เมนู

ฐานะมีประมาณท่าน เริ่มแต่ดุสิตบุรีจนกระทั่งบรรลุพระสัพพัญญุต-
ญาณที่โพธิมัณฑ์นี้ พึงทราบว่า ชื่ออวิทูเรนิทาน ด้วยประการฉะนี้.

สันติเกนิทาน



ก็สันติเกนิทาน ท่านกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อประทับอยู่
ในที่นั้น ๆ อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเชตวันอัน
เป็นอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี (และว่า) ประทับ
อยู่ในกูฏาคารศาลาป่ามหาวัน ใกล้กรุงเวสาลี ดังนี้ สันติเกนิทานย่อมมีได้
ในที่นั้น ๆ นั่นเอง. ท่านกล่าวไว้อย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น สันติเกนิทาน
นั้นพึงทราบอย่างนั้น จำเดิมแต่ต้นไป.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนบัลลังก์ชัย เปล่งอุทานนี้แล้ว ได้มี
พระดำริดังนี้ว่า เราแล่นไปถึงสี่อสังไขยกับแสนกัป ก็เพราะเหตุบัลลังก์นี้ เรา
ตัดศีรษะอันประดับ แล้วที่ลำคอแล้วให้ทานไปตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ก็เพราะ
เหตุบัลลังก์นี้ เราควักนัยน์ตาที่หยอดดีแล้ว (และ) ควักเนื้อหัวใจให้ไปให้บุตร
เช่นชาลีกุมาร ให้ธิดาเช่นกับกัณหาชินากุมารี และให้ภรรยาเช่นพระมัทรีเทวี
เพื่อเป็นทาสของตนอื่น ๆ เพราะเหตุบัลลังก์นี้. บัลลังก์นี้เป็นบัลลังก์ชัย เป็น
บัลลังก์ประเสริฐของเรา ความดำริของเราผู้นั่งบนบัลลังก์นี้ ยังไม่บริบูรณ์เพียง
ใด เราจักไม่ลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้เพียงนั้น ดังนี้ จึงทรงนั่งเข้าสมาบัติหลายแสน
โกฏิอยู่ ณ บัลลังก์นั้นนั่นแหละตลอดสัปดาห์ ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนั่งเสวยวิมุตติสุขโดยบัลลังก์
เดียว ตลอดสัปดาห์
1 ครั้งนั้น เทวดาบางเหล่าเกิดความปริวิตกขึ้นว่า แม้
1. สัปดาห์ที่ 1 หลังจากตรัสรู้

วันนี้ พระสิทธัตถะก็ยังมีกิจที่จะต้องทำอยู่หรือหนอ เพราะยังไม่ละความอาลัย
ในบัลลังก์. พระศาสดาทรงทราบความวิตกของเทวดาทั้งหลาย เพื่อจะทรง
ระงับความปริวิตกของเทวดาเหล่านั้น จึงทรงเหาะขึ้นยังเวหาส ทรงแสดง
ยมกปาฏิหาริย์.
จริงอยู่ ยมกปาฏิหาริย์ที่ทรงกระทำ ณ มหาโพธิมัณฑ์ก็ดี
ปาฏิหาริย์ที่ทรงกระทำในสมาคมพระญาติก็ดี ปาฏิหาริย์ที่ทรงกระทำในสมาคม
ชาวปาตลีบุตรก็ดี ทั้งหมดได้เป็นเหมือนยมกปาฏิหาริย์ที่ควงไม้คัณฑามพพฤกษ์.
พระศาสดาครั้นทรงระงับความปริวิตกของเทวดาทั้งหลายด้วยปาฏิ-
หาริย์นี้แล้ว จึงประทับยืนทางด้านทิศเหนือเยื้องไปทางทิศทะวันออกนิดหน่อย
ทรงพระดำริว่า เราได้รู้แจ้งพระสัพพัญญุตญาณบนบัลลังก์นี้หนอ จึงทอด
พระเนตรทั้งสองโดยไม่กระพริบ มองดูบัลลังก์อันเป็นสถานที่บรรลุผลแห่ง
บารมีที่ทรงบำเพ็ญมาตลอดสี่อสงไขยแสนกัป ทรงยับยั้งอยู่หนึ่งสัปดาห์.
สถานที่นั้น จึงชื่อว่า อนิมิสเจดีย์1
ลำดับนั้น ทรงนิรมิตที่จงกรมในระหว่างบัลลังก์ และที่ที่ประทับยืน
แล้วทรงจงกรมในรัตนจงกรมอันยาวจากตะวันออกไปตะวันตก ทรงยับยั้งอยู่
หนึ่งสัปดาห์. สถานที่นั้น จึงชื่อว่า รัตนจงกรมเจดีย์.2
แต่ในสัปดาห์ที่ 4 เทวดาทั้งหลายนิรมิตเรือนแก้วในด้านทิศพายัพ
จากต้นโพธิประทับนั่งบนบัลลังก์ในเรือนแก้วนั้น ทรงพิจารณาพระอภิธรรม
ปิฎกและสมันตปัฏฐานอันนี้นัยในเรือนแก้วนี้ โดยพิเศษ ทรงยับยั้งอยู่หนึ่ง
สัปดาห์. ส่วนนักอภิธรรมกล่าวว่า เรือนอันล้วนแล้วด้วยแก้ว ชื่อว่า
รัตนฆระเรือนแก้ว สถานที่ทรงพิจารณาปกรณ์ทั้ง 7 พระคัมภีร์ ก็ชื่อว่า
รัตนฆรเรือนแก้ว. ก็เพราะเหตุที่ปริยายแม้ทั้งสองนี้ย่อมใช้ได้ในที่นี้ ฉะนั้น
1. สัปดาห์ที่ 2 นับแต่ตรัสรู้ 2. สัปดาห์ที่ 3 นับแต่ตรัสรู้

คำทั้งสองนี้ควรเธอถือทีเดียว. ก็จำเดิมแต่นั้นมา สถานที่นั้น จึงชื่อว่า รัตน-
ฆรเจดีย์.
1
พระศาสดาทรงยับยั้งอยู่ ณ ที่ใกล้ต้นโพธิ์นั่นเอง ตลอด 4 สัปดาห์
ด้วยอาการอย่างนี้ ในสัปดาห์ที่ 5 จึงเสด็จจากควงโพธิพฤกษ์เข้าไปยังต้น
อชปาลนิโครธ ทรงนั่งพิจารณาพระธรรมและเสวยวิมุตติสุขอยู่ ณ ต้นอช-
ปาลนิโครธ
2 แม้นั้น.
สมัยนั้น เทวปุตรมารติดตามอยู่ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ แม้จะเพ่ง
มองหาช่องทางอยู่ ก็ไม่ได้เห็นความพลั้งพลาดอะไร ๆ ของพระสิทธัตถะนี้ จึง
ถึงความโทมนัสว่า บัดนี้สิทธัตถะนี้ล่วงพ้นวิสัยของเราแล้ว จึงนั่งที่หนทาง
ใหญ่คิดถึงเหตุ 16 ประการ จึงขีดเส้น 16 เส้นลงบนแผ่นดิน คือคิดว่า เรา
ไม่ได้บำเพ็ญทานบารมีเหมือนสิทธัตถะนี้แล้วขีดลงไปเส้นหนึ่ง. อนึ่ง คิดว่า
เราไม่ได้บำเพ็ญศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี
สัจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้
ด้วยเหตุนั้น เราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้ แล้วขีดเส้น (ที่ 2 ถึง) ที่ 10.
อนึ่ง คิดว่า เราไม่ได้บำเพ็ญบารมี 10 อันเป็นอุปนิสัยแก่การแทงตลอด
อาสยานุสยญาณ อินทริยปโรปริยญาณ มหากรุณาสมาปัตติญาณ ยมกปาฏิ-
หาริยญาณ อนาวรณญาณ และสัพพัญญุญาณ อันไม่ทั่วไปแก่ผู้อื่น เหมือน
ดังสิทธัตถะนี้ ด้วยเหตุนั้นเราจึงไม่เป็นเหมือนดังสิทธัตถะนี้ แล้วขีดเส้น (ที่
11 ถึง) ที่ 16 เมื่อเทวปุตตมารนั้นนั่งขีดเส้น 16 เส้น อยู่บนทางใหญ่ เพราะ
เหตุเหล่านั้น ด้วยประการอย่างนี้แล้ว สมัยนั้น ธิดามารทั้ง 3 คือ นางตัณหา
นางอรดีและนางราคา กล่าวกันว่า บิดาของพวกเราไม่ปรากฏ บัดนี้ อยู่ที่
1. สัปดาห์ที่ 4 นับแต่ตรัสรู้ 1. สัปดาห์ที่ 5 นับแต่ตรัสรู้

ไหนหนอ จึงมองหาอยู่. ได้เห็นเทวปุตรมารนั้น ได้รับความโทมนัสขีดแผ่น
ดินอยู่ จึงพากันไปยังสำนักของบิดาถามว่า ท่านพ่อ เพราะเหตุไร ท่านพ่อจึง
เป็นทุกข์ หม่นหมองใจ. เทวปุตรมารกล่าวว่า ลูกเอ๋ย มหาสมณะนี้ล่วงพ้น
อำนาจของเราเสียแล้ว พ่อคอยดูอยู่ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ยังไม่อาจเห็น
ช่องโอกาสของมหาสมณะนี้ ด้วยเหตุนั้น พ่อจึงเป็นทุกข์หม่นหมองใจ. มารธิดา
กล่าวว่า ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้น คุณพ่ออย่าได้เสียใจ พวกข้าพเจ้าจักกระทำ
มหาสมณะนั้น ให้อยู่ในอำนาจของตน แล้วจักพามา. เทวปุตรมารกล่าวว่า
ลูกเอ๋ย ใคร ๆ ไม่อาจทำมหาสมณะนี้ให้อยู่ในอำนาจ บุรุษผู้นี้ตั้งอยู่ใน
ศรัทธาอันไม่หวั่นไหว. ธิดามารกล่าวว่า ท่านพ่อ พวกข้าพเจ้าเป็นลูกผู้หญิง
นะ พวกข้าพเจ้าจักเอาบ่วงคือราคะเป็นต้น ผูกมหาสมณะให้มั่นแล้วนำมาให้
เดี๋ยวนี้ ท่านพ่ออย่าคิดไปเลย. กล่าวแล้วธิดามารทั้ง 3 นั้น จึงจากที่นี้เข้าไป
หาพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ พวกข้าพระบาทจักบำเรอ
เท้าของพระองค์. พระผู้มีพระภาคเจ้า มิได้ลืมพระเนตรแลดู มีพระมนัสน้อม
ไปในธรรมเครื่องสิ้นไปแห่งอุปธิอันยอดเยี่ยม และประทับนั่งเสวยสุขอันเกิด
แต่วิเวกเท่านั้น. ธิดามารคิดกันอีกว่าความประสงค์ของพวกผู้ชายไม่เหมือนกัน
ผู้ชายบางคนรักหญิงกุมารีรุ่นสาว บางคนรักหญิงผู้อยู่ในปฐมวัย บางคนรักหญิง
ผู้ตั้งอยู่ในมัชฌิมวัย บางคนรักหญิงผู้ตั้งอยู่ในปัจฉิมวัย ถ้ากระไร พวกเรา
ควรประเล้าประโลมด้วยรูปนานาประการ จึงนางหนึ่ง ๆ นิรมิตอัตภาพเป็น
ร้อย ๆ อัตภาพ โดยเป็นรูปหญิงรุ่นเป็นต้น เป็นหญิงยังไม่ตลอด
เป็นหญิงคลอดคราวเดียว เป็นหญิงตลอด 2 คราว เป็นหญิงกลางคนและเป็น
หญิงรุ่นใหญ่ เข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้าถึง 6 ครั้ง แล้วกล่าวว่า ข้าแต่
พระสมณะ พวกข้าพระบาทจักบำเรอบาทของพระองค์. พระผู้มีพระภาคเจ้า

ไม่ทรงใส่พระทัยถึงข้อแม้นั้น โดยประการที่ทรงน้อมไปในธรรมเครื่องสิ้นไป
แห่งอุปธิอันยอดเยี่ยม. ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้นทรงเห็นธิดามารเหล่านั้นเข้ามาหาโดย ภาวะเป็นหญิงผู้ใหญ่จึงทรงอธิษ-
ฐานว่า หญิงเหล่านี้จงเป็นผู้มีฟันหัก ผมหงอกอย่างนี้ ๆ. คำของเกจิอาจารย์
นั้น ไม่ควรเชื่อถือ. เพราะพระศาสดาจะไม่ทรงกระทำการอธิษฐานเห็นปาน
นั้น. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกท่านจงหลีกไป พวกท่านผู้เช่นไร
จึงพากันพยายามอย่างนี้ ชื่อว่ากรรมเห็นปานนี้ควรกระทำเบื้องหน้าของตนผู้
ยังไม่ปราศจากราคะเป็นต้น แต่ตถาคตละราคะ โทสะ โมหะได้แล้ว จึง
ทรงพระปรารภถึงการละกิเลสของพระองค์. ทรงแสดงธรรมตรัสพระคาถา 2
คาถาในพระธรรมบท พุทธวรรค1 ดังนี้ว่า
ความชนะอันผู้ใดชนะแล้วไม่กลับแพ้อันใคร ๆ จะ
นำความชนะของผู้นั้นไปในโลกได้ ท่านทั้งหลายจักนำ
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด ผู้ไม่มี
ร่องรอยไปด้วยร่องรอยอะไร. พระพุทธเจ้าพระองค์ใด
ไม่มีตัณหาอันเป็นดุจข่ายส่ายไปในอารมณ์ต่าง ๆ เพื่อ
จะนำไปในที่ไหน ๆ ท่านทั้งหลายจักนำพระพุทธเจ้า
พระองค์นั้นผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด ผู้ไม่มีร่องรอย ไป
ด้วยร่องรอยอะไร.

ธิดามารเหล่านั้นกล่าวคำเป็นต้นว่า นัยว่า บิดาของพวกเราพูดจริง
พระอรหันต์สุคตเจ้าเป็นผู้ที่จะนำไปไม่ได้ง่าย ๆ ในโลกด้วยราคะ แล้วได้พากัน
ไปยังสำนักของบิดา.
1. ขุ. 25/ข้อ 24

ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยับยั้งอยู่ที่อชปาลนิโครธนั้น หนึ่งสัปดาห์
แล้วได้เสด็จไปที่โคนไม้มุจลินท์1 ณ ที่นั้นฝนพรำเกิดขึ้น 7 วัน พระองค์
อันพระยามุจลินทนาคราชวงด้วยขนด 7 รอบ เพื่อป้องกันความหนาวเป็นต้น
เสวยวิมุตติสุขประหนึ่งประทับอยู่ในพระคันธกุฏีอันไม่คับแคบ ทรงยับยั้งอยู่
หนึ่งสัปดาห์แล้วเสด็จไปยัง ต้นราชายตนะ2 ประทับนั่งเสวยวิมุตติสุข
อยู่ ณ ที่ต้นราชายตนะแม้นั้นหนึ่งสัปดาห์ โดยลำดับกาลเพียงเท่านี้ สัปดาห์
ทั้งหลายก็ครบบริบูรณ์.
ในระหว่างนี้ไม่มีการชำระล้างพระพักตร์ ไม่มีการปฏิบัติพระสรีระ ไม่
มีกิจด้วยพระกระยาหาร ทรงยับยั้งอยู่ด้วยฌานสุข มรรคสุข และผลสุข. ครั้น
ในวันที่ 49 อันเป็นวันสุดท้ายแห่งสัปดาห์ที่ 7 นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
ประทับนั่งที่ต้นราชายตนะนั้น เกิดพระดำริขึ้นว่า จักสรงพระพักตร์. ท้าวสักกะ
จอมเทพได้ทรงนำผลสมอมาถวายด้วยพระองค์เอง. พระศาสดาเสวยผลสมอ
นั้น. ด้วยเหตุนั้นพระองค์จึงได้มีการถ่ายพระบังคนหนัก. ลำดับนั้น ท้าวสักกะ
นั่นแหละได้ถวายไม้ชำระพระทนต์ชื่อนาคลดา และน้ำล้างพระพักตร์แด่
พระศาสดานั้น. พระศาสดาทรงเคี้ยวไม้ชำระพระทนต์ ล้างพระพักตร์ด้วยน้ำใน
สระอโนดาต แล้วคงประทับนั่งที่โคนไม้ราชายตนะนั่นเอง.
สมัยนั้น พาณิช 2 คน ชื่อตปุสสะ และภัลลิกะ จากอุกกุลา-
ชนบท
จะไปยังมัชฌิมประเทศด้วยเกวียน 500 เล่ม ถูกเทวดาผู้เป็นญาติ
สาโลหิตของตนปิดทางเกวียนไว้ ทำให้อุตสาหะในการมอบถวายอาหารแด่พระ-
ศาสดา จึงถือเอาข้าวสตูก้อนและขนมน้ำผึ้งแล้วได้เข้าไปใกล้พระศาสดา กราบ
ทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ขอจงอนุเคราะห์รับอาหารนี้เถิด
แล้วยืนอยู่. ก็เพราะบาตรได้หายไปในวันรับข้าวมธุปายาสนั่นเอง พระผู้มีพระ-
1. สัปดาห์ที่ 6 นับแต่ตรัสรู้ 2. สัปดาห์ที่ 7 นับแต่ตรัสรู้

ภาคเจ้าจึงทรงพระดำริว่า พระตถาคตทั้งหลายย่อมไม่รับที่มือ เราจะรับ
อย่างไรหนอ.
ลำดับนั้น ท้าวมหาราชทั้งสี่ จากทิศทั้งสี่ รู้พระดำริของพระผู้มี
พระภาคเจ้านั้น จึงน้อมบาตรอันสำเร็จด้วยแก้วอินทนิลเข้าไปถวาย. พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงปฏิเสธบาตรเหล่านั้น. ท้าวมหาราชจึงน้อมนำบาตร 4 ใบ อัน
สำเร็จด้วยหินมีสีดังถั่วเขียวเข้าไปถวาย. เพื่อจะทรงอนุเคราะห์เทวบุตรแม้ 8
องค์ จึงทรงรับบาตรทั้ง 4 ไปแล้ววางซ้อน ๆ กัน ทรงอธิษฐานว่า จงเป็น
บาตรใบเดียว. บาตรแม้ทั้ง 4 จึงไม่มีรอยปรากฏอยู่ที่ขอบปากบาตร รวมเป็น
บาตรใบเดียวกัน โดยประมาณบาตรขนาดกลาง. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับ
อาหารที่บาตรอันล้วนด้วยศิลาที่เห็นประจักษ์นั้น เสวยแล้ว ทรงกระทำ
อนุโมทนา. พาณิช 2 คนพี่น้อง ถึงพระพุทธเจ้าและพระธรรมเป็นสรณะ
ได้เป็นทเววาจิกอุบาสกผู้เปล่งวาจาถึงสรณะทั้งสอง. ลำดับนั้น เมื่อพาณิชทั้ง
สองนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงโปรดประทานฐานะที่
จะพึงปรนนิบัติอย่างหนึ่งแก่ข้าพระองค์ทั้งสอง พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงเอา
พระหัตถ์ขวาลูบพระเศียรของพระองค์แล้วประทานพระเกศธาตุทั้งหลายให้ไป
พาณิชทั้งสองนั้นจึงให้ก่อพระเจดีย์บรรจุพระเกศธาตุไว้ภายใน ณ เมืองของตน.
จำเดิมแต่นั้น แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปยังต้น อชปาลนิโครธ
อีก ทรงประทับนั่งที่โคนต้นนิโครธ. ลำดับนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
พอประทับที่โคนต้นนิโครธนั้นเท่านั้น ก็ทรงพิจารณาความที่ธรรมซึ่งพระองค์
ทรงบรรลุแล้วเป็นธรรมลึกซึ้ง ทรงพระดำริว่า ธรรมนี้พระพุทธเจ้าทั้งปวง
ประพฤติสั่งสมไว้แล้ว เราได้บรรลุแล้วแล จึงเกิดความตรึกอันถึงอาการคือ
ความไม่ประสงค์ที่จะแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่น. ลำดับนั้น ท้ววสหัมบดีพรหม

ตรัสว่า ผู้เจริญทั้งหลาย โลกจักฉิบหายละหนอ ท่านผู้เจริญ โลกจัก
ฉิบทายละหนอ แล้วทรงพาท้าวสักกะ ท้าวสุยามะ ท้าวสันดุสิต ท้าวสวัตดี
และท้าวมหาพรหมจากหมื่นจักรวาล ไปเฝ้าพระศาสดาทูลอาราธนาให้ทรง
แสดงธรรม โดยนัยมีอาทิว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า
โปรดทรงแสดงธรรม พระศาสดาทรงให้ปฏิญญาแก่ท้าวสหัมบดีพรหมนั้นแล้ว
ทรงพระดำริว่า เราจะแสดงธรรมครั้งแรกแก่ใครหนอ ทรงยังพระดำริให้เกิดขึ้น
ว่า อาฬารดาบสเป็นบัณฑิต อาฬารดาบสนั้นจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้โดยเร็วพลัน
แล้วทรงตรวจดูอีก ได้ทรงทราบว่าอาฬารดาบสนั้น กระทำกาละได้ 7 วันแล้ว
จึงทรงรำพึงถึงอุทกดาบส ได้ทรงทราบว่า แม้อุทกดาบสนั้นก็ได้ทำกาละ
ไปแล้วเมื่อพลบค่ำเย็นวานนี้ จึงทรงมนสิการปรารภถึงพระปัญจวัคคีย์ว่า
ภิกษุปัญจวัคคีย์มีอุปการะมากแก่เรา จึงทรงพระรำพึงว่า บัดนี้ ภิกษุปัญจ-
วัคคีย์นั้นอยู่ที่ไหนหนอ ได้ทรงทราบว่า อยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวง
เมืองพาราณสี จึงทรงพระดำริว่า เราจักไปที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันนั้น แล้ว
แสดงพระธรรมจักร จึงเสด็จเที่ยวบิณฑบาตไปรอบ ๆ โพธิมัณฑ์เท่านั้น 2-3
วัน ทรงพระดำริว่า เราจักไปเมืองพาราณสีในวันอาสาฬหบูรณมี กลางเดือน 8
พอในวันจาตุททสีขึ้น 14 ค่ำ ในเวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง เมื่อราตรีสว่างแล้ว
พอเช้าตรู่ก็ทรงถือบาตรจีวร เสด็จดำเนินไปสิ้นหนทาง 18 โยชน์ ทรงพบ
อุปกาชีวก ในระหว่างทาง จึงตรัสบอกถึงความที่พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า
แก่อุปกาชีวกนั้น แล้วได้เสด็จไปถึงป่าอิสิปคนมฤคทายวัน ในเย็นวันนั้นเอง.
พระเถระปัญจวัคคีย์ เห็นพระตถาคตเจ้าเสด็จมาแต่ไกลทีเดียว จึง
ได้ทำกติกากันไว้ว่า ดูก่อนอาวุโส พระสมณโคดมนี้ เวียนมาเพื่อความเป็น
ผู้มักมากในปัจจัย มีกายสมบูรณ์ มีอินทรีย์ผ่องใส มีผิวพรรณดุจทองคำ
กำลังมาอยู่ เราจักไม่กระทำสามีจิกรรมมีอภิวาทเป็นต้น แก่พระสมณโคดมนี้

แต่เธอประสูติในตระกูลใหญ่โต ย่อมควรจัดอาสนะไว้ ด้วยเหตุนั้น พวกเรา
จักปูลาดเพียงอาสนะไว้เพื่อเธอ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรำพึงว่า ภิกษุ
ปัญจวัคคีย์นี้ คิดอย่างไรหนอ ก็ได้ทรงทราบความคิดด้วยพระญาณอันสามารถ
รู้วาระจิตของโลกพร้อมทั้งเทวโลก. ลำดับนั้น จึงทรงย่นย่อเอาเมตตาจิตอัน
สามารถแผ่ไปโดยไม่เจาะจง ในหมู่เทวดาและมนุษย์ทั้งปวง แล้วทรงแผ่เมตตา
จิตไป. พระปัญจวัคคีย์เหล่านั้น โดยเฉพาะพระปัญจวัคคีย์เหล่านั้นอันพระผู้มี
พระภาคเจ้าให้ถูกต้องด้วยเมตตาจิตแล้ว เมื่อพระตถาคตเจ้าเสด็จเข้าไปใกล้
ไม่อาจดำรงอยู่ในกติกาของตน ได้พากันทำกิจทั้งมวลมีการอภิวาทและการ
ลุกรับเป็นต้น แต่ยังไม่รู้ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นพระสัมมาสันพุทธเจ้า
แล้ว จึงใช้วาจาเรียกโดยชื่อ และโดยคำว่า อาวุโส อย่างเดียว. ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังพระปัญจวัคคีย์เหล่านั้น ให้รู้ว่าพระองค์เป็นพระ-
พุทธเจ้าแล้ว ด้วยพระดำรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่าเรียกตถาคต
โดยชื่อ และโดยวาทะว่า อาวุโส เลย ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นพระอรหันต-
สัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนี้ แล้วประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์ที่ตกแต่งไว้
เมื่อกลุ่มดาวนักษัตรแห่งเดือนอุตตราสาฬหะ เดือน 8 หลัง กำลังดำเนินไป
อยู่ ทรงห้อมล้อมด้วยพรหม 18 โกฏิ ได้ตรัสเรียกพระเถระปัญจวัคคีย์มา
ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร. บรรดาพระปัญจวัคคีย์เหล่านั้น พระ
อัญญาโกณฑัญญเถระส่งญาณไปตามกระแสแห่งพระธรรมเทศนา ในเวลาจบ
พระสูตร ได้ดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผลพร้อมกับพรหม 18 โกฏิ. พระศาสดา
ทรงเข้าจำพรรษา ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวันนั้นนั่นเอง วันรุ่งขึ้น ประทับ
นั่งสั่งสอนพระวัปปเถระอยู่ในที่อยู่นั่นเอง พระเถระที่เหลือ 4 รูปเที่ยวไป
บิณฑบาต. พระวัปปเถระได้บรรลุโสดาปัตติผลในเวลาเช้านั่นแล. ก็โดย

อุบายนี้แหละ ทรงยังพระภัททิยเถระให้ดำรงอยู่โสดาปัตติผลในวันรุ่งขึ้น
พระมหานามเถระในวันรุ่งขึ้น และพระอัสสชิในวันรุ่งขึ้น รวมความว่า
ทรงยังพระเถระทั้งปวงให้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว ในดิถีที่ 5 แห่งปักษ์
ได้เห็นพระเถระแม้ทั้ง 5 ประชุมกันแล้วทรงแสดงอันตตลักขณสูตร ใน
เวลาจบเทศนาพระเถระแม้ทั้ง 5 ดำรงอยู่ในพระอรหัต.
ครั้งนั้น พระศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยของยสกุลบุตร เขาเบื่อหน่ายละ
เรือนออกไปในตอนกลางคืน จึงตรัสเรียกว่า มานี่เถิด ยสะ แล้วให้ดำรงอยู่
ในพระโสดาปัตติผล ในตอนกลางคืนนั้นนั่นเอง. วันรุ่งขึ้นได้ให้ดำรงอยู่ใน
พระอรหัต ทรงยังคนอื่นอีก 54 คนผู้สหายของพระยสะนั้น ให้บรรพชาด้วย
เอหิภิกขุบรรพชา แล้วให้บรรลุพระอรหัต. ก็เมื่อพระอรหันต์ 61 องค์เกิด
ขึ้นในโลกด้วยประการอย่างนี้แล้ว พระศาสดาทรงออกพรรษา ปวารณาแล้ว
ทรงส่งภิกษุ 60 องค์ไปในทิศทั้งหลายด้วยพระดำรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ท่าน
ทั้งหลายจงเที่ยวจาริกไป ส่วนพระองค์เองเสด็จไปยังตำบลอุรุเวลา ในระหว่าง
ทางได้ทรงแนะนำภัตทวัคคีย์กุมาร 30 คน ในชัฏป่าฝ้าย. บรรดาภัตทวัคคีย์-
กุมารเหล่านั้นคนท้ายสุดได้เป็นพระโสดาบัน คนเหนือสุดได้เป็นพระอนาคามี
พระองค์ทรงให้ภัตทวัคคีย์กุมารทั้งหมดแม้เหล่านั้นบรรพชา ด้วยความเป็น
เอหิภิกขุเหมือนกัน แล้วทรงส่งไปในทิศทั้งหลาย แล้วพระองค์ได้เสด็จไปยัง.
ตำบลอุรุเวลา ทรงแสดงปาฏิหาริย์ 3500 ปาฏิหาริย์ ทรงแนะนำชฎิล 3 พี่
น้อง มีอุรุเวลกัสสปเป็นต้น มีบริวารหนึ่งพัน ให้บรรพชาด้วยความเป็น
เอหิภิกขุเหมือนกัน แล้วให้นั่งที่คยาสีสประเทศ ให้ดำรงอยู่ในพระอรหัต ด้วย
อาทิตตปริยายเทศนา อันพระอรหันต์หนึ่งพันนั้นแวดล้อม ทรงพระดำริว่า
จักเปลื้องปฏิญญาที่ทรงให้ไว้แก่พระเจ้าพิมพิสาร จึงได้เสด็จไปยังลัฏฐิวัน

อุทยานสวนตาลหนุ่ม ณ ชานพระนครราชคฤห์. พระราชาได้ทรงสดับจาก
สำนักของนายอุทยานบาลว่า พระศาสดาเสด็จมาแล้ว จึงทรงห้อมล้อมด้วย
พราหมณ์และคฤหบดี 12 นหุต (คือ 12 หมื่น) เข้าได้เฝ้าพระศาสดา เมื่อ
พื้นพระบาทอันวิจิตรด้วยจักรกำลังเปล่งแสงสุกสกาวขึ้น ประหนึ่งเพดาน
แผ่นทองคำ จึงทรงหมอบพระเศียรลงแทบพระบาทของพระตถาคตเจ้า แล้ว
ประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่งพร้อมกับบริษัท. ลำดับนั้น พราหมณ์และคฤหบดี
เหล่านั้น ได้มีความคิดดังนี้ว่า พระมหาสมณะประพฤติพรหมจรรย์ในท่าน
อุรุเวลกัสสป หรือว่าท่านอุรุเวลกัสสปประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความปริวิตกของพราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้น
จึงได้ตรัสกะพระเถระด้วยพระคาถาว่า
ท่านอยู่ในอุรุเวลา (มานาน) ซูบผอม (เพราะ
กำลังพรต) เป็นผู้กล่าวสอน (ประชาชน) เห็นโทษ
อะไรหรือ จึงละไฟ (ที่บูชา) เสีย ดูก่อนกัสสป เรา
ถามเนื้อความนี้กะท่าน อย่างไรท่านจึงละการบูชาไฟ
เสียเล่า.

ฝ่ายพระเถระรู้พระประสงค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคาถานี้ว่า
ยัญทั้งหลายย่อมกล่าวสรรเสริญ รูป เสียง กลิ่น
รส และหญิงที่น่าใคร่ ข้าพระองค์รู้ว่า นี้เป็นมลทินใน
อุปธิทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงไม่ยินดีใน
การเซ่นสรวง และการบูชา
ดังนี้.
เพื่อที่จะประกาศความที่ตนเป็นสาวก จึงซบศีรษะที่หลังพระบาทของพระคถา-
คต แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นศาสดา

ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก ดังนี้แล้ว เหาะขึ้นสู่เวหาส 7 ครั้ง
คือ 1 ชั่วลำตาล 2 ชั่วลำตาล จนประมาณ 7 ชั่วลำตาล แล้วลงมาถวาย
บังคมพระตถาคตแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. มหาชนได้เห็นปาฏิหาริย์นั้นแล้ว
พากัน กล่าวพรรณนาพระคุณของพระศาสดาว่า น่าอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าทรง
มีอานุภาพมาก แม้พระอุรุเวลกัสสป ชื่อว่ามีทิฏฐิเข็มแข็งอย่างนี้ สำคัญ
ตนว่าเป็นพระอรหันต์ ก็ถูกพระตถาคตทำลายข่ายคือทิฏฐิทรมานแล้ว. พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เราทรมานพระอุรุเวลกัสสป แต่ในบัดนี้เท่านั้น ก็หา
มิได้ แม้ในอดีต พระอุรุเวลกัสสปนี้ก็ถูกเราตถาคตทรมานมาแล้วเหมือน
กัน แล้วตรัสมหานารทกัสสปชาดก ในเพราะเหตุเกิดเรื่องนี้ขึ้น แล้วทรง
ประกาศสัจจะทั้ง 4. พระเจ้ามคธราชทรงดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พร้อมกับ
บริวาร 11 นหุต ส่วนอีกหนึ่งนหุตประกาศความเป็นอุบาสก. พระราชาทรง
ประทับอยู่ในสำนักของพระศาสดานั้นแล ทรงประกาศเหตุอันมาซึ่งความสบาย
พระทัย 5 ประการ แล้วทรงถึงสรณะ ทรงนิมนต์เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ แล้ว
เสด็จลุกจากพระอาสน์ ทรงกระทำประทักษิณพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วเสด็จ
หลีกไป. วันรุ่งขึ้น พวกมนุษย์ชาวเมืองราชคฤห์แม้ทั้งสิ้นนับได้ 18โกฏิ ทั้งที่
ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าและทั้งที่ไม่ได้เห็นมีความประสงค์จะเห็นพระตถาคต
จึงได้จากกรุงราชคฤห์ไปยังลัฏฐิวันแต่เช้าตรู่. หนทาง 3 คาวุตไม่เพียงพอ.
ลัฏฐิวันอุทยานทั้งสิ้น ได้แน่นขนัดไปหมด. มหาชนแลดูอัตภาพอันถึงความ
งามด้วยพระรูปโฉมของพระทศพล ไม่อาจกระทำให้อิ่มได้. ในฐานะทั้งหลาย
แม้เห็นปานนี้ พึงพรรณนาความสง่างามแห่งพระรูปกายแม้ทั้งสิ้นนี้อันมีประเภท
เป็นพระลักษณะ และพระอนุพยัญชนะของพระตถาคต ชื่อว่าวรรณรูป
(การพรรณนารูป). มหาชนผู้แลดู พระสรีระของพระทศพล อันถึงความงามด้วย

พระรูปโฉมแน่นขนัดไปหมดด้วยอาการอย่างนี้ จึงไม่มีโอกาสที่แม้ภิกษุรูปหนึ่ง
จะออกไปที่อุทยานและที่หนทาง. ได้ยินว่าวันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรง
ขาดพระกระยาหาร การขาดพระกระยาหารนั้น อย่าได้มีเลย เพราะเหตุนั้น
อาสน์ที่ท้าวสักกะประทับนั่ง จึงแสดงอาการร้อน ท้าวสักกะนั้น ทรงพระรำพึง
อยู่ ได้ทรงทราบเหตุการณ์นั้น จึงทรงนิรมิตเพศเป็นมาณพน้อย กล่าวคำ
สดุดีอันปฏิสังยุตด้วยพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เสด็จลงตรง
เบื้องพระพักตร์ของพระทศพล ได้โอกาสด้วยเทวานุภาพ เสด็จนำไปข้างหน้า
กล่าวคุณของพระศาสดา ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้ามีวรรณะงาม ดุจลิ่มทองสิงคี
ผู้ทรงผูกแล้ว เสด็จเข้ากรุงราชคฤห์พร้อมด้วยพระ
ปุราณชฏิล ผู้ฝึกตนได้แล้ว ผู้หลุดพ้นแล้ว. พระผู้มี
พระภาคเจ้าผู้มีวรรณะงามดุจลิ่มทองสิงคี ผู้หลุดพ้น
แล้ว เสด็จเข้ากรุงราชคฤห์พร้อมกับพระปุราณชฏิล
ผู้หลุดพ้นแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีวรรณะงามดุจ
ทองสิงคี ผู้ทรงข้ามแล้ว เสด็จเข้ากรุงราชคฤห์พร้อม
กับพระปุราณชฏิล ผู้ข้ามพ้นแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นั้น มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ 10 มีพระกำลัง 10
ทรงรู้แจ้งธรรม 10 และประกอบด้วยพระคุณ 10 มี
บริวารพันหนึ่ง เสด็จเข้ากรุงราชคฤห์แล้ว.

มหาชนได้เห็นความสง่าแห่งรูปของมาณพน้อยแล้วคิดว่า มาณพน้อย
นี้มีรูปงามยิ่งนัก ก็มาณพน้อยนี้ เราไม่เคยเห็นเลย จึงกล่าวว่า มาณพน้อย
นี้มาจากไหน หรือมาณพน้อยของใคร. มาณพน้อยได้ฟังดังนั้น จึงกล่าว
คาถาว่า

พระสุคตเจ้าพระองค์ใด ทรงฝึกพระองค์ได้ใน
ที่ทั้งปวง ทรงประเสริฐที่สุด ไม่มีบุคคลเปรียบเป็น
พระอรหันต์ในโลก เราเป็นคนรับใช้ของพระสุคตเจ้า
พระองค์นั้น.

พระศาสดาทรงดำเนินทางซึ่งมีโอกาสอันท้าวสักกะทรงกระทำแล้ว ทรงห้อม
ล้อมด้วยภิกษุพันหนึ่ง เสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์. พระราชาทรงถวายมหา-
ทานแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ หม่อมฉันจักไม่อาจเป็นไปอยู่โดยเว้นรัตนะทั้งสาม หม่อมฉันจักมาเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ในเวลาบ้างไม่ใช่เวลาบ้าง ก็ชื่อว่าลัฏฐิวันอุทยานไกลเกินไป
แต่อุทยานชื่อว่าเวฬุวันของหม่อมฉันนี้ ไม่ไกลเกินไปไม่ใกล้เกินไป เป็น
เสนาสนะสมบูรณ์ด้วยการคมนาคม สมควรแก่พระพุทธเจ้า ขอพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าจงทรงรับเวฬุวันนี้เถิด แล้วทรงเอาพระสุวรรณภิงคารตักน้ำอัน มีสีดัง
แก้วมณีอบด้วยดอกไม้และของหอม เมื่อจะทรงบริจาคพระเวฬุวันอุทยาน จึง
ทรงหลั่งน้ำให้ตกลงบนพระหัตถ์ของพระทศพล ในขณะทรงรับพระอาราม
มหาปฐพีได้หวั่นไหวอันเป็นเหตุให้รู้ว่า รากแก้วของพระพุทธศาสนาได้หยั่ง
ลงแล้ว. จริงอยู่ ในชมพูทวีปยกเว้นพระเวฬุวันเสีย ชื่อว่าเสนาสนะอื่นที่ทรง
รับแล้วแผ่นดินไหว ย่อมไม่มี. ฝ่ายในตามพปัณณิทวีป (คือเกาะลังกา)
ไม่มีเสนาสนะอื่นที่รับแล้วแผ่นดินไหว ยกเว้นมหาวิหาร. พระศาสดาครั้น
ทรงรับพระเวฬุวนารามแล้ว ทรงกระทำอนุโมทนาแก่พระราชา แล้วเสด็จลุก
จากอาสนะ ห้อมล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ได้เสด็จไปยังพระเวฬุวัน.
ก็สมัยนั้นแล ปริพาชกทั้งสอง คือสารีบุตรและโมคคัลลานะ
อาศัยกรุงราชคฤห์แสวงหาอมตธรรมอยู่. บรรดาปริพาชกทั้งสองนั้น สารีบุตร

เห็นพระอัสสชิเถระเข้าไปบิณฑบาต มีจิตเลื่อมใส จึงเข้าไปนั่งใกล้ ได้ฟัง
คาถาว่า เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด ดังนี้
เป็นต้น ได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล ได้กล่าวคาถานั้นนั่นแหละแม้แก่โมคคัล-
ลานะปริพาชกผู้สหายของตน. ฝ่ายโมคคัลลานะปริพาชกก็ได้ดำรงอยู่ในโสดา-
ปัตติผล. สหายแม้ทั้งสองนั้นลาสัญชัยปริพาชกแล้ว บวชในสำนักของพระ-
ศาสดาพร้อมด้วยบริวารของตน บรรดาสหายทั้งสองนั้น พระโมคคัลลานเถระ
บรรลุพระอรหัตโดย 7 วัน พระสารีบุตรเถระบรรลุพระอรหัต โดยล่วงไป
กึ่งเดือน พระศาสดาทรงตั้งพระเถระแม้ทั้งสองไว้ในตำแหน่งอัครสาวก และ
ในวันที่พระสารีบุตรเถระบรรลุพระอรหัตนั่นแล ได้ทรงกระทำสาวกสันนิบาต
ประชุมพระสาวก.
ก็เมื่อพระตถาคตประทับอยู่ในพระเวฬุวันอุทยานนั้นนั่นแล พระเจ้า-
สุทโธทนมหาราชได้ทรงสดับว่า ข่าวว่า บุตรของเราประพฤติทุกรกิริยา 6 ปี
บรรลุพระปรมาภิสัมโพธิญาณแล้ว ประกาศธรรมจักรอันบวร อาศัยเมือง
ราชคฤห์อยู่ในเวฬุวัน จึงตรัสเรียกอำมาตย์ผู้หนึ่งมาตรัสว่า มาเถิดพนาย
ท่านจงมีบุรุษพันหนึ่งเป็นบริวาร เดินทางไปกรุงราชคฤห์ กล่าวตามคำของ
เราว่า พระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระบิดาของพระองค์มีพระประสงค์จะพบ
แล้วจงพาบุตรของเรามา อำมาตย์ผู้นั้นรับพระดำรัสของพระราชาด้วยเศียร
เกล้าว่า อย่างนั้นพระพุทธเจ้าข้า เเล้วมีบุรุษหนึ่งพันเป็นบริวาร รีบเดิน
ทางไปประมาณ 60 โยชน์ นั่งอยู่ในท่ามกลางบริษัท 4 ของพระทศพล แล้ว
เข้าไปยังวิหารในเวลาแสดงธรรม อำมาตย์นั้นคิดว่า พระราชสาสน์ของพระ-
ราชาที่ส่งมาจงงดไว้ก่อน แล้วยืนอยู่ท้ายสุดบริษัท ฟังพระธรรมเทศนาของ
พระศาสดา ตามที่ยืนอยู่นั่นแล ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมกับบุรุษบริวารหนึ่ง
พัน จึงทูลขอบรรพชา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเหยียดพระหัตถ์ตรัสว่า ท่าน

ทั้งหลายจงเป็นภิกษุมาเถิด. ในขณะนั้นเอง คนทั้งหมดทรงบาตรและจีวรอัน
สำเร็จด้วยฤทธิ์ ได้เป็นประหนึ่งพระเถระมีพรรษา 60 ฉะนั้น. ก็ธรรมดา
พระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมมีตนเป็นกลาง จำเดิมแต่เวลาที่ได้บรรลุพระอรหัต
เพราะฉะนั้น จึงไม่ได้กราบทูลสาสน์ที่พระราชาทรงส่งมา พระราชาตรัส
ว่า อำมาตย์ผู้ไปแล้วก็ยังไม่มา ข่าวสาสน์ก็ไม่ได้ฟัง มาเถอะพนาย ท่าน
จงไป แล้วทรงส่งอำมาตย์อื่นไปตามท่านองนั้นนั่นแล แม้อำมาตย์นั้น ไปแล้ว
ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมทั้งบริษัท โดยนัยก่อนนั่นแหละ ก็ได้นิ่งเสีย พระ
ราชาทรงส่งอำมาตย์ 9 คน ซึ่งมีบริวารคนละหนึ่งพันไป โดยทำนองนี้นั่น
แล. อำมาตย์ทุกคนยังกิจของตนให้สำเร็จแล้ว ก็เป็นผู้นิ่งอยู่ ณ กรุงราชคฤห์
นั้นนั่นเอง. พระราชาไม่ได้อำมาตย์ผู้นำแม้มาตรว่า ข่าวสาสน์มาบอก จึง
ทรงพระดำริว่า ก็ชนมีประมาณเท่านี้ ไม่นำกลับมาแม้มาตรว่าข่าวสาสน์
เพราะไม่มีความรักในเรา ใครหนอ จักกระทำตามคำของเรา เมื่อทรงตรวจ
พลของหลวงทั้งหมด ก็ได้เห็นกาฬุทายีอำมาตย์. ได้ยินว่า กาฬุทายีนั้นเป็น
อำมาตย์ผู้จัดราชกิจทั้งปวงให้สำเร็จ เป็นคนวงใน มีความคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง
เกิดวันเดียวกันกับพระโพธิสัตว์ เป็นสหายเล่นฝุ่นมาด้วยกัน. ลำดับนั้น
พระราชาตรัสเรียกกาฬุทายีอำมาตย์นั้นมาว่า พ่ออุทายี เราปรารถนาจะเห็น
บุตรของเรา จึงส่งบุรุษไป 9 พัน แม้บุรุษสักคนหนึ่ง จะมาบอกมาตรว่า
ข่าวสาสน์ก็ไม่มี ก็อันตรายแห่งชีวิตของเรารู้ได้ยากนัก เรามีชีวิตอยู่ปรารถนา
จะเห็นบุตร ท่านจักอาจหรือหนอที่จะแสดงบุตรแก่เรา. กาฬุทายีอำมาตย์
กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระพุทธเจ้าจักอาจ ถ้าจักได้บรรพชา.
พระราชาตรัสว่า (ดูก่อนพ่อ ท่านจะได้บวชหรือไม่ได้บวชก็ตาม จงแสดง
บุตรแก่เรา กาฬุทายีอำมาตย์นั้นรับพระดำรัสแล้ว ถือพระราชสาสน์ไปยัง
กรุงราชคฤห์ ยืนอยู่ท้ายบริษัทในเวลาที่พระศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนา

ได้สดับธรรมแล้ว พร้อมทั้งบริวารก็บรรลุพระอรหัตผล ดำรงอยู่ในความ
เป็นเอหิภิกขุ.
ฝ่ายพระศาสดาได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ประทับอยู่ ในป่าอิสิปตนมฤค-
ทายวัน ตลอดภายในพรรษาแรก ออกพรรษาปวารณาแล้วเสด็จไปยังตำบล
อุรุเวลา ประทับอยู่ที่ตำบลอุรุเวลานั้น ตลอด 3 เดือน ทรงแนะนำชฏิล 3
พี่น้อง มีภิกษุพันหนึ่งเป็นบริวาร ในวันเพ็ญเดือนยี่ เสด็จไปยังกรุงราชคฤห์
ประทับอยู่ 2 เดือน. โดยลำดับกาลมีประมาณเท่านี้ เป็นเวลา 5 เดือน สำหรับ
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสด็จออกจากกรุงพาราณสี ฤดูเหมันต์ทั้งสิ้นล่วงไปแล้ว
จำเดิมแต่วันที่พระอุทายีเถระมาแล้ว เวลาได้ล่วงไป 708 วัน ในวันเพ็ญ
เดือน 4 พระอุทายีเถระนั้นคิดว่า ฤดูเหมันต์ก็ล่วงไปแล้ว ฤดูวสันต์กำลัง
ย่างเข้ามา พวกมนุษย์ถอนข้าวกล้าไปแล้ว ทำให้หนทางในที่ที่ตรงหน้า ๆ ชุ่ม
แผ่นดินดาดาษไปด้วยหญ้าเขียวสด ราวป่ามีดอกไม้บานสะพรั่ง หนทางเหมาะแก่
การที่จะเดิน กาลนี้เป็นกาลที่พระทศพลจะทรงกระทำการสงเคราะห์พระญาติ
ลำดับนั้น พระอุทายีเถระเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พรรณนาหนทาง
เสด็จเพื่อต้องการให้พระทศพลเสด็จไปยังพระนครของราชสกุล ด้วยคาถา
ประมาณ 60 คาถาว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ ต้นไม้ทั้งหลายมี
ดอกแดงสะพรั่ง มีผลเต็มต้นสลัดใบแล้ว ต้นไม้เหล่า
นั้นสว่างไสวดุจมีเปลวไฟโชติช่วงอยู่ ข้าแต่พระมหา
วีระ ถึงสมัยที่เหมาะสมแก่การที่พระองค์จะรื่นรมย์
สถานที่ไม่เย็นจัด ไม่ร้อนจัด ไม่อัตคัดและอดอยาก
นัก พื้นภูมิภาคก็มีห้าแพรกอันเขียวสด ข้าแต่พระ
มหามุนี กาลนี้เป็นกาลสมควรแล้วที่จะเสด็จไป.

ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะอุทายีเถระว่า อุทายีเพราะเหตุไรหนอ
เธอจึงพรรณนาการไปด้วยเสียงอันไพเราะ พระอุทายีเถระกราบทูลว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระชนกของพระองค์ มีพระ
ประสงค์จะพบเห็นพระองค์ ขอพระองค์จงกระทำการสงเคราะห์แก่พระญาติ
ทั้งหลายเถิด พระศาสดาตรัสว่า ดีละอุทายี เราจักกระทำการสงเคราะห์พระ
ญาติ เธอจงบอกแก่ภิกษุสงฆ์ ภิกษุทั้งหลายจักได้บำเพ็ญคมิกวัตรสำหรับผู้
จะไป พระเถระรับพระพุทธดำรัสแล้วบอกแก่ภิกษุสงฆ์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้อมล้อมด้วยภิกษุขีณาสพทั้งสิ้นสองหมื่นองค์
คือ ภิกษุผู้เป็นกุลบุตรชาวอังกะและมคธะหมื่นองค์ ภิกษุผู้เป็นกุลบุตรชาว
เมืองกบิลพัสดุ์หมื่นองค์ เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ เสด็จเดินทางวันละหนึ่ง
โยชน์. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า จักเสด็จจากกรุงราชคฤห์ถึงกรุง
กบิลพัสดุ์ทาง 60 โยชน์ โดยเวลา 2 เดือน จึงเสด็จหลีกจาริกไปโดยไม่รีบ
ด่วน ฝ่ายพระเถระคิดว่า จักกราบทูลความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกมา
แล้ว จึงเหาะขึ้นสู่เวหาสไปปรากฏในพระราชนิเวศน์ของพระราชา. พระราชา
ทอดพระเนตรเห็นพระเถระแล้วทรงมีพระทัย นิมนต์ให้นั่งบนบัลลังก์อันควร
ค่ามาก ได้ทรงนำบาตรให้เต็มด้วยโภชนะมีรสเลิศต่าง ๆ ที่เขาจัดเตรียมไว้
เพื่อพระองค์แล้วถวายไป พระเถระลุกขึ้นแสดงอาการจะไป พระราชาตรัสว่า
จงนั่งฉันเถิดพ่อ พระเถระทูลว่า มหาบพิตร อาตมภาพจักไปยังสำนักของพระ-
ศาสดาแล้วจักฉัน. พระราชาตรัสว่า พระศาสดาอยู่ที่ไหนละพ่อ พระอุทายีเถระ
ทูลว่า มหาบพิตร พระศาสดามีภิกษุ 2 หมื่นเป็นบริวาร เสด็จออกจาริกเพื่อ
จะเห็นพระองค์ พระราชาทรงดีพระทัยตรัสว่า ท่านฉันภัตตาหารนี้แล้วจงนำ
บิณฑบาตจากพระราชนิเวศนั้นไปถวายพระโอรสนั้น จนกว่าพระโอรสของเรา
จะถึงพระนครนี้. พระเถระรับแล้ว พระราชาอังคาสพระเถระแล้วอบบาตรด้วย

จุรณหอม บรรจุเต็มด้วยโภชนะอันอุดม แล้ววางไว้ที่มือของพระเถระ โดย
ตรัสว่า ท่านจงถวายพระตถาคต. พระเถระเมื่อชนชาววังทั้งปวงเห็นอยู่นั่นแล
ได้โยนบาตรขึ้นไปบนอากาศ ส่วนตนเองก็เหาะขึ้นสู่เวหาสนำบิณฑบาตไป
วาง เฉพาะที่พระหัตถ์ของพระศาสดาโดยตรง พระศาสดาเสวยบิณฑบาต
นั้น พระเถระได้นำบิณฑบาตมาทุกวัน ๆ โดยอุบายนี้. แม้พระศาสดาก็เสวย
บิณฑบาตเฉพาะของพระราชาเท่านั้น ในระหว่างเดินทาง ในเวลาเสด็จภัตกิจ
ทุก ๆ วัน แม้พระเถระก็กล่าวว่า วันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาสิ้นระยะ
ทางมีประมาณเท่านี้ วันนี้เสด็จมาสิ้นระยะทางมีประมาณเท่านี้ ได้กระทำราช
สกุลทั้งสิ้นให้มีความเลื่อมใสเกิดขึ้นในพระศาสดา โดยเว้นการได้เห็นพระ
ศาสดาด้วยธรรมีกถาอันสัมปยุตด้วยพุทธคุณ. ด้วยเหตุนั้นแหละ พระศาสดา
จึงสถาปนาพระอุทายีเถระนั้นไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พระกาฬุทายีนั้นเป็นเลิศกว่าพระสาวกทั้งหลายของเราผู้ยังตระกูลไห้เลื่อมใส.
ฝ่ายเจ้าศากยะทั้งหลาย เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จถึงโดยลำดับแล้ว
ได้ปรึกษากันว่า พวกเราจักเห็นพระญาติผู้ประเสริฐของพวกเรา จึงประชุม
กันพิจารณาสถานที่เป็นที่ประทับ อยู่ของพระผู้มีพระภาคเจ้า กำหนดกันว่า
อารามของเจ้านิโครธศากยะน่ารื่นรมย์ จึงให้กระทำวิธีการซ่อมแซมทุกอย่าง
ในอารามนั้น ถือของหอมและดอกไม้ เมื่อจะกระทำการต้อนรับ จึงส่งเด็ก
ชายและเด็กหญิงชาวบ้านหนุ่มสาว ซึ่งประดับด้วยเครื่องประดับทุกอย่างไป
ก่อน จากนั้นจึงส่งราชกุมารและราชกุมารีไป ตนเองบูชาด้วยของหอม ดอกไม้
และจุรณเป็นต้นอยู่ในระหว่างราชกุมารและราชกุมารีเหล่านั้น ได้พาพระผู้มี-
พระภาคเจ้าไปยังนิโครธารามนั้นเอง ในนิโครธารามนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
แวดล้อมด้วยพระขีณาสพ 2 หมื่น ประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์ที่เขาปูลาด
ไว้แล้ว. ธรรมดาเจ้าศากยะทั้งหลายผู้มีพระชาติมานะถือตัวจัด เจ้าศากยะ

เหล่านั้นทรงพระดำริว่า สิทธัตถกุมารเป็นเด็กกว่าเราทั้งหลาย เป็นพระกนิษฐา
เป็นพระภาคิไนย เป็นพระโอรส เป็นพระนัดดา ของเราทั้งหลาย จึงตรัส
กะราชะกุมารทั้งหลายที่หนุ่ม ๆ ว่า ท่านทั้งหลายจงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า
พวกเราจักนั่งข้างหลังท่านทั้งหลาย.
เมื่อศากยะเหล่านั้นไม่ถวายบังคมประทับนั่งแล้วอย่างนี้ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงตรวจดูอัธยาศัยของเจ้าศากยะเหล่านั้น แล้วทรงพระดำริว่า พระ
ญาติทั้งหลายไม่ไหว้เรา เอาเถอะ เราจักให้พระญาติเหล่านั้นไหว้ จึงทรง
เข้าจตุตถฌานมีอภิญญาเป็นบาท ออกจากฌานแล้วเหาะขึ้นสู่เวหาส ปาน
ประหนึ่งโปรยธุลีพระบาทลงบนพระเศียร ของเจ้าศากยะเหล่านั้น ได้ทรงกระทำ
ปาฏิหาริย์เช่นเดียวกับยมกปาฏิหาริย์ที่ควงต้นฑามพพฤกษ์ พระราชาทรงเห็น
ความอัศจรรย์นั้นจึงตรัสว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในวันที่พระองค์ประสูติ
หม่อมฉันแม้ได้เห็นพระบาทของพระองค์ ซึ่งหม่อมฉันนำเข้าไปให้ไหว้กาล-
เทวลดาบสกลับไปประดิษฐานบนกระหม่อมของพราหมณ์ ก็ได้ไหว้พระองค์
นี้เป็นการไหว้ครั้งแรกของหม่อมฉัน ในวันวัปปมงคลแรกนาขวัญ. ก็ได้เห็น
ความเปลี่ยนแปลงของร่มเงาไม้หว้าของพระองค์ ผู้บรรทมอยู่บนที่บรรทมอัน
ประกอบด้วยสิริใต้ร่มเงาไม้หว้า ก็ได้ไหว้พระบาท นี้เป็นการไหว้ครั้งที่สอง
บัดนี้ แม้ได้เห็นปาฏิหาริย์นี้ ซึ่งไม่เคยเห็น จึงไหว้พระบาทของพระองค์
นี้เป็นการไหว้ครั้งที่สามของหม่อมฉัน. ก็เมื่อพระราชาถวายบังคมแล้ว แม้
เจ้าศากยะพระองค์หนึ่งชื่อว่าผู้สามารถเพื่อจะไม่ถวายบังคม พระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วดำรงอยู่ ไม่ได้มี เจ้าศากยะทั้งปวงพากันถวายบังคมทั้งหมด พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงให้พระญาติทั้งหลายถวายบังคมด้วยประการดังนี้แล้ว จึงเสด็จ
ลงจากอากาศ ประทับนั่งบนพระอาสน์ที่ลาดไว้ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ

นั่งแล้ว สมาคมพระญาติอันถึงสุดยอดจึงได้มีขึ้น. เจ้าศากยะทั้งปวงเป็นผู้มี
พระทัยแน่วแน่ประทับนั่งแล้ว. ลำดับนั้น มหาเมฆได้ยังฝนโบกขรพรรษให้
ตกลงมา น้ำสีแดงมีเสียงไหลไปข้างล่าง และผู้ประสงค์จะให้เปียกจึงจะเปียก
ฝนโบกขรพรรษ แม้มาตรว่าหยาดเดียวก็ไม่ตกลงบนร่างกายของผู้ที่ไม่ประสงค์
จะให้เบียก. เจ้าศากยะทั้งปวงเห็นดังนั้น เกิดอัศจรรย์ไม่เคยเป็น จึงส่งสนทนา
กันว่า โอ ! น่าอัศจรรย์ โอ ! ไม่เคยมี พระศาสดาตรัสว่า ฝนโบกขรพรรษ
ตกลงในสมาคมแห่งพระญาติของเรา ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในอดีตก็ได้
ตกแล้ว จึงตรัสเวสสันดรชาดก เพราะเหตุเกิดเรื่องนี้. เจ้าศากยะทั้งปวงสดับ
พระธรรมเทศนาแล้ว เสด็จลุกขึ้นถวายบังคมแล้วหลีกไป. พระราชาหรือ
มหาอำมาตย์ของพระราชาแม้พระองค์เดียว ชื่อว่ากราบทูลว่า ขอพระองค์จง
รับภิกษาของข้าพระองค์ทั้งหลายในวันพรุ่งนี้ ดังนี้แล้วจึงเสด็จไป มิได้มีเลย.
วันรุ่งขึ้นพระศาสดาทรงแวดล้อมด้วยภิกษุสองหมื่นองค์ เสด็จเข้าไป
บิณฑบาตยังกรุงกบิลพัสด์. ไม่มีใคร ๆ จะไปนิมนต์หรือรับบาตร พระผู้มี
พระภาคเจ้าประทับยืนที่เสาเขื่อน ทรงพระรำพึงว่า พระพุทธเจ้าในปางก่อน
ทั้งหลายเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในพระนครของตระกูลอย่างไรหนอ ได้เสด็จไป
ยังเรือนของอิสรชนโดยข้ามลำดับ หรือเสด็จเที่ยวจาริกไปตามลำดับตรอก
แต่นั้นไม่ได้ทรงเห็นแม้พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเสด็จไปโดยข้ามลำดับ แล้ว
ทรงพระดำริว่า นี้เท่านั้นเป็นวงศ์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น นี้เป็นประเพณี
ของเรา แม้เราก็ควรจะยกไว้ในบัดนี้ และสาวกทั้งหลายของเราสำเหนียกตาม
เราอยู่นั่นแล จักบำเพ็ญบิณฑบาตจาริกวัตรต่อไป จึงเสด็จเที่ยวบิณฑบาตไป
ตามลำดับตรอก ตั้งแต่เรือนที่ตั้งอยู่ในที่สุดไป มหาชนเล่าลือกันว่า ได้ยินว่า
สิทธัตถกุมารผู้เป็นเจ้าเที่ยวไปเพื่อก้อนข้าว จึงเปิดหน้าต่างบนปราสาทชั้นที่ 2
และชั้นที่ 3 เป็นต้น ได้เป็นผู้ขวนขวายเพื่อจะดู.

ฝ่ายพระเทวีมารดาพระราหุล ทรงพระดำริว่า นัยว่าพระลูกเจ้าเสด็จ
เที่ยวไปด้วยวอทองเป็นต้น โดยราชานุภาพยิ่งใหญ่ในพระนครนี้แหละ บัดนี้
ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ถือกระเบื้องเที่ยวไปเพื่อก้อนข้าว จะ
งามหรือหนอ จึงทรงเปิดสีหสัญชรทอดพระเนตรตรวจดูอยู่ ได้เห็นพระผู้มี
พระภาคเจ้า ทรงยังถนนในพระนครให้สว่างไสวด้วยพระรัศมีแห่งพระสรีระอัน
รุ่งเรื่องด้วยความรุ่งเรื่องต่าง ๆ ไพโรจน์ด้วยพุทธสิริอันหาอุปมามิได้ ประดับ
ด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ สว่างด้วยพระอนุพยัญชนะ 80 ซึ่งตาม
ประชิดล้อมรอบด้วยพระรัศมีด้านละวา จึงทรงชมเชยตั้งแต่พระอุณหิสจนถึง
พื้นพระบาท ด้วยคาถาชื่อว่านรสีหะ 8 ประการ มีอาทิอย่างนี้ว่า
พระผู้นรสีหะมีพระเกสาเป็นลอนอ่อนดำสนิท
มีพื้นพระนลาตปราศจากมลทินดุจพระอาทิตย์ มีพระ-
นาสิกโค้งอ่อนยาวพอเหมาะ ซ่านไปด้วยพระข่ายแห่ง
พระรัศมี
ดังนี้.
แล้วจึงกราบทูลแด่พระราชาว่า พระโอรสของพระองค์เสด็จเที่ยวไปเพื่อก้อน
ข้าว. พระราชาทรงสลดพระทัย ทรงจัดผ้าสาฎกให้เข้าที่ด้วยพระหัตถ์
รีบด่วนเสด็จออกไปโดยเร็ว ประทับยืนเบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วตรัสว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุไร พระองค์จึงทรงกระทำ
หม่อมฉันให้ได้อาย เพื่ออะไร จึงเสด็จเที่ยวไปเพื่อก้อนข้าว ทำไมพระองค์จึง
กระทำความสำคัญว่า ภิกษุทั้งหลายมีประมาณเท่านี้ไม่อาจได้ภัตตาหาร. พระ
ศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร อันนี้เป็นวงศ์ เป็นจารีตของอาตมภาพ. พระราชา
ตรัสว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันทั้งหลายมีวงศ์เป็นกษัตริย์มหาสมมติ.
ราชมิใช่หรือ ก็ในวงศ์กษัตริย์มหาสมมตราชนั้น แม้กษัตริย์พระองค์หนึ่งชื่อว่า

เที่ยวไปเพื่อภิกขาจาร ย่อมไม่มี. พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร ชื่อว่าวงศ์นี้
เป็นวงศ์ของพระองค์. แต่ชื่อว่าพุทธวงศ์นี้ คือ พระทีปังกร พระโกณฑัญญะ
พระกัสสปะ เป็นวงศ์ของอาตมภาพ และพระพุทธเจ้าอื่น ๆ นับได้หลายพัน
ได้สำเร็จการเลี้ยงชีพด้วยการภิกขาจารเท่านั้น ประทับยืนในระหว่างถนน
นั้นแล ตรัสพระคาถานี้ว่า
บุคคลไม่ควรประมาทในก้อนข้าว อันบุคคลพึง
ลุกขึ้นยืนรับ พึงประพฤติธรรมให้สุจริต บุคคลผู้
ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้ และในโลก
หน้า.

ในเวลาจบคาถา พระราชาดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล, และได้สดับคาถานี้ว่า
บุคคลพึงประพฤติธรรมให้สุจริต ไม่พึงประพฤติ
ธรรมนั้นให้ทุจริต ผู้ประพฤติธรรมเป็นปรกติย่อมอยู่
เป็นสุขทั้ง ในโลกนี้และในโลกหน้า
ดังนี้.
ได้ดำรงอยู่ในสกทาคามิผล, ได้ทรงสดับธรรมปาลชาดก ได้ดำรงอยู่ในอนาคา-
มิผล, ในสมัยใกล้จะสวรรคต ทรงบรรทมบนพระที่บรรทมอันประกอบด้วย
สิริภายใต้เศวตฉัตร ได้บรรลุพระอรหัต. กิจในการตามประกอบความเพียร
โดยการอยู่ป่า ไม่ได้มีแก่พระราชา. ก็ครั้นทรงกระทำให้แจ้งเฉพาะโสดา-
ปัตติผลเท่านั้น ทรงรับบาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนิมนต์พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าพร้อมทั้งบริษัทให้เสด็จขึ้นสู่มหาปราสาท ทรงอังคาสด้วยขาทนียโภชนี-
ยาหารอันประณีต. ในเวลาเสร็จภัตกิจ นางสนมทั้งปวงยกเว้น พระมารดา
พระราหุลพากันมาถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า. ก็พระมารดาของพระราหุล
นั้น แม้ชนผู้เป็นบริวารจะกล่าวว่า พระองค์จงเสด็จไปถวายบังคมพระลูกเจ้า

เถิด ก็ตรัสว่า ถ้าคุณของเรามีอยู่ไซร้ พระลูกเจ้าจักเสด็จมายังสำนักของเรา
ด้วยพระองค์เองที่เดียว เราจักถวายบังคมพระลูกเจ้านั้นผู้เสด็จมาเท่านั้น ครั้น
ตรัสดังนี้แล้ว ก็มิได้เสด็จไป. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้พระราชาถือบาตร
แล้วเสด็จไปยังห้องอันมีสิริของพระราชธิดา พร้อมกับพระอัครสาวกทั้งสอง
แล้วตรัสว่า พระราชธิดาเมื่อถวายบังคมตามชอบใจ ไม่พึงกล่าวคำอะไร ๆ
แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ เขาปูลาดไว้. พระราชธิดาเสด็จมาโดยเร็วจับข้อ
พระบาททั้งสอง เกลือกพระเศียรบนหลังพระบาท ถวายบังคมตามพระอัธยาศัย
พระราชาตรัสคุณสมบัติมีความรักและความนับถือมากในพระผู้มีพระภาคเจ้า
ของพระราชธิดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธิดาของหม่อมฉันได้ฟังข่าวว่า
พระองค์ทรงนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ตั้งแต่นั้นก็ทรงผ้ากาสาวะบ้าง ได้สดับว่า
พระองค์มีภัตหนเดียว ก็มีภัตหนเดียวบ้าง ทรงสดับว่าพระองค์ทรงละที่นั่ง
ที่นอนใหญ่ ก็ทรงบรรทมเฉพาะบนเตียงน้อยอันขึงด้วยแผ่นผ้า ทรงทราบว่า
พระองค์ทรงละเว้นจากของหอมมีดอกไม้เป็นต้น ก็ทรงงดเว้นดอกไม้และของ
หอมบ้าง เมื่อพระญาติทรงส่งข่าวมาว่า เราทั้งหลายจักปฏิบัติในญาติทั้งหลาย
ของตน ก็ไม่ทรงเหลียวแลแม้พระญาติสักองค์เดียว ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระธิดาของหม่อมฉันเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติอย่างนี้. พระศาสดาตรัสว่า
มหาบพิตร ข้อที่พระราชธิดาอันพระองค์รักษาคุ้มครองอยู่ในบัดนี้ พึงรักษา
คุ้มครองตนในเมื่อญาณแก่กล้าแล้วนั้น ไม่น่าอัศจรรย์ เมื่อก่อนราชธิดานี้
ไม่มีการอารักขา ท่องเที่ยวอยู่ที่เชิงเขาก็รักษาคนอยู่ได้ในเมื่อญาณยังไม่แก่กล้า
ดังนี้ แล้วทรงบรรเทาความเศร้าโศกของพระราชธิดานั้น ตรัสจันทกินรีชาดก
ทรงให้โสดาปัตติผล แล้วลุกจากอาสนะเสด็จหลีกไป. ในวันที่สอง เมื่อวิวาห-
มงคลเนื่องในการเสด็จเข้าพระตำหนักอภิเษกของนันทราชกุมาร ดำเนินไปอยู่

พระศาสดาเสด็จไปยังตำหนักของนันทราชกุมารนั้น ทรงให้พระกุมารถือบาตร
มีพระประสงค์จะให้บวช จึงตรัสมงคลกถาแล้วเสด็จลุกขึ้นจากอาสนะเสด็จหลีก
ไป นางชนบทกัลยาณีเห็นพระกุมารกำลังเสด็จไป จึงทูลว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า
พระองค์ควรเสด็จกลับมาโดยด่วน แล้วทรงชะเง้อพระศอแลดู ฝ่ายพระกุมาร
นั้น ไม่อาจทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ขอพระองค์ทรงรับเอาบาตรไป ได้เสด็จ
ไปยังวิหารนั่นแล. นันทกุมารนั้นไม่ปรารถนาเลย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้
บรรพชาแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปกบิลพัสดุ์บุรีทรงให้นันทกุมารบวช
ด้วยประการฉะนี้.
ในวันที่ 7 พระมารดาพระราหุลประดับพระกุมารแล้วส่งไปเฝ้าพระผู้
มีพระภาคเจ้าด้วยพระดำรัสว่า ลูกเอย เจ้าจงดูพระสมณะซึ่งมีรูปดังพรหม มี
วรรณะดังทองคำแวดล้อมด้วยสมณะ 2 หมื่นองค์อย่างนั้น พระสมณะนี้เป็น
พระบิดาของเจ้า พระสมณะนั้น ได้มีขุมทรัพย์ใหญ่ จำเดิมแต่พระสมณะนั้น
ออกบวชแล้ว แม่ไม่เห็นขุมทรัพย์เหล่านั้นเจ้าจงไปขอมรดกกะพระสมณะนั้น
ว่า ข้าแต่พระบิดาข้าพระองค์เป็นกุมาร ได้รับอภิเษกแล้วจักเป็นพระเจ้าจักร-
พรรดิ ข้าพระองค์ต้องการทรัพย์ ขอพระองค์จงประทานทรัพย์แก่ข้าพระองค์
เพราะบุตรย่อมเป็นเจ้าของสิ่งของอันเป็นของบิดา. พระกุมารเสด็จไปยังสำนักของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทีเดียว กลับได้ความรักต่อพระบิดามีจิตใจร่าเริงนักกราบทูล
ว่า ข้าแต่พระสมณะ ร่มเงาของพระองค์เป็นสุขแล้วได้ยืนตรัสถ้อยคำอย่างอื่น
อันสมควรแก่พระองค์เป็นอันมาก. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงการทำภัตกิจแล้ว
ทรงกระทำอนุโมทนา แล้วเสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป. ฝ่ายพระกุมารเสด็จติด
ตามพระผู้มีพระภาคเจ้าไปโดยตรัสว่า ข้าแต่พระสมณะ ขอพระองค์จงประทาน
มรดกแก่ข้าพระองค์ ข้าแต่พระสมณะ ขอพระองค์จงประทานมรดกแก่ข้าพระ-
องค์. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไม่ให้พระกุมารกลับ. บริวารชนไม่ได้อาจเพื่อ

จะยังพระกุมารผู้เสด็จไปพร้อมกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้กลับ. พระกุมารนั้น
ได้เสด็จไปยังพระอารามพร้อมกับพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยประการดังนี้. พระผู้
มีพระภาคเจ้าเสด็จดำเนินไป ทรงพระดำริว่า กุมารนี้ปรารถนาทรัพย์อันเป็น
ของบิดาซึ่งเป็นไปตามวัฏฏะมีความคับแค้น เอาเถอะ เราจะให้อริยทรัพย์ 7
ประการซึ่งเราได้เฉพาะที่โพธิมัณฑ์แก่กุมารนี้ เราจะกระทำให้เป็นเจ้าของ
ทรัพย์มรดกอันเป็นโลกุตระ. แล้วตรัสเรียกท่านพระสารีบุตรมาว่า สารีบุตร
ถ้าอย่างนั้น เธอจงให้ราหุลกุมารบวช. ก็เมื่อพระกุมารบวชแล้ว ทุกข์มี
ประมาณยิ่งเกิดขึ้นแก่พระราชา. เมื่อไม่ทรงสามารถจะอดกลั้นความทุกข์นั้น
จึงทูลให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ. แล้วทรงขอพรว่า ข้าแต่พระองค์.
ผู้เจริญ ดังหม่อมฉันจะขอโอกาส พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ไม่พึงบวชบุตรที่
บิดามารดายังไม่อนุญาต. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับพระดำรัสนั้นของพระราชา
นั้น ในวันรุ่งขึ้น เสวยพระกระยาหารเข้าในพระราชนิเวศน์ เมื่อพระราชา
ผู้ประทับนั่งอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่งตรัสว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในคราวที่
พระองค์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา เทวดาองค์หนึ่งเข้าไปหาหม่อมฉันกล่าวว่า
พระโอรสของพระองค์ทรงทำกาละแล้ว หม่อมฉันไม่เชื่อคำของเทวดานั้น ห้าม
เทวดานั้นว่า บุตรของเรายังไม่บรรลุพระโพธิญาณจะยังไม่ทำกาละ จึงตรัสว่า
บัดนี้ พระองค์จักทรงเชื่อได้อย่างไร แม้ในกาลก่อนเมื่อคนเอากระดูกแสดง
แล้วกล่าวว่า บุตรของท่านตายแล้ว พระองค์ก็ยังไม่เชื่อ แล้วตรัสมหาธรรม-
ปาลชาดก เพราะเหตุเกิดเรื่องนี้ขึ้น. ในเวลาจบพระคาถา พระราชาทรงดำรง
อยู่ในพระอนาคามิผล. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้พระบิดาดำรงอยู่ในผลทั้ง 3
ด้วยประการดังนี้แล้ว อันภิกษุสงฆ์แวดล้อมแล้ว เสด็จไปกรุงราชคฤห์อีก
ทรงประทับอยู่ที่ป่าสีตวัน.
สมัยนั้น ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี เอาเกวียน 500 เล่มบรรทุก
สินค้าไปยังเรือนของเศรษฐีผู้เป็นสหายที่รักของตนในกรุงราชคฤห์ ได้สดับว่า

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในกรุงราชคฤห์นั้น ในเวลาใกล้รุ่งได้
เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทางประตูที่เปิดด้วยอานุภาพของเทวดา ฟังธรรมแล้ว
ได้ดำรงอยู่ในพระโสดาปัตตผล ในวันที่สอง ได้ถวายมหาทานแก่พระสงฆ์มี
พระพุทธ. เจ้าเป็นประธานได้ขอให้พระศาสดาทรงรับปฏิญญาที่จะเสด็จมาเมือง
สาวัตถี ในระหว่างทางได้ให้ทรัพย์แสนหนึ่งสร้างวิหาร (ระยะทางห่างกัน)โยชน์
หนึ่ง แล้วซื้อสวนของเจ้าเชตด้วยเงิน 18 โกฏิ โดยการปูลาดกหาปณะจำนวน
โกฏิ (เต็มเนื้อที่) แล้วทำการก่อสร้างเสร็จ (คือ) ให้สร้างพระคันธกุฏีเพื่อพระ
ทศพลตรงกลาง แล้วให้สร้างวิหารอันน่ารื่นรมย์ใจรายล้อมพระคันธกุฏีนั้น
ในภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ ด้วยการบริจาคเงิน 18 โกฏิ คือ ให้สร้างเสนาสนะ
เช่นกุฏิหลังเดียว กุฏิสองหลัง กุฏิทรงหงส์เวียน ศาลาราย และปะรำเป็น
ต้นและสระโบกขรณี ที่จงกรม ที่พักกลางคืน และที่พักกลางวัน โดยเป็น
อาวาสสำหรับอยู่อาศัยเฉพาะผู้เดียว ตามลำดับ ๆ เพื่อพระเถระผู้ใหญ่ 80
องค์ แล้วส่งทูตไปเพื่อต้องการให้พระทศพลเสด็จมา. พระศาสดาได้ทรงสดับ
คำของทูตแล้ว มีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวาร. เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์
เสด็จถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับ. ฝ่ายมหาเศรษฐีแลเตรียมการฉลองพระวิหาร
ในวันที่พระตถาคตเสด็จเข้าพระเชตวันวิหาร ได้ตกแต่งประดับประดาบุตรด้วย
อลังการเครื่องประดับทั้งปวง แล้วส่งไปพร้อมกับกุมาร 500 คนผู้ตกแต่ง
ประดับประดาแล้ว. บุตรเศรษฐีนั้นพร้อมทั้งบริวาร ถือธง 500 คันอัน
เรื่องรองด้วยผ้าห้าสี ได้อยู่ข้างเบื้องพระพักตร์ของพระทศพล. ข้างหลังของ
กุมารเหล่านั้น มีธิดาเศรษฐี 2 นาง คือ สุภัททา และจุลลสุภัททา พร้อม
กับกุมารี 500 นาง ถือหม้อเต็มด้วยน้ำเดินออกไป. ข้างหลังของกุมารีเหล่านั้น
ภรรยาของท่านเศรษฐีประดับ ด้วยอลังการทั้งปวง พร้อมกับมาตุคาม 500 นาง
ถือถาดเต็ม (ด้วยอาหาร) ออกไปเบื้องหลังของตนทั้งหมด ท่านมหาเศรษฐี

เองนุ่งผ้าใหม่ พร้อมกับเศรษฐี 500 คนผู้นุ่งผ้าใหม่ มุ่งไปเฉพาะพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำอุบาสกบริษัทนี้ไว้ข้างหน้า เเวดล้อม
ด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ทรงกระทำระหว่างป่าให้เป็นดุจสีแดงเรื่อ ๆ อันราดรด
ด้วยรสน้ำทอง ด้วยพระรัศมีแห่งพระสรีระของพระองค์ เสด็จเข้าสู่พระเชตวัน
วิหารด้วยพุทธลีลาอันต่อเนื่องกัน และด้วยพุทธสิริอันหาที่เปรียบมิได้. ลำดับ
นั้น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ข้าพระองค์จะปฏิบัติในพระวิหารนี้อย่างไร ? พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ว่า ดูก่อนคฤหบดี ถ้าอย่างนั้นท่านจงถวายแก่ภิกษุสงฆ์ผู้ที่มาแล้ว ๆ ยังวิหาร
นี้เถิด ท่านมหาเศรษฐีรับพระพุทธฎีกาแล้วถือเต้าน้ำทองหลั่งน้ำลงบนพระหัตถ์
ของพระทศพล แล้วกล่าวถวายด้วยคำว่า ข้าพระองค์ขอถวายพระเชตวันวิหาร
นี้แก่สงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานซึ่งมาแล้วทั้ง 5 ทิศ. พระศาสดาทรงรับ
วิหารแล้ว เมื่อจะทรงกระทำอนุโมทนาได้ตรัสอานิสงส์ของการถวายวิหารว่า
เสนาสนะย่อมป้องกันเย็นและร้อนและแต่นั้น
ย่อมป้องกันเนื้อร้าย งู ยุง น้ำค้างและฝน แต่นั้น
ลมและแดดอันกล้าเกิดขึ้นแล้ว ย่อมบรรเทาไป
การถวายวิหารแก่สงฆ์ เพื่อเร้นอยู่ เพื่อความสุข
เพื่อเพ่งพิจารณา และเพื่อเห็นแจ้ง พระพุทธเจ้าทั้ง
หลายสรรเสริญว่าเป็นทานอันเลิศ. เพราะเหตุนั้นแล
บุรุษบัณฑิตเมื่อเล็งเห็นประโยชน์ตนพึงสร้างวิหารอัน
รื่นรมย์ ให้ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพหูสูตอยู่เลิศ. อนึ่ง
พึงถวายข้าว น้ำ ผ้า และเสนาสนะ แก่ท่านเหล่านั้น
ด้วยน้ำใจอันเลื่อมใส ในท่านผู้ซื่อตรง เขารู้ธรรมอัน

ใดในโลกนี้แล้ว จะเป็นผู้ไม่มีอาสวะปรินิพพาน ท่าน
ย่อมแสดงธรรมนั้น อันเป็นเครื่องบรรเทาทุกข์ทั้งปวง
แก่เขา.

จำเดิมแต่วันที่สองไป ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเริ่มการฉลองวิหาร. การฉลอง
วิหารของนางวิสาขา 4 เดือนเสร็จ แต่การฉลองวิหารของท่านอนาถบิณฑิก-
เศรษฐี 9 เดือนจึงเสร็จ. หมดทรัพย์ไป 8 โกฏิทีเดียว ท่านอนาถบิณฑิก-
เศรษฐีบริจาคทรัพย์นับได้ 54 โกฏิ เฉพาะวิหารหลังเดียวเท่านั้น ด้วย
ประการฉะนี้.
ก็ในอดีตกาล ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าวิปัสสี เศรษฐีนามว่า
ปุนัพพสุมิตต์ ซื้อที่โดยการปูลาดอิฐทองคำ แล้วให้สร้างสังฆารามประมาณ
หนึ่งโยชน์ ลงในที่นั้นนั่นแหละ ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าสิขี เศรษฐี
นามว่า สิริวัฑฒะ ซื้อที่โดยการปูลาดข่ายทองคำ แล้วให้สร้างสังฆาราม
ประมาณ 3 คาวุตลงในที่นั้นนั่นแหละ. ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าเวสสภู
เศรษฐีนามว่า โสตถิยะซื้อที่โดยการปูลาดรอยเท้าช้างทองคำ แล้วให้สร้าง
สังฆารามประมาณกึ่งโยชน์ลงในที่นั้นนั่นแหละ ในสมัยแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า
กกุสันธะ เศรษฐีนามว่า อัจจุตะ ซื้อที่โดยการปูลาดอิฐทองคำเหมือนกันแล้ว
ให้สร้างสังฆารามประมาณหนึ่งคาวุต ลงในที่นั้นนั่นแหละ. ในสมัยแห่งพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าโกนาคมนะ เศรษฐีนามว่า อุคคะ ซื้อที่โดยการปูลาดเต่าทอง
คำ แล้วให้สร้างสังฆารามประมาณกึ่งคาวุต ลงในที่นั้นนั่นแหละ ในสมัยแห่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะ เศรษฐีนามว่า สุมังคละ ซื้อที่โดยการปูลาดเต่าทอง
คำ แล้วให้สร้างสังฆารามประมาณ 16 กรีส ลงในทีนั้นนั่นแหละ แต่ในสมัย
แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย เศรษฐีนามว่า อนาถบิณฑิกะ ซื้อที่

โดยการปูลาดกหาปณะจำนวนโกฏิ แล้วให้สร้างสังฆารามประมาณ 8 กรีส ลง
ในพื้นที่นั้นนั่นแหละ. ได้ยินว่า ที่นั้นเป็นสถานที่อันพระพุทธเจ้าทั้งปวงมิได้
ทรงละเลยแล้ว.
ตั้งแต่ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณที่มหาโพธิมัณฑ์ จนกระทั่งถึง
เตียงเป็นที่เสด็จมหาปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในสถานที่ใด
สถานที่นี้ ชื่อว่า สันติเกนิทาน ด้วยประการฉะนี้ ข้าพเจ้าจักพรรณนาชาดก
ทั้งปวง ด้วยอำนาจสันติเกนิทานนั้นแล.
จบนิทานกถาด้วยประการฉะนี้

อรรถกถาชาดก


เอกนิบาต


ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



1. อรรถกถาอปัณณวรรค



1. อปัณณกชาดก



พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อเสด็จเข้าไปอาศัยพระนครสาวัตถี ประทับอยู่
ในพระเชตวันมหาวิหาร ตรัสอปัณณธรรมเทศนานี้ก่อน. ถามว่า ก็เรื่อง
นี้เกิดขึ้นเพราะปรารภใคร ? ตอบว่า เพราะปรารภสาวกของเดียรถีย์สหาย
ของท่านเศรษฐี.
ความพิศดารมีว่า วันหนึ่ง ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ชักพาพวก
สาวกของอัญญเดียรถีย์ 500 คน ผู้เป็นสหายของตน ให้ถือระเบียบดอกไม้
ของหอม เครื่องลูบไล้เป็นอันมาก และน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย และผ้าเครื่อง
ปกปิด ไปยังพระเชตวัน ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า บูชาด้วยของหอม
และดอกไม้เป็นต้น สละเภสัชและผ้าถวายแก่ภิกษุสงฆ์ แล้วนั่ง ณ ส่วนสุด
ข้างหนึ่ง โดยเว้นโทษของการนั่ง 6 ประการ สาวกของอัญญเดียรถีย์แม้เหล่า
นั้น ถวายบังคมพระตถาคตแล้ว แลดูพระพักตร์ของพระศาสดา อันงามสง่า
ดุจพระจันทร์ในวันเพ็ญ แลดูพระวรกายดุจกายพรหมอันประดับด้วยพระ
ลักษณะและพระอันพยัญชนะ แวดวงด้วยพระรัศมีด้านละวา แลดูพระพุทธ
รังสีอันหนาแน่นซึ่งเปล่งออกเป็นวง ๆ (ดุจพวงอุบะ) เป็นคู่ ๆ จึงนั่งใกล้ ๆ