล่อยโคนม 1,000 ตัว ให้ท่องเที่ยวอยู่ในป่าชะเอม ให้โคนม
50 ตัว ดื่มน้ำนมองโคนม 1,000 ตัวนั้น แล้วให้โคนม 250 ตัว ดื่มน้ำ

นมของโคนม 500 ตัวนั้น นางปรารถนาน้ำนมข้นและมีโอชะจึงได้กระทำการ
หมุนเวียนให้โคดื่มน้ำนมตราบเท่า 8 ตัว ดื่มน้ำนมของแม่โคนม 16 ตัวนั้น
อย่างนี้ด้วยประการฉะนี้. เช้าตรู่วันวิสาขบูรณมี นางสุชาดานั้นลุกขึ้นในเวลา
ใกล้รุ่งแห่งราตรี ให้รีดนมโคนม 8 ตัวนั้น. ลูกโคทั้งหลายยังไม่ได้ไปถึง
เต้านมเหล่านั้น แต่พอนำภาชนะใหม่เข้าไปใกล้เต้านมเท่านั้น ธารน้ำนมก็
ไหลออกตามธรรมดาของตน นางสุชาดาได้เห็นความอัศจรรย์นั้น จึงตักน้ำ
นมด้วยมือของตนเองใส่ลงในภาชนะใหม่แล้วก่อไฟด้วยมือของตนเอง เริ่มจะ
หุง เมื่อกำลังหุงข้าวปายาสนั้นนั่นแหละ ฟองใหญ่ ๆ ตั้งขึ้นไหลวนเป็นทักษิณา
วัฏ. แม้หยาดสักหยดหนึ่งก็ไม่หกออกภายนอก ควันไฟแม้มีประมาณน้อยก็ไม่
ตั้งขึ้นจากเตา สมัยนั้น ท้าวจตุโลกบาลมาถือการอารักขาที่เตา. ท้าวมหา-
พรหมกั้นฉัตร ท้าวสักกะนำดุ้นฟืนมาใส่ไฟให้ลุกโพลงอยู่. จริงอยู่ เทวดา
ทั้งหลายรวบรวมโอชะอันเข้าไปสำเร็จแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลายใน
ทวีปทั้ง 4 อันมีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวาร ใส่เข้าไปในข้าวปายาสนั้นด้วย
เทวานุภาพของตน ๆ เหมือนบุคคลคั้นรวงผึ้งอันติดอยู่ที่ท่อนไม้ แล้วถือเอา
แต่น้ำหวานฉะนั้น.
จริงอยู่ในเวลาอื่น ๆ เทวดาทั้งหลายใส่โอชะในคำข้าว ก็แต่ว่าในวัน
ตรัสรู้และวันปรินิพพาน ใส่โอชะในหม้อเลยทีเดียว.
นางสุชาดาได้เห็นความอัศจรรย์มิใช่น้อย ซึ่งปรากฏแก่ตนในที่นั้น
โดยวันเดียวเท่านั้น จึงเรียกนางปุณณาทาสีมาพูดว่า แน่ะแม่ปุณณา วันนี้เทวดา
ของเราทั้งหลายน่าเลื่อมใสยิ่งนัก ในกาลมีประมาณเท่านี้ เราไม่เคยเห็นความ
อัศจรรย์เห็นปานนี้ เธอจงรีบไปดูแลเทวสถานโดยเร็ว. นางปุณณาทาสีนั้น รับ
คำของนางสุชาดานั้นแล้ว ได้รีบด่วนไปยังโคนต้นไม้. ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้

ทรงเห็นมหาสุบิน 5 ประการ ในตอนกลางคืนนั้น ทรงใคร่ครวญอยู่ จึงทรง
กระทำสันนิษฐานว่า วันนี้ เราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย พอ
ราตรีนั้นล่วงไป ทรงกระทำการปฏิบัติพระสรีระ คอยเวลาภิกขาจารอยู่ พอ
เช้าตรู่ จึงเสด็จมาประทับนั่งที่โคนไม้นั้น ทรงกระทำโคนไม้ทั้งสิ้นให้สว่างไสว
ด้วยรัศมีของพระองค์.
ลำดับนั้น นางปุณณาทาสีนั้นมา ได้เห็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่ง
ที่โคนไม้ทอดพระเนตรดูโลกธาตุด้านทิศตะวันออก. และเพราะได้เห็น
ต้นไม้ทั้งสิ้นมีสีดังสีทอง ด้วยพระรัศมีอันซ่านออกจากพระสรีระของพระ
โพธิสัตว์นั้น นางจึงได้คิดดังนี้ว่า วันนี้ เทวดาของเราทั้งหลาย เห็นจะลง
จากต้นไม้มานั่งเพื่อจะรับพลีกรรมด้วยมือของตนเองทีเดียว จึงเป็นผู้ถึงความ
สลดใจ รีบไปบอกเนื้อความนั้น แก่นางสุชาดา. นางสุชาดาได้ฟังคำของนาง
ปุณณาทาสีนั้น แล้วก็ดีใจจึงกล่าวว่า วันนี้ ตั้งแต่บัดนี้ไปเจ้าจงดำรงอยู่ในฐานะ
ธิดาคนใหญ่ของเรา แล้วได้ให้เครื่องประดับทั้งปวงอันสมควรแก่ธิดา. ก็เพราะ
เหตุที่ในวันจะบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า การได้ถาดทองมีค่าแสนหนึ่งจึงจะ
ควร เพราะฉะนั้น นางสุชาดานั้นจึงทำความคิดให้เกิดขึ้นว่า จักใส่ข้าวปายาส
ในถาดทองจึงให้คนใช้นำถาดทองมีค่าแสนหนึ่งออกมา ประสงค์จะใส่ข้าวปายาส
ในถาดทองนั้น จึงรำพึงถึงโภชนะที่ลุกแล้ว. ข้าวปายาสทั้งหมดก็กลิ้งไป
ประดิษฐานอยู่ในถาด เหมือนน้ำกลิ้งจากใบบัวฉะนั้น ข้าวปายาสนั้นได้
มีปริมาณเต็มถาดหนึ่งพอดี. นางจึงเอาถาดทองใบอื่น ครอบถาดใบนั้น แล้ว
เอาผ้าขาวห่อ ประดับร่างกายด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง เอาถาดนั้นทูน
บนศีรษะของตน เดินไปยังโคนต้นไทรนั้นด้วยอานุภาพใหญ่ แลดูพระโพธิ-
สัตว์ เกิดความโสมนัสเป็นกำลัง สำคัญว่าเป็นเทวดา จึงค้อมกายลงเดินไปจำ
เดิมแต่ที่ได้เห็น ปลงถาดลงจากศีรษะแล้ว เปิดฝาเอาสุวรรณภิงคารใส่น้ำอันอบ

ด้วยดอกไม้หอมแล้วได้เข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ พระโพธิสัตว์. บาตรดินที่ท้าวฆฏิ-
การมหาพรหมถวาย ไม่ห่างพระโพธิสัตว์มาตลอดกาลนานมีประมาณเท่านี้ ได้
หายไปในขณะนั้น. พระโพธิสัตว์เมื่อแลไม่เห็นบาตร จึงเหยียดพระหัตถ์ขวา
ออกรับ. นางสุชาดาจึงวางถาดทองข้าวปายาสในพระหัตถ์ของพระมหาบุรุษ.
พระมหาบุรุษทอดพระเนตรดูนางสุชาดา. นางสุชาดากำหนดอาการแล้วจึงทูลว่า
ข้าแต่เจ้า ขอท่านจงถือเอาสิ่งที่ข้าพเจ้าบริจาคแก่ท่านไปเถิด ไหว้แล้วทูลว่า
มโนรถความปรารถนาจงสำเร็จแก่ท่านเหมือนดังสำเร็จแก่ข้าพเจ้าเถิด นางไม่
ห่วงอาลัยถาดทองอันมีค่าแสนหนึ่ง เป็นเหมือนภาชนะดินเก่า หลีกไปแล้ว.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์เสด็จลุกขึ้นจากที่ประทับทรงทำประทักษิณต้นไม้
ถือถาดเสด็จไปยังฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในวันที่พระโพธิสัตว์หลายแสนจะตรัสรู้
มีท่าชื่อว่าสุปติฏฐิตะ (สุประดิษฐ์) เป็นสถานที่เสด็จลงสรงสนาน จึง
ทรงวางถาดที่ฝั่งแห่งท่าชื่อว่าสุปติฏฐิตะนั้น เสด็จลงสรงสนานเสร็จแล้วทรงนั่ง
ธงชัยแห่งพระอรหัตอันเป็นเครื่องนุ่งห่มของพระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์
ทรงนั่งผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ทรงกระทำปั้นข้าว 49 ปั้นประมาณ
เท่าจาวตาลสุกจาวหนึ่ง ๆ แล้วเสวยมธุปายาสมีน้ำน้อยทั้งหมด. ก็เป็นอย่าง
นั้น ข้าวมธุปายาสนั้นได้เป็นอาหารอยู่ได้ตลอด 7 สัปดาห์ สำหรับพระโพธิ
สัตว์นั้น ผู้จะได้เป็นพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ที่โพธิมัณฑ์ ประเทศเป็นที่ผ่อง
ใสแห่งพระปัญญาเครื่องตรัสรู้. ในกาลมีประมาณเท่านั้น ไม่มีอาหารอย่างอื่น
ไม่มีการสรงสนาน ไม่มีการชำระพระโอษฐ์ ไม่มีการถ่ายพระบังคนหนัก ทรง
ยับยั้งอยู่ด้วยฌานสุข มรรคสุขและผลสุขเท่านั้น. ก็พระโพธิสัตว์ครั้นเสวยข้าว
ข้าวปายาสนั้นแล้ว จับถาดทองทรงอธิษฐานว่า ถ้าเราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าใน
วันนี้ไซร้ ถาดของเราใบนี้ จงลอยทวนกระแสน้ำไป ถ้าจักไม่ได้เป็น จง
ลอยไปตามกระแสน้ำ ครั้นทรงอธิษฐานแล้วได้ลอยถาดไป. ถาดนั้นลอยตัด

กระแสน้ำไปถึงกลางแม่น้ำ ณ ที่ตรงกลางแม่น้ำนั่นแลได้ลอยทวนกระแสน้ำไป
สิ้นสถานที่ประมาณ 80 ศอก เปรียบเหมือนม้าซึ่งเพียบพร้อมด้วยฝีเท้าอันเร็ว
ไวฉะนั้น แล้วจมลงที่น้ำวนแห่งหนึ่งจมลงไปถึงภพของกาลนาคราช กระทบถาด
เครื่องบริโภคของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ มีเสียงดังกริ๊ก ๆ แล้วได้วางรอง
อยู่ใต้ถาดเหล่านั้น. กาลนาคราชครั้นได้สดับเสียงนั้นแล้ว กล่าวว่า เมื่อวานนี้
พระพุทธเจ้าทรงบังเกิดแล้วองค์หนึ่ง วันนี้บังเกิดอีกองค์หนึ่ง จึงได้ยืนกล่าว
สดุดีด้วยบทหลายร้อยบท. ได้ยินว่า เวลาที่มหาปฐพีงอกขึ้นเต็มท้องฟ้า
ประมาณหนึ่งโยชน์สามคาวุต ได้เป็นเสมือนวันนี้ หรือวันพรุ่งนี้ แก่กาล
นาคราชนั้น.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงพักผ่อนกลางวันอยู่ในสาลวันอันมีดอกบานสะพรั่ง
ใกล้ฝั่งแม่น้ำ เวลาเย็น ในเวลาดอกไม้ทั้งหลายหลุดจากขั้ว ได้เสด็จบ่ายหน้า
ไปยังโพธิพฤกษ์ ตามหนทางกว้างประมาณ 8 อุสภะ ซึ่งเทวดาทั้งหลายตก
แต่งไว้ ดุจราชสีห์เยื้องกรายฉะนั้น นาค ยักษ์และสุบรรณเป็นต้น ได้บูชาด้วย
ของหอมและดอกไม้เป็นต้นอันเป็นทิพย์ หมื่นโลกธาตุได้มีกลิ่นหอมเป็นอัน
เดียวกัน มีระเบียบดอกไม้เป็นอันเดียวกัน และมีเสียงสาธุการเป็นอันเดียวกัน
สมัยนั้นพราหมณ์ชื่อโสตถิยะ เป็นคนหาบหญ้า ถือหญ้าเดินสวนทางมา รู้
อาการของมหาบุรุษจึงได้ถวายหญ้า 8 กำ พระโพธิสัตว์รับหญ้าแล้วเสด็จขึ้นสู่
โพธิมัณฑ์ ได้ประทับยืนในด้านทิศใต้ผินพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ ขณะนั้น
จักรวาลด้านทิศใต้ทรุดลง ได้เป็นประหนึ่งว่าจรดถึงอเวจีเบื้องล่าง จักรวาล
ด้านทิศเหนือลอยขึ้น ได้เป็นประหนึ่งจรดถึงภวัคคพรหมในเบื้องบน พระ-
โพธิสัตว์ทรงดำริว่า ที่ตรงนี้เห็นจะไม่เป็นสถานที่ที่จะให้บรรลุพระสัมโพธิญาณ
จึงการทำประทักษิณ เสด็จไปยังด้านทิศตะวันตกได้ประทับยืนผินพระพักตร์
ไปทางทิศตะวันออก. ลำดับนั้น จักรวาลด้านทิศตะวันตกได้ทรุดลง ได้เป็น

ประหนึ่งว่าจรดถึงอเวจีในเบื้องล่าง จักรวาลด้านเว้นออกลอยขึ้น ได้เป็น
ประหนึ่งว่าจรดถึงภวัคคพรหมในเบื้องบน นัยว่า ในที่ที่พระมหาบุรุษนั้น
ประทับยืนแล้ว ๆ มหาปฐพีได้ยุบลงและฟูขึ้น เหมือนล้อเกวียนใหญ่ซึ่งติด
อยู่ในดุมถูกคนเหยียบริมขอบวงของกงล้อฉะนั้น พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า
สถานที่นี้เห็นจะไม่เป็นสถานที่ให้บรรลุพระสัมโพธิญาณ จึงกระทำประทัก-
ษิณ เสด็จไปทางด้านทิศเหนือประทับยืนผินพระพักตร์ใปทางด้านทิศใต้.
ลำดับนั้นจักรวาลด้านทิศเหนือได้ทรุดลง ได้เป็นประหนึ่งจรดถึงอเวจีในเบื้อง
ล่าง จักรวาลด้านทิศใต้ลอยขึ้น ได้เป็นประหนึ่งจรดถึงภวัคคพรหมในเบื้องบน
พระโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า แม้สถานที่นี้ก็เห็นจะไม่ใช่สถานที่เป็นที่ตรัสรู้
พระสัมโพธิญาณ จึงทรงกระทำประทักษิณ เสด็จไปยังด้านทิศตะวันออก ได้
ประทับยืนผินพระพักตร์ไปทางด้านทิศตะวันตก. ก็สถานที่ตั้งบัลลังก์ของพระ-
พุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวง มีอยู่ในด้านทิศตะวันออก สถานที่นั้นจึงไม่หวั่นไหว
ไม่สั่นสะเทือน พระมหาสัตว์ทรงทราบว่า สถานที่นี้ เป็นที่อันพระพุทธเจ้าทั้ง
ปวงไม่ทรงละ เป็นสถานที่ไม่หวั่นไหว เป็นสถานที่กำจัดกรงคือกิเลสจึงทรง
จับปลายหญ้าแล้วเขย่าให้สั่น. ทันใดนั่งเอง ได้มีบัลลังก์ 14 ศอก หญ้าแม้
เหล่านั้นก็คงตั้งอยู่ โดยการลาดเห็นปานนั้นซั้งช่างเขียนหรือช่างฉาบแม้ผู้ฉลาด
ยิงก็ไม่สามารถจะเขียนหรือฉาบทาได้.
พระโพธิสัตว์ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก โดยให้ลำต้นโพธิ์อยู่
เบื้องพระปฤษฎางค์ เป็นผู้มีพระมนัสมั่นคง ทรงนั่งคู้อปราชิตบัลลังก์ซึ่งแม้
สายฟ้าจะผ่าลงตั้ง 100 ครั้งก็ไม่แตกทำลาย โดยทรงอธิษฐานว่า
เนื้อ และเลือดในสรีระนี้แม้ทั้งสิ้นจงเหือดแห่งไป
จะเหลือแต่หนังเอ็น และกระดูก ก็ตามที่.

เราไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณบนบัลลังก์นี้แหละ จักไม่ทำลายบัลลังก์นี้.

สมัยนั้น เทวปุตตมารคิดว่า สิทธัถกุมารประสงค์จะก้าวล่วงอำนาจของ
เรา บัดนี้ เราจักไม่ให้สิทธัตถกุมารนั้นล่วงพ้นไปได้ จึงไปยังสำนักของพล
มารบอกความนั้น ให้โห่ร้องอย่างมารแล้วพาพลมารออกไป ก็เสนามารนั้น
มีข้างหน้ามาร 12 โยชน์ ข้างขวาและข้างซ้ายข้างละ 12 โยชน์ ส่วนข้างหลัง
เสนามารตั้งจรดขอบจักรวาลสูงขึ้นด้านบน 9 โยชน์ ซึ่งเมื่อบันลือขึ้น เสียง
บันลือจะได้ยินเหมือนเสียงแผ่นดินทรุดตั้งแต่ที่ประมาณพันโยชน์ ลำดับนั้น
เทวปุตตมารขึ้นขี่ข้างชื่อคีรีเมขสูง 150 โยชน์ นิรมิตแขนพันแขนถืออาวุธ
นานาชนิด แม้ในบริษัทมารนอกนี้ มาร 2 คนจะไม่ถืออาวุธเหมือนกัน เป็น
ผู้มีหน้าต่างๆ คนละอย่างกันพากันมา เหมือนดังจะท่วมทับพระมหาสัตว์ ก็
เทวดาในหมื่นจักรวาลได้ยืนกล่าวชมเชยพระมหาสัตว์ ส่วนท้าวสักกเทวราชได้
ยืนเป่าสังข์วิชัยยุตร ได้ยินว่า สังข์นั้นมีขนาด 120 ศอก เพื่อให้เก็บลมไว้
คราวเดียวแล้วเป่า จะมีเสียงอยู่ถึง 4 เดือนจึงจะหมดเสียง มหากาลนาคราช
ได้ยืนกล่าวสรรเสริญคุณเกินกว่าร้อยบท ท้าวมหาพรหมได้ยืนกั้นเศวตฉัตร
แต่เมื่อพลมารเข้าไปใกล้โพธิมัณฑ์ บรรดาเทวดาเป็นต้นเหล่านั้น แม้คน
หนึ่งก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้ ต่างพากันหนีไปเฉพาะในที่ที่ตรงหน้า ๆ กาลนาคราช
ดำดินลงไปยังนาคภพอันมีมณเฑียรประมาณ 500 โยชน์นอนเอามือทั้งสองปิด
หน้า ท้าวสักกะเอาสังข์วิชัยยุตรไว้ข้างหลัง ได้ยืนอยู่ที่ขอบปากจักรวาล. ท้าว-
มหาพรหมจับปลายเศวตฉัตรไปยังพรหมโลกทันที แม้เทวดาคนหนึ่งซึ่งว่าผู้
สามารถดำรงอยู่มิได้มี พระมหาบุรุษพระองค์เดียวเท่านั้น ประทับนั่งอยู่.
ฝ่ายมารก็กล่าวกะบริษัทของคนว่า พ่อทั้งหลาย ชื่อว่าบุรุษอื่นเช่นกับ
สิทธัตถะโอรสของพระเจัาสุทโธทนะ ย่อมไม่มี พวกเราจักไม่อาจทำการสู้รบ
ซึ่งหน้า พวกเราจักสู้รบทางด้านหลัง. ฝ่ายพระมหาบุรุษก็เหลียวดูแม้ทั้ง 3 ด้าน

ได้ทรงเห็นแต่ความว่างเปล่า เพราะเทวดาทั้งปวงพากันหนีไปหมด ได้ทรง
เห็นพลมารหนุนเนื่องเข้ามาทางด้านเหนืออีก ทรงพระดำริว่า ชนนี้มีประมาณ
เท่านี้ มุ่งหมายเราผู้เดียวกระทำความพากเพียรพยายามอย่างใหญ่หลวง. ในที่นี้
ไม่มีบิดามารดา บุตร ธิดา พี่น้องชาย หรือญาติไร ๆ อื่น มีแต่บารมี 10 นี้เท่านั้น
จะเป็นเช่นกับบุตรแลบริวารชนของเราไปตลอดกาลนาน เพราะฉะนั้น เราจะ
กระทำบารมีให้เป็นโล่ แล้วประหารด้วยศัสตราคือบารมีนั่นแหละ กำจัดหมู่พล
นี้เสียจึงจะควร จึงทรงนั่งระลึกถึงบารมีทั้ง 10 อยู่ ลำดับนั้นเทวปุตตมารได้
บันดาลมณฑลประเทศแห่งลมให้ตั้งขึ้น ด้วยคิดว่า เราจักให้สิทธัตถะหนี
ไปด้วยลมนี้ทีเดียว ขณะนั้นเองลมอันต่างด้วยลมทิศตะวันออกเป็นต้นได้ตั้งขึ้น
แม้สามารถทำลายยอดเขาขนาดกึ่งโยชน์ 1 โยชน์ 2 โยชน์ และ 3 โยชน์ถอน
รากไม้ กอไม้ และต้นไม้เป็นต้น กระทำตามและนิคมรอบด้านให้เป็น
จุรณวิจุรณไปได้ ก็มีอานุภาพอันเดชแห่งบุญของมหาบุรุษจัดเสียแล้ว พอมา
ถึงพระโพธิสัตว์ก็ไม่อาจทำแม้สักว่าชายจีวรให้ไหว ลำดับนั้นเทวปุตตมาร ได้
บันดาลให้ห่าฝนใหญ่ตั้งขึ้นด้วยหวังว่าจักให้น้ำท่วมตาย ด้วยอานุภาพของเทว-
ปุตตมารนั้น เมฆฝนอันมีหลืบได้ร้อยหลืบพันหลืบเป็นต้นเป็นประเภทตั้งขึ้น
ในเบื้องบนแล้วตกลงมา แผ่นดินได้เป็นช่องๆ ไปด้วยกำลังแห่งสายธารน้ำฝน
มหาเมฆลอยมาทางด้านบนป่าไม้ และต้นไม้เป็นต้น ก็ไม่อาจให้น้ำสักเท่า
หยาดน้ำค้างหยดให้เปียกที่จีวรของพระมหาสัตว์ แต่นั้น ได้บันดาลให้ห่าฝน
หินตั้งขึ้น ยอดภูเขาใหญ่ ๆ คุกรุ่นเป็นควันลุกเป็นเปลวไฟ ลอยมาทางอากาศ
พอถึงพระโพธิสัตว์ ก็กลับกลายเป็นกลุ่มดอกไม้ทิพย์ แต่นั้นได้บันดาลให้ห่า
ฝนเครื่องประหารตั้งขึ้น ศัสตราวุธมีดาบ หอก และลูกศรเป็นต้น มีคมข้าง
เดียวบ้าง มีคมสองข้างบ้าง คุกรุ่นเป็นควัน ลุกเป็นเปลวไฟ ลอยมาทาง
อากาศ พอถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์ แต่นั้นได้บันดาลให้ห่าฝน

ถ่านเพลิงตั้งขึ้น ถ่านเพลิงทั้งหลายมีสีดังดอกทองกวาว ลอยมาทางอากาศ
กลายเป็นดอกไม้ทิพย์โปรยปรายลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์ แต่นั้นได้
บันดาลให้ห่าฝนเถ้ารึงตั้งขึ้น เถ้ารึงร้อนจัดมีสีดังไฟลอยมาทางอากาศ กลาย
เป็นฝุ่นไม้จันทน์ตกลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์ แต่นั้น ได้บันดาลให้ห่า
ฝนทรายตั้งขึ้น ทรายทั้งหลายละเอียดยิบ คุเป็นควันลุกเป็นไฟ ลอยมาทาง
อากาศ กลายเป็นดอกไม้ทิพย์ตกลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์ แต่นั้น จึง
บันดาลห่าฝนเปือกตมให้ตั้งขึ้น เปือกตมคุเป็นควันลุกเป็นไฟ ลอยมาทาง
อากาศ กลายเป็นเครื่องลูบไล้ทิพย์ตกลงที่บาทมูลของพระโพธิสัตว์ แต่นั้นได้
บันดาลความมืดให้ตั้งขึ้นด้วยคิดว่า เราจักทำให้ตกใจกลัวด้วยความมืดนี้แล้ว
ให้สิทธัตถะหนีไป ความมืดนั้นเป็นความมืดตื้อประดุจประกอบด้วยองค์ 4
[คือแรม 14 ค่ำ ป่าชัฏ เมฆทึบ และเที่ยงคืน] พอถึงพระโพธิสัตว์ก็อันตร-
ธานไป เหมือนความมืดที่ถูกขจัดด้วยแสงสว่างแห่งพระอาทิตย์ มารไม่อาจทำ
ให้พระโพธิสัตว์หนีไปด้วยลม ฝน ห่าฝนหิน ห่าฝนเครื่องประหาร ห่าฝน
ถ่านเพลิง ห่าฝนเถ้ารึง ห่าฝนทราย ห่าฝนเปือกตม และห่าฝนคือความมืด
รวม 9 อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ จึงสั่งบริษัทนั้นว่า แน่ะพนาย พวกท่าน
จะหยุดอยู่ทำไม จงจับสิทธัตถกุมารนี้ จงฆ่า จงทำให้หนีไป ส่วนตนเอง
นั่งบนคอช้างคีรีเมข ถือจักราวุธเข้าไปใกล้พระโพธิสัตว์แล้วกล่าวว่า สิทธัตถะ
ท่านจงลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้ บัลลังก์นี้ไม่ถึงแก่ท่าน บัลลังก์นี้ถึงแก่เรา พระ-
มหาสัตว์ได้ฟังคำของมารนั้น จึงได้ตรัสว่า ดูก่อนมาร ท่านไม่ได้บำเพ็ญ
บารมี 10 อุปบารมี 10 และปรมัตถบารมี 10 ทั้งไม่ได้บริจาคมหาบริจาค 5
ไม่ได้บำเพ็ญญาตัตถจริยา โลกัตถจริยาและพุทธัตถจริยา บัลลังก์นี้จึงไม่ถึง
แก่ท่าน บัลลังก์นี้ได้ถึงแก่เรา. มารโกรธอดกลั้นกำลังความโกรธไว้ไม่ได้จึง
ขว้างจักราวุธใส่พระมหาสัตว์ เมื่อพระมหาสัตว์นั้นทรงรำพึงถึงบารมี 10 ทัศ

อยู่ จักราวุธนั้น ได้ตั้งเป็นเพดานดอกไม้อยู่ในส่วนเบื้องบน ได้ยินว่าจักราวุธ
นั้นคมกล้านัก มารนั้นโกรธแล้วขว้างไปในที่อื่น ๆ จะตัดเสาหินแต่งทึบเป็น
อันเดียวไปเหมือนตัดหน่อไม้ไผ่ แต่บัดนี้ เมือจักราวุธนั้น กลายเป็นเพดาน
ดอกไม้ตั้งอยู่ บริษัทมารนอกนี้คิดว่า สิทธัตถกุมารจักลุกจากบัลลังก์หนีไปใน
บัดนี้ จึงพากันปล่อยยอดเขาหินใหญ่ ๆ ลงมา เนื้อพระมหาบุรุษทรงรำพึงถึง
บารมี 10 ทัศ แม้ยอดเขาหินเหล่านั้นก็ถึงภาวะเป็นกลุ่มดอกไม้ตกลงยังภาค
พื้นเทวดาทั้งหลายผู้ยืนอยู่ที่ขอบปากจักรวาล ยืดคอชะเง้อศีรษะออกดูด้วยคิด
กันว่า ท่านผู้เจริญ อัตภาพอันถึงความงามแห่งพระรูปโฉมของสิทธัตถกุมาร
ฉิบหายเสียแล้วหนอ สิทธัตถกุมารจักทรงกระทำอย่างไรหนอ.
ลำดับนั้น พระมหาบุรุษตรัสว่า บัลลังก์ได้ถึงแก่เราในวันที่พระโพธิ-
สัตว์ทั้งหลายบำเพ็ญบารมีแล้วตรัสรู้ยิ่ง ดังนี้ แล้วตรัสกุมารผู้ยืนอยู่สืบไปว่า
ดูก่อนมาร ใครเป็นสักขีพยานในความที่ท่านให้ทานแล้ว. มารเหยียดมือไป
ตรงหน้าหมู่มาร โดยพูดว่า มารเหล่านั้นมีประมาณเท่านี้เป็นพยาน. ขณะนั้น
เสียงของบริษัทมารซึ่งเป็นไปว่า เราเป็นพยาน เราเป็นพยาน ดังนี้ ได้เป็น
เช่นกับเสียงแผ่นดินทรุด. ลำดับนั้น มารจึงกล่าวกะพระมหาบุรุษว่า ดูก่อน
สิทธัตถะ. ในภาวะที่ท่านให้ทาน ใครเป็นสักขีพยาน พระมหาบุรุษตรัสว่า
ก่อนอื่น ในภาวะที่ท่านให้ทาน พลมารทั้งหลายผู้มีจิตใจเป็นพยาน แต่
สำหรับเรา ใคร ๆ ผู้มีจิตใจชื่อว่าจะเป็นพยานให้ ย่อมไม่มีในที่นี้ ทานที่
เราให้แล้วในอัตภาพอื่น ๆ จงยกไว้ ก็ในภาวะที่เราดำรงอยู่ในอัตภาพเป็น
พระเวสสันดรแล้ว ได้ให้สัตตสตกมหาทาน ให้สิ่งของอย่างละ 700 มหา-
ปฐพีอันหนาทึบนี้ แม้จะไม่มีจิตใจก็เป็นสักขีพยานให้ก่อน จึงทรงนำออก
เฉพาะพระหัตถ์ขวา จากภายในกลีบจีวร แล้วทรงเหยียดพระหัตถ์ชี้ลงตรง

หน้ามหาปฐพี พร้อมกับตรัสว่า ในคราวที่เราดำรงอยู่ในอัตภาพเป็นพระ-
เวสสันดรแล้วให้สัตตสตกมหาทาน ท่านได้เป็นพยานหรือไม่ได้เป็น. มหา-
ปฐพีได้ดั่งสนั่นหวั่นไหวประหนึ่งท่วมทับพลมาร ด้วยร้อยเสียงพันเสียงว่า
ในกาลนั้น เราเป็นพยานท่าน แต่นั้น มหาปฐพีได้กล่าวว่า ท่านสิทธัตถะ
ทานที่ท่านให้แล้ว เป็นมหาทาน เป็นอุดมทาน เมื่อพระมหาบุรุษพิจารณา
ไป ๆ ถึงทานที่ได้ให้โดยอัตภาพเป็นพระเวสสันดร ช้างคีรีเมขสูง 150 โยชน์
ก็คุกเข่าลง. บริษัทของมารต่างพากันหนีไปยังที่ศานุทิศ. ชื่อว่ามารสองตน
จะไปทางเดียวกัน ย่อมไม่มี ต่างละทิ้งเครื่องประดับศีรษะ และผ้าที่นุ่งห่ม
หนีไปเฉพาะทิศทั้งหลายตรง ๆ หน้า. ลำดับนั้น หมู่เทพทั้งหลายเห็นมาร
และพลมารหนีไปแล้ว กล่าวกันว่า มารปราชัยพ่ายแพ้แล้ว สิทธัตถกุมารมี
ชัยชนะแล้ว พวกเรามากระทำการบูชาความมีชัยกันเถิด ดังนี้ พวกนาคก็
ประกาศแก่พวกนาค พวกครุฑก็ประกาศแก่พวกครุฑ พวกเทวดาก็ประกาศ
แก่พวกเทวดา พวกพรหมก็ประกาศแก่พวกพรหม พวกวิชชาธร (ก็ประกาศ
แก่พวกวิชชาธร) ต่างมีมือถือของหอมและดอกไม้เป็นต้นมายังโพธิบัลลังก์
สำนักของพระมหาบุรุษ. ก็เมื่อมารและพลมารเหล่านั้น หนีไปอย่างนี้แล้ว
ในกาลนั้น หมู่นาคมีใจเบิกบาน ประกาศความ
ชนะของพระมเหสีเจ้า ณ โพธิมัณฑ์ว่า ก็พระพุทธเจ้า
ผู้มีสิรินี้ทรงมีชัยชำนะ ส่วนมารผู้ลามกปราชัยพ่ายแพ้
แล้ว.

แต่หมู่ครุฑก็มีใจเบิกบาน ประกาศความชนะ
ของพระมเหสีเจ้า ณ โพธิมัณฑ์ว่า ก็พระพุทธเจ้าผู้มี
พระสิรินี้ทรงมีชัยชนะ ส่วนมารผู้ลามกปราชัยพ่ายแพ้
แล้ว.

ในกาลนั้น หมู่เทพมีใจเบิกบาน ประกาศความ
ชนะของพระมเหสีเจ้า ณ โพธิมัณฑ์ว่า ก็พระพุทธเจ้า
ผู้มีสิรินี้ทรงมีชัยชนะ ส่วนมารผู้ลามกปราชัยพ่ายแพ้
แล้ว.

ในกาลนั้น แม้หมู่พรหมก็มีใจเบิกบาน. ประกาศ
ความชนะของพระมเหสีเจ้า ณ โพธิมัณฑ์ว่า ก็พระ-
พุทธเจ้าผู้มีพระสิรินี้ทรงมีชัยชนะ ส่วนมารผู้ลามก
ปราชัยพ่ายแพ้แล้ว แล.

เทวดาในหมื่นจักรวาลที่เหลือ บูชาด้วยดอกไม้ของหอม และเครื่อง
ลูบไล้เป็นต้น ได้ยืนกล่าวสดุดีมีประการต่าง ๆ เมื่อพระอาทิตย์ยังทอแสงอยู่
อย่างนี้นั่นแล พระมหาบุรุษทรงขจัดมารและพลมารได้แล้ว อันหน่อโพธิพฤกษ์
ซึ่งตกลงเหนือจีวร ประหนึ่งกลีบแก้วประพาฬแดง บูชาอยู่ ทรงระลึกได้
บุพเพนิวาสญาณในปฐมยาม ทรงชำระทิพยจักษุในมัชฉิมยาม ทรงยังญาณ
ให้หยั่งลงในปฏิจจสมุปบาทในปัจฉิมยาม ครั้งเมื่อพระมหาบุรุษนั้น ทรงพิจารณา
ปัจจยาการอันประกอบด้วยองค์ 12 โดยอนุโลมและปฏิโลมด้วยอำนาจวัฏฏะ
และวิวัฏฏะ หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว 12 ครั้ง จนจรดน้ำรองแผ่นดินเป็นที่สุด
ก็พระมหาบุรุษทรงยังหมื่นโลกที่ให้บันลือลั่นหวั่นไหวแล้ว ได้ทรงรู้แจ้ง
แทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ ในเวลาอรุณขึ้น เมื่อพระมหาบุรุษนั้นทรง
บรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว หมื่นโลกธาตุทั้งสิ้นได้มีการประดับตกแต่งแล้ว
รัศมีของธงชัยและธงปฏากที่ยกขึ้น ณ ปากขอบจักรวาลทิศตะวันออก กระทบ
ถึงขอบปากจักรวาลทิศตะวันตก ที่ยกขึ้น ณ ชอบปากจักรวาลทิศตะวันตกก็
เหมือนกัน กระทบถึงขอบปากจักรวาลทิศตะวันออก ที่ยกขึ้น ณ ขอบปาก
จักรวาลทิศเหนือ กระทบถึงขอบปากจักรวาลทิศใต้ ที่ยกขึ้น ณ ขอบปาก
จักรวาลทิศใต้ กระทบถึงขอบปากจักรวาลทิศเหนือ ส่วนรัศมีของธงชัยและ

ธงปฏากที่ยกขึ้น ณ พื้นปฐพี ได้ตั้งอยู่จรดพรหมโลก. รัศมีที่ตั้งอยู่ในพรหม
โลก ก็ตั้งถึงพื้นปฐพี. ต้นไม้ดอกในหมื่นจักรวาลก็ผลิดอก ต้นไม้ผล
ก็ได้เต็มไปด้วยพวงผล ปทุมชนิดลำต้นก็ออกดอกที่ลำต้น ปทุมชนิดกิ่งก้านก็
ออกดอกที่กิ่งก้าน ปทุมชนิดเครือเถาก็ออกดอกที่เครือเถา ปทุมชนิดห้อยก็
ออกดอกในอากาศ ปทุมชนิดเป็นช่อได้เจาะทำลายช่อหินตั้งขึ้นซ้อน ๆ
กันช่อละ 7 ชั้น หมื่นโลกธาตุได้หนุนไป เหมือนกลุ่มด้ายที่คลายออกและ
เหมือนเครื่องปูลาดที่จัดวางไว้ดีแล้วฉะนั้น. โลกันตนรกกว้าง 500 โยชน์ใน
ระหว่างจักรวาลทั้งหลาย ไม่เคยสว่างด้วยแสงพระอาทิตย์ 7 ดวง ก็ได้มีแสง
สว่างไสวเป็นอันเดียวกันมหาสมุทรลึก 84,000 โยชน์ ได้กลายเป็นน้ำหวาน
แม่น้ำทั้งหลายไม่ไหล คนบอดแต่กำเนิดแลเห็นรูป คนหนวกแต่กำเนิดได้ยิน
เสียง คนง่อยเปลี้ยแต่กำเนิดเดินได้ กรรมกรณ์ทั้งหลายมีเครื่องจองจำเป็นต้น
แห่งบรรดาเครื่องจองจำคือขื่อเป็นต้น ได้ขาดหลุดไป. พระมหาบุรุษอัน
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายบูชาด้วยสมบัติอัน ประกอบด้วยสิริหาปริมาณมิได้ ด้วย
ประการอย่างนี้ เมื่ออัจฉริยธรรมอันน่าอัศจรรย์ทั้งหลายมีประการต่าง ๆ ปรากฏ
แล้ว ได้แทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ จึงทรงเปล่งอุทานที่พระพุทธเจ้าทั้ง
ปวงมิได้ทรงละว่า
เราเมื่อแสวงหานายช่าง (คือตัณหา) ผู้กระทำ
เรือน เมื่อไม่ประสบ ได้ท่องเที่ยวไปยังสงสารมิใช่
น้อย ความเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์ ดูก่อนนายช่างผู้
กระทำเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักทำเรือนไม่ได้
อีกต่อไป ซี่โครงทั้งปวงของท่าน เราหักแล้ว ยอด
เรือนเรากำจัดแล้ว จิต (ของเรา) ถึงวิสังขาร (นิพพาน)
แล้ว เราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว.

ฐานะมีประมาณท่าน เริ่มแต่ดุสิตบุรีจนกระทั่งบรรลุพระสัพพัญญุต-
ญาณที่โพธิมัณฑ์นี้ พึงทราบว่า ชื่ออวิทูเรนิทาน ด้วยประการฉะนี้.

สันติเกนิทาน



ก็สันติเกนิทาน ท่านกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อประทับอยู่
ในที่นั้น ๆ อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเชตวันอัน
เป็นอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี (และว่า) ประทับ
อยู่ในกูฏาคารศาลาป่ามหาวัน ใกล้กรุงเวสาลี ดังนี้ สันติเกนิทานย่อมมีได้
ในที่นั้น ๆ นั่นเอง. ท่านกล่าวไว้อย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น สันติเกนิทาน
นั้นพึงทราบอย่างนั้น จำเดิมแต่ต้นไป.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนบัลลังก์ชัย เปล่งอุทานนี้แล้ว ได้มี
พระดำริดังนี้ว่า เราแล่นไปถึงสี่อสังไขยกับแสนกัป ก็เพราะเหตุบัลลังก์นี้ เรา
ตัดศีรษะอันประดับ แล้วที่ลำคอแล้วให้ทานไปตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ก็เพราะ
เหตุบัลลังก์นี้ เราควักนัยน์ตาที่หยอดดีแล้ว (และ) ควักเนื้อหัวใจให้ไปให้บุตร
เช่นชาลีกุมาร ให้ธิดาเช่นกับกัณหาชินากุมารี และให้ภรรยาเช่นพระมัทรีเทวี
เพื่อเป็นทาสของตนอื่น ๆ เพราะเหตุบัลลังก์นี้. บัลลังก์นี้เป็นบัลลังก์ชัย เป็น
บัลลังก์ประเสริฐของเรา ความดำริของเราผู้นั่งบนบัลลังก์นี้ ยังไม่บริบูรณ์เพียง
ใด เราจักไม่ลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้เพียงนั้น ดังนี้ จึงทรงนั่งเข้าสมาบัติหลายแสน
โกฏิอยู่ ณ บัลลังก์นั้นนั่นแหละตลอดสัปดาห์ ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนั่งเสวยวิมุตติสุขโดยบัลลังก์
เดียว ตลอดสัปดาห์
1 ครั้งนั้น เทวดาบางเหล่าเกิดความปริวิตกขึ้นว่า แม้
1. สัปดาห์ที่ 1 หลังจากตรัสรู้