เมนู

เถรีคาถา จัตตาฬิสนิบาต


อิสิทาสีเถรีคาถา


[473] พระสังคีติกาจารย์ ตั้งคาถานำเรื่องไว้ 3 คาถาว่า
ในกรุงปาฏลีบุตร ที่มีนามว่า นครแห่งดอกไม้
เป็นแผ่นดินที่ผ่องใส [บริสุทธิ์] มีพระภิกษุณี 2 รูป
ผู้มีคุณสมบัติเป็นตระกูลแห่งศากยราช.
ใน 2 รูปนั้น รูปหนึ่งชื่อว่า อิสิทาสี รูปที่ 2
ชื่อว่า โพธิ ล้วนสมบูรณ์ด้วยศีล ยินดีในการเพ่งฌาน
เป็นพหูสูต กำจัดกิเลสแล้ว ทั้งสองรูปนั้น เที่ยว
บิณฑบาต ฉันและล้างบาตรแล้วก็นั่งอย่างสบายในที่
ปลอดคน ต่างถามตอบด้วยถ้อยคำเปล่านี้.
พระโพธิเถรีถามว่า แม่เจ้าอิสิทาสี แม่เจ้ายัง
ผ่องใส วัยของแม่เจ้าก็ยังไม่เสื่อมโทรม แม่เจ้าเห็น
โทษอะไร จึงมาขวนขวายเนกขัมมะการบวชเล่า.
พระอิสิทาสีเถรีนั้น ถูกพระโพธิเถรีถามอย่างนี้
ในที่ปลอดผู้คน ท่านเป็นผู้ฉลาดในการแสดงธรรม
จึงตอบว่า แม่เจ้าโพธิ โปรดฟังเรื่องตามที่ข้าพเจ้า
บวช (ต่อไป)

ในกรุงอุชเชนี ราชธานีแห่งแคว้นอวันตี บิดา
ของข้าพเจ้าเป็นเศรษฐี ผู้มีศีล ข้าพเจ้าเป็นธิดาคน
เดียวของท่าน จึงเป็นที่รักที่โปรดปรานและเอ็นดู.
ครั้งนั้น พวกคนสนิทที่มีตระกูลสูง มาจากเมือง
สาเกตบอกว่า เศรษฐีมีทรัพย์มากขอข้าพเจ้า บิดาจึง
ให้ข้าพเจ้าเป็นสะใภ้ของเศรษฐีนั้น.
ข้าพเจ้าต้องเข้าไปทำความนอนน้อม ด้วยเศียร
เกล้า ไหว้เท้าเช้าเย็น ต่อแม่ผัวและพ่อผัวตามวิธีที่
ถูกสั่งสอนไว้.
ข้าพเจ้าเห็นพี่น้องคนใกล้เคียง แม้แต่คนสนิท
เพียงคนเดียวของสามีข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็หวาดกลัว
ต้องให้ที่นั่งเขา.
ข้าพเจ้าต้องรับรองเขาด้วยข้าวน่าของเคี้ยว แก่ผู้
ที่เข้าไปนั้น นำเข้าไปและให้ของที่สมควรแก่เขา.
ข้าพเจ้าบำรุงตามเวลา เข้าเรือนไปที่ประตูต้อง
ล้างมือเท้า ประนมมือเข้าไปหาสามี.
ข้าพเจ้าต้องถือหวี เครื่องลูบไล้ ยาหยอดตา
และกระจกแต่งตัวให้สามีเองทีเดียวเหมือนหญิงรับใช้.
ข้าพเจ้าหุงข้าวต้มแกงเอง ล้างภาชนะเอง ปรน-
นิบัติสามีเสมือนมารดาปรนนิบัติบุตรคนเดียวฉะนั้น.
ข้าพเจ้าจงรักภักดี ทำหน้าที่ครบถ้วน เลิกมานะ
ถือตัว ขยันไม่เกียจคร้าน มีศีลอย่างนี้ สามีก็ยังเกลียด.

สามีนั้นบอกบิดามารดาว่า ฉันลาไปละ ฉันไม่
ขออยู่ร่วมกับอิสิทาสี ทั้งจะไม่ยอมอยู่ร่วมเรือนหลัง
เดียวกันด้วย.
บิดามารดาเขากล่าวว่า อย่าพูดเช่นนี้สิลูก อิสิ-
ทาสีเป็นคนฉลาด สามารถ ขยันไม่เกียจคร้าน ทำไม
ไม่ชอบใจเล่าลูกเอ๋ย.
เขาตอบว่า อิสิทาสีไม่ได้เบียดเบียนดอกจ้ะ แต่
ฉันไม่อยากอยู่ร่วมกับอิสิทาสี ฉันเกลียด ฉันพอแล้ว
ฉันขอลาไปละ.
แม่ผัวพ่อผัวฟังคำบุตรนั้นแล้ว ได้ถามข้าพเจ้า
ว่า เจ้าทำผิดอะไรต่อเขา จึงถูกเขาทอดทิ้ง จงพูด
ไปตามจริงสิ.
ข้าพเจ้าตอบว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่
ได้เบียดเบียนเขา ทั้งไม่ได้พูดคำหยาบคาย ข้าพเจ้า
หรือจะทำสั่งที่สามีเกลียดข้าพเจ้าได้เล่า แม่เจ้า.
บิดามารดาของเขานั้น เสียใจ เป็นทุกข์ หวัง
ทะนุถนอมบุตร จึงนำข้าพเจ้าส่งกลับไปเรือนบิดา
ข้าพเจ้ากลายเป็นแม่หม้ายสาวสามีร้างไป ภายหลังบิดา
ของข้าพเจ้าได้ยกข้าพเจ้าให้กุลบุตร ผู้มั่งคั่งน้อยกว่า
สามีคนแรกครึ่งหนึ่ง ซึ่งเศรษฐีได้ข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้า
อยู่ในเรือนสามีคนที่สองนั้นได้เดือนเดียว ต่อมา เขา
ก็ขับข้าพเจ้า ผู้ปรนนิบัติดุจทาสี ผู้ไม่คิดประทุษร้าย
พรั่งพร้อมด้วยศีล.

บิดาของข้าพเจ้าจึงพูดกะบุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งฝึกคน
อื่น ๆ และฝึกตนแล้ว กำลังเที่ยวขอทานอยู่ว่า เจ้า
จงทิ้งผ้าเก่า ๆ และหม้อข้าวเสีย มาเป็นลูกเขยข้าเถิด.
แม้บุรุษผู้นั้น อยู่ได้ครึ่งเดือนก็พูดกะบิดาว่า
โปรดคืนผ้าผืนเก่า และภาชนะขอทานแก่ข้าเถิด ข้า
จะไปขอทานอีก.
ครั้งนั้น บิดามารดาและหมู่ญาติของข้าพเจ้าทุก
คนพูดกะคนขอทานว่า ท่านทำกิจอะไรไม่ได้ในที่นี้
รีบบอกมา เขาจักทำกิจนั้นแทนท่านเอง.
เขาถูกบิดามารดา และหมู่ญาติถามอย่างนี้แล้ว
จึงตอบว่า ถึงตัวข้าจะเป็นไท ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ที่ข้าจะอยู่ร่วมกับอิสิทาสี ข้าไม่ขออยู่ร่วมกับอิสิทาสี
ทั้งจะไม่ขออยู่เรือนหลังเดียวกับอิสิทาสี.
ชายขอทานนั้น ถูกบิดาปล่อยก็ไป ส่วนข้าพเจ้า
อยู่โดดเดี่ยวก็คิดว่า จำจะลาบิดามารดาไปตายหรือ
บวชเสีย.
ลำดับนั้น พระแม่เจ้าชินทัตตา ผู้ทรงวินัย เป็น
พหูสูต สมบูรณ์ด้วยศีล เที่ยวบิณฑบาต มายังตระกูล
ของบิดา.
ข้าพเจ้าเห็นท่าน จึงลุกขึ้นไปจัดอาสนะของ
ข้าพเจ้าถวายท่าน เมื่อท่านนั่งเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้า
ก็กราบเท้าถวายโภชนะ.

ข้าพเจ้าเลี้ยงดูด้วยข้าวน้ำและของเคี้ยวที่จัดไว้ใน
เรือนให้อิ่มหนำสำราญแล้ว จึงเรียนท่านว่า พระแม่
เจ้า ข้าพเจ้าประสงค์จะบวชเจ้าข้า.
ลำดับนั้น บิดาพูดกะข้าพเจ้าว่า ลูกเอ๋ย ลูกจง
ประพฤติธรรมในเรือนนี้ก็แล้วกัน จงเลี้ยงดูสมณ-
พราหมณ์ ด้วยข้าวน้ำไปเถิด.
ขณะนั้น ข้าพเจ้าร้องไห้ประคองมือ ประนม
พูดกับบิดาว่า ความจริง ลูกก็ทำบาปมามากแล้ว ลูก
จักชำระบาปนั้นให้เสร็จไปเสียที.
บิดาจึงอวยพรข้าพเจ้าว่า ลูกจงบรรลุโพธิญาณ
ธรรมอันเลิศ และได้พระนิพพาน ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้ประเสริฐสุดแห่งสัตว์สองเท้า ทรงกระทำให้แจ้ง
แล้วเถิด.
ข้าพเจ้ากราบบิดามารดา และหมู่ญาติทุกคน
บวชได้ 7 วัน ก็บรรลุวิชชา 3 ข้าพเจ้ารู้ระลึกชาติ
ได้ 7 ชาติ จะบอกกรรมที่มีวิบากอย่างนี้แก่แม่เจ้า
ขอแม่เจ้า โปรดมีใจเป็นหนึ่ง ฟังวิบากกรรมนั้นเถิด.
ในนครชื่อว่า เอรกัจฉะ ข้าพเจ้าเป็นช่างทอง
มีทรัพย์มาก มัวมาในวัยหนุ่ม ทำชู้กับภริยาผู้อื่น.


ข้าพเจ้าจุติจากโลกนั้นแล้ว ต้องไปหมกไหม้อยู่
ในนรกเป็นเวลานาน ครั้นออกจากนรกนั้นแล้ว ก็เข้า
ท้องนางวานร.
ข้าพเจ้าคลอดได้ 7 วัน วานรใหญ่จ่าฝูงก็กัด
อวัยวะเพศผู้เสีย นี้เป็นผลกรรมของข้าพเจ้า ที่เป็นชู้
ภริยาผู้อื่น.
ข้าพเจ้าจุติจากกำเนิดวานรนั้นแล้ว ก็ไปเข้า
ท้องแม่แพะตาบอดและเป็นง่อย ในป่า แคว้นสินธพ.
ข้าพเจ้าอายุได้ 12 ปี พาเด็กขี่หลังไปกระแตก
อวัยวะเพศ ป่วยเป็นโรคหนอนฟอน นี้เป็นผลกรรม
ที่ทำชู้ภริยาผู้อื่น.
ข้าพเจ้าจุติจากกำเนิดแพะแล้ว ก็เกิดในกำเนิด
แม่โคของพ่อค้าโค เป็นลูกโค ขนแดงดั่งน้ำครั่ง
อายุ 12 เดือนก็ถูกตอน.
ข้าพเจ้าถูกใช้ให้ลากไถ และลากเกวียน ป่วย
เป็นโรคตาบอด นี่เป็นผลกรรมที่ทำชู้ภริยาผู้อื่น.
ข้าพเจ้าจุติจากกำเนิดโคแล้ว ก็ไปเกิดในเรือน
ทาสี ณ ท้องถนน ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย นี่เป็นผล
กรรมที่ทำชู้ภริยาผู้อื่น.
ข้าพเจ้าอายุ 30 ปี ก็ตาย เกิดเป็นเด็กหญิงใน
ตระกูลช่างทำเกวียน ที่เข็ญใจ มีโภคทรัพย์น้อย
เป็นที่รุมทวงหนี้ของเจ้าหนี้.

เมื่อหนี้พอกพูนทับถมกันมากขึ้น แต่นั้น นาย
กองเกวียนก็รับเอาสมบัติ ฉุดเอาข้าพเจ้าซึ่งกำลังรำ-
พันอยู่ ออกจากเรือนของสกุล.
บุตรของนายกองเกวียน ชื่อคิริทาส เห็นข้าพ-
เจ้าเป็นสาวรุ่น อายุ 16 ปี ก็มีจิตปฏิพัทธ์ ขอไป
เป็นภริยา.
แต่นายคิริทาส มีภริยาอยู่ก่อนคนหนึ่ง เป็นคน
มีศีลมีคุณมียศ จงรักสามี ข้าพเจ้าก็ทำให้สามีเกลียด
นาง.
ข้อที่สามทั้งหลาย เลิกร้างข้าพเจ้า ซึ่งปรนนิบัติ
ดุจทาสีไป ก็เป็นผลกรรมของธรรมนั้น ที่สุดแม้ของ
กรรมนั้น ข้าพเจ้าก็กระทำเสร็จแล้ว.

จบ อิสิทาสีเถรีคาถา
จบ จัตตาฬีสนิบาต

เถรีคาถา จัตตาฬีสนิบาต


1. อรรถกถาอิสิทาสีเถรีคาถา


ในจัตตาฬิสนิบาต คาถาว่า นครมฺหิ กุสุมนาเม เป็นต้น
เป็นคาถาของพระอิสิทาสีเถรี พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
พระเถรีแม้รูปนี้ ก็ได้สร้างบารมีมาในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ เป็น
ผู้ชายมาในภพนั้น ๆ สร้างสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน ในภพที่ 7
นับแต่จริมภพ ก็ได้กระทำปรทาริกกรรม [เป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น] โดยนิสัยที่
ไม่ดีตายไปบังเกิดในนรก ต้องหมกไหม้อยู่ในนรกนั้นตั้งหลายร้อยปี จุติจาก
นรกนั้นแล้วไปบังเกิดในกำเนิดดิรัจฉาน 3 ชาติ จุติจากนั้นแล้วไปบังเกิดเป็น
กะเทยในต้องของทาสี จุติจากนั้นก็ไปบังเกิดเป็นลูกสาวช่างทำเกวียนที่ขัดสน
คนหนึ่ง เจริญวัยแล้วลูกชายนายกองเกวียนคนหนึ่ง ชื่อคิริทาสก็เอาเป็นภริยา
นำไปบ้าน ภริยาเดิมของนายคิริทาสก็มี เป็นคนมีศีลมีกัลยาณธรรม ลูกสาว
ช่างทำเกวียนนั้น ปกติชอบริษยาภริยาเดิมนั้น ก็ทำให้สามีกับภริยาเดิมเกลียด
กัน นางอยู่ในบ้านนั้นจนตลอดชีวิตจนตาย ในพุทธุปบาทกาลนี้ ก็ไปบังเกิดเป็น
ธิดาของเศรษฐีผู้พรั่งพร้อมด้วยสมบัติ ได้รับยกย่องด้วยคุณมีตระกูล ถิ่นและ
สีลาจารวัตรเป็นต้น ในกรุงอุชเชนี นางมีนามว่า อิสิทาสี ครั้นเจริญวัย
บิดามารดาก็มอบให้แก่บุตรเศรษฐีคนหนึ่งที่มีตระกูล รูป วัยและสมบัติเป็นต้น
ทัดเทียมกัน นางอิสิทาสีนั้น ก็เป็นปติเทวดา (ปฏิบัติสามีดังเทวดา) ในเรือน
ของสามีนั้น อยู่ได้เพียงเดือนเดียว ด้วยผลกรรมของนาง สามีเกิดเบื่อหน่ายก็นำ