เมนู

เถรีคาถา ติงสนิบาต


อรรถกถาสุภาชีวกัมพวนิกาเถรีคาถา


ในติงสนิบาต คาถาว่า ชีวกมฺพวนํ รมฺมํ เป็นต้น เป็นคาถา
ของพระสุภาชีวกัมพวนิกาเถรี มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
พระเถรีแม้รูปนี้ ก็ได้บำเพ็ญบารมีมาในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ
สร้างสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน มาในภพนั้น ๆ อบรมกุศลมลเพิ่ม
พูนสัมภารธรรมเครื่องปรุงแต่งวิโมกข์มาโดยลำดับ มีญาณแก่กล้า มาใน
พุทธุปบาทกาลนี้ ก็บังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ในกรุงราชคฤห์
มีนามว่าสุภา.
เล่ากันมาว่า นางมีส่วนแห่งเรือนร่างประกอบด้วยผิวพรรณดั่งทอง
เพราะฉะนั้น นางจึงมีนามคล้อยตามไป ด้วยว่า สุภา แปลว่า งาม ขณะ
พระศาสดาเสด็จเข้าไปกรุงราชคฤห์ นางก็ได้ศรัทธาเป็นอุบาสิกา ต่อมา เกิด
ความสังเวชในสังสารวัฏ เห็นโทษในกามทั้งหลาย และกำหนดเอาเนกขัมมะ
การบวชเป็นทางเกษม บวชในสำนักพระนางปชาบดีโคตมี บำเพ็ญวิปัสสนา
2-3 วันเท่านั้น ก็ดำรงอยู่ในพระอนาคามิผล.
ต่อมา วันหนึ่ง ชายนักเลงหญิงคนหนึ่ง เป็นชาวกรุงราชคฤห์
เป็นหนุ่มแรกรุ่น เห็นพระเถรีกำลังเดินไปเพื่อพักกลางวันที่ชีวกัมพวันวิหาร
เกิดจิตปฏิพัทธ์ขึ้นมา ก็ยืนกั้นขวางทางไว้ กล่าวเชิญชวนด้วยกามารมณ์
พระเถรีเมื่อจะประกาศโทษของกามทั้งหลาย และอัธยาศัยในเนกขัมมะการบวช
ของตนด้วยประการต่าง ๆ จึงกล่าวธรรมแก่ชายผู้นั้น ชายผู้นั้นแม้ฟังธรรม-
กถาแล้วก็ไม่ยอมถอย ยังติดตามอยู่นั่นแหละ พระเถรีเห็นเขาไม่อยู่ในถ้อยคำ

ของตน และยังชื่นชอบที่ลูกตา ก็กล่าวว่า เอาเถิด ท่านคงชอบลูกตา แล้ว
ก็ควักลูกตาข้างหนึ่งของตนมอบให้เขา. ลำดับนั้น ชายผู้นั้น ก็สะดุ้งเกิดสลด
ใจ สิ้นร่านรักในพระเถรีนั้น ขอขมาพระเถรีแล้วก็หลีกไป. พระเถรีก็ไป
สำนักพระศาสดา พร้อมกับที่พบพระศาสดานั้นแหละ ตาของพระเถรีก็กลับ
เป็นปกติดังเดิม. ลำดับนั้น พระเถรียืนอยู่ ถูกปีติที่ดำเนินไปในพระพุทธคุณ
สัมผัสไม่ขาดสาย พระศาสดาทรงทราบอาจาระทางจิตของพระเถรี ทรง
แสดงธรรม ตรัสบอกกรรมฐานเพื่ออรหัตมรรค พระเถรีข่มปีติได้แล้ว
ทันใดนั้นเอง เจริญวิปัสสนา ก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา 4.
ครั้น บรรลุพระอรหัตแล้ว อยู่ด้วยผลสุขและนิพพานสุข พิจารณาทบทวนข้อ
ปฏิบัติของตน ก็กล่าวคาถาที่ตนกับชายนักเลงหญิงนั้นกล่าวแล้ว เป็นอุทาน
พระสุภาเถรีได้เปล่งคาถาเหล่านี้ว่า
ชายนักเลงหญิงกั้นขวางพระสุภาภิกษุ ซึ่งกำลัง
เดินไปชีวกัมพวันวิหารที่น่ารื่นรมย์ พระสุภาภิกษุณีได้
พูดกะชายผู้นั้นว่า
ท่านบุตรช่างทอง ข้าพเจ้าทำผิดอะไรต่อท่าน
ท่านจึงมายืนกั้นขวางข้าพเจ้าไว้ ชายไม่ควรถูกต้อง
หญิงนักบวช.
เหตุไร ท่านจึงยืนกั้นข้าพเจ้า ผู้มีบทอันบริสุทธิ์
ด้วยสิกขาที่พระสุคตทรงแสดงไว้ในสัตถุศาสนาของ
ข้าพเจ้าที่ควรเคารพ ผู้ไม่มีกิเลสดังเนิน เหตุไร ท่าน
ผู้มีจิตขุ่นมัว จึงยืนกั้นข้าพเจ้าผู้ไม่มีจิตขุ่นมัว ท่านผู้มี
จิตมีราคะ จึงยืนกั้นข้าพเจ้าผู้ปราศจากราคะ ผู้ไม่มี
กิเลสดังเนิน ผู้มีใจหลุดพ้นแล้วในขันธ์ทั้งปวง.

ชายนักเลงหญิงกล่าวว่า
แม่นางยังสาวสวยไม่ทรามเลย บรรพชาจักทำ
อะไรแก่แม่นางได้ โปรดทิ้งผ้ากาสายะเสีย มาสิ เรา
มาร่วมอภิรมย์กันในป่าที่มีดอกไม้บานงามเถิด.
ต้นไม้ทั้งหลาย เกิดขึ้นด้วยเกสรดวกไม้ โชย
กลิ่นหอมไปทั่วป่า ฤดูต้นวสันต์น่าสบาย มาสิ เรา
มาร่วมอภิรมย์กันในป่าที่มีดอกไม้บานงามเถิด.
ต้นไม้ทั้งหลาย ยอดออกดอกบานแล้ว ต้องลม
ไหว ระริก ดังจะมีเสียงครวญ แม่นางจักมีความ
ยินดีอะไรกัน ผิว่า แม่นางจักเข้าป่าเพียงผู้เดียว.
ป่าใหญ่ หมู่สัตว์ร้ายอาศัยอยู่ คลาคล่ำด้วย
ช้างพลายตกมันและช้างพัง ไม่มีผู้คน น่าสะพรึงกลัว
แม่นางไม่มีเพื่อน ยังปรารถนาจะเข้าไปหรือ.
แม่นางผู้งามไม่มีใครเปรียบเอย แม่นางท่อง-
เที่ยวไปเหมือนตุ๊กตา ที่ช่างสร้างด้วยทอง แม่นาง
ตามใจข้า ก็จะงดงามด้วยผ้าสวย ที่เนื้อเกลี้ยงเกลา
ละเอียดของแคว้นกาสี ดังเทพนารีในสวนจิตรลดา
[สวรรค์ดาวดึงส์] เชียวละ
แม่นางผู้มีดวงตาโศกดังกินนรีเอย ข้าจะยอมอยู่
ใต้อำนาจแม่นาง ถ้าเราจะอยู่ร่วมกันในกลางป่า
เพราะสัตว์ที่น่ารักกว่าแม่นางของข้าไม่มีเลย.
ถ้าแน่นางเชื่อข้า แม่นางก็จะมีความสุข มาสิ
มาครองเรือนกัน แม่นางจะอยู่บนปราสาทที่ปราศ

จากลมพาน หญิงทั้งทลายจะคอยปรนนิบัติแม่นาง
แม่นางจะนุ่งห่มผ้าเนื้อละเอียดของแคว้นกาสี สวม
มาลัยลูบไล้ประเทืองผิว ข้าจะทำอาภรณ์เครื่องประดับ
ต่าง ๆ มากชนิด ที่เป็นทองแก้วมณีและมุกดาแก่แม่
นาง.
เชิญขึ้นที่นอนไหมมีค่ามาก สวยงาม ปูด้วยผ้า
โกเชาว์ขนยาว อ่อนนุ่มดังสำลี คลุมด้วยผ้าที่ซักธุลี
สะอาดแล้ว ตกแต่งด้วยจันทน์แก่นหอม.
ดอกอุบล โผล่พ้นน้ำ มิมีมนุษย์เชยชมแล้ว
ฉันใด แม่นางก็เป็นพรหมขารีฉันนั้น เมื่อส่วนแห่ง
เรือนร่างของแม่นาง ยังไม่มีใครเชยชม ก็จะชราร่วง
โรยไปเสียเปล่า ๆ.

พระสุภาเถรีถามว่า
ในร่างที่มีอันจะต้องแตกสลายเป็นธรรมดา ซึ่ง
เต็มด้วยซากศพ รังแต่จะรกป่าช้านี้ อะไรที่ท่านเข้า
ใจว่าเป็นสาระ เพราะเห็นสิ่งใด จึงเกิดติดใจขึ้นมา
ขอท่านโปรดบอกสิ่งนั้นมาสิ.

ชายนักเลงหญิงตอบว่า
เพราะเห็นดวงตาของแม่นาง ประดุจดวงตาลูก
เนื้อทราย ประดุจดวงตากินนรีในระหว่างเขา ฤดี
ร่านรักของข้าก็ยิ่งกำเริบ.
เพราะเห็นดวงตา อุปมาดังยอดดอกอุบล และ
ดวงหน้าพิมลดังรูปทองของแม่นาง ความใคร่ความ
ปรารถนาของข้าก็ยิ่งกำเริบ.

แม่นางผู้มีดวงตาโศกดังกินนรีเอย แม้ข้าจะไป
ไกลแสนไกล ก็จะยังคงรำลึกถึงดวงตาอันบริสุทธิ์
ที่มีขนตายาวงอน เพราะว่าอะไร ๆ ที่น่ารักกว่าดวงตา
ของแม่นาง สำหรับข้าไม่มีเลย.

พระสุภาเถรีกล่าวว่า
ท่านมาต้องการข้าพเจ้าผู้เป็นบุตรของพระพุทธ-
เจ้า ก็ชื่อว่า ท่านปรารถนาจะเดินไปตามทางที่มิใช่ทาง
ชื่อว่าแสวงหาดวงจันทร์เอามาเป็นของเล่น ชื่อว่า
ต้องการจะกระโดดขึ้นเขาสิเนรุ.
เพราะว่า ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก บัดนี้ ข้าพเจ้า
ไม่มีอารมณ์ เป็นที่มีราคะความกำหนัดเลย ข้าพเจ้า
ไม่รู้ดอกว่า ราคะนั้นเป็นเช่นไร เพราะราคะนั้น
ข้าพเจ้ากำจัดเสียแล้วพร้อมทั้งราก ด้วยอริยมรรค.
ราคะนั้น ข้าพเจ้ายกออกแล้ว เหมือนเอาเชื้อไฟ
ออกจากหลุมถ่านไฟ เหมือนเอาภาชนะใส่ยาพิษออก
จากไฟ ข้าพเจ้าไม่รู้ดอกว่า ราคะนั้นเป็นเช่นไร
เพราะราคะนั้นข้าพเจ้ากำจัดเสียแล้ว พร้อมทั้งราก
ด้วยอริยมรรค.
หญิงผู้ใด ไม่พิจารณาปัญจขันธ์ หรือไม่เข้าเฝ้า
พระศาสดา ขอท่านโปรดประเล้าประโลมหญิงเช่น
นั้นเถิด ท่านนั้นจะต้องเดือดร้อน เพราะสุภาภิกษุณี
ซึ่งรู้ตามความจริงผู้นี้.

เพราะว่า สติของข้าพเจ้ามั่นคงไม่ว่าในการด่า
และการไหว้ และในสุขและทุกข์ เพราะรู้ว่าสังขต-
สังขารที่ปัจจัยปรุงแต่งเป็นอสุภะไม่งาม ใจข้าพเจ้า
จึงไม่ติดอยู่ในอารมณ์ทั้งปวงเลยทีเดียว
ข้าพเจ้านั้นเป็นสาวิกาของพระสุคต ดำเนินไป
ด้วยยาน คือมรรคอันประกอบด้วยองค์ 8 ถอนกิเลส
ดุจลุกศรเสียแล้ว ไม่มีอาสวะ ยินดีอยู่แต่ในเรือนว่าง.
รูปเขียน ที่ช่างบรรจงเขียนไว้สวยงาม หรือ
รูปไม้ รูปใบลาน ที่เขาผูกด้วยด้าย และติดไว้ด้วย
ตะปู ทำท่ารำต่าง ๆ ข้าพเจ้าเห็นมาแล้ว เมื่อรูปนั้น
ถูกรื้อออก ปลดด้ายและตะปูออก ก็บกพร่อง [ไม่เป็น
รูป] กระจัดกระจายออกเป็นชิ้น ๆ ก็ไม่พึงได้สภาพ
ที่ชื่อว่ารูป บุคคลจะพึงตั้งใจไว้ในรูปนั้นไปทำไม.
ร่างกายนี้ก็เปรียบด้วยรูปนั้น เว้นจากธรรม
เหล่านั้นเสียก็เป็นไปไม่ได้ แม้ร่างกายเว้นจากธรรม
ทั้งหลาย ก็เป็นไปมิได้ บุคคลจะพึงตั้งใจไว้ในรูป
นั้นไปทำไม.
บุคคลพึงดูรูปจิตรกรรม ที่จิตรกรระบายด้วย
หรดาล ทำไว้ที่ฝาผนัง ในจิตรกรรมนั้น ท่านก็ยังเห็น
วิปริต สัญญาความสำคัญว่ามนุษย์ ไร้ประโยชน์
จริง ๆ.
ดูก่อนคนตาบอด ท่านยังจะเข้าไปใกล้ร่างที่ว่าง
เปล่า เหมือนพยับแดดที่ปรากฏต่อหน้า โดยอาการ

ลวง เหมือนต้นไม้ทองในความฝัน เหมือนรูปของ
มายากล นักเล่นกลแสดงกลางฝูงชนว่าเป็นของจริง.
ฟองที่อยู่กลางดวงตา มีน้ำตา มีมูลตา เกิดที่
ดวงตานั้น ส่วนของตาต่าง ๆ ก็มารวมกัน เหมือน
ก้อนครั่ง ที่วางอยู่ในโพรงไม้ พระสุภาเถรี ผู้มีดวงตา
งาม มีใจไม่ข้องไม่ติดอยู่ในดวงตานั้น ก็ควักดวงตา
ออกจากเบ้าตา ส่งมอบให้ชายนักเลงหญิงผู้นั้นทันที
พร้อมกับกล่าวว่า เชิญนำดวงตานั้น ไปเถิด ข้าพเจ้า
ให้ท่าน.
ทันใดนั้นเอง ความร่านรักในดวงตานั้นของ
ชายนักเลงหญิงนั้นก็หายไป เขาขอขมาพระเถรีด้วย
คำว่า
ข้าแต่แม่นางผู้เป็นพรหมจารี ขอความสวัสดี
พึงมีแก่แม่นางเถิด ความประพฤติอนาจารเช่นนี้ จัก
ไม่มีต่อไปอีกละ.

พระสุภาเถรีกล่าวว่า
ท่านกระทบกระทั่งชนเช่นข้าพเจ้า ก็เหมือน
กอดกองไฟที่ลุกโชน เหมือนจับงูพิษร้าย ความสวัสดี
ก็คงมีแก่ท่านบ้างดอก ข้าพเจ้ารับขมาท่าน.
พระสุภาภิกษุณีนั้น พ้นจากชายนักเลงหญิงนั้น
แล้ว ก็ไปสำนักพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ พอเห็นพระ
บุณยลักษณ์ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ จักษุก็กลับ
เป็นปกติเหมือนอย่างเดิม.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชีวกมฺพวนํ ได้แก่ สวนมะม่วงของ
หมอชีวกโกมารภัจ. บทว่า รมฺมํ ได้แก่ น่ารื่นรมย์. เขาว่า สวนมะม่วงนั้น
น่าปลื้มใจ น่ารื่นรมย์ใจอย่างยิ่ง เพราะพรั่งพร้อมด้วยภูมิภาค และพรั่งพร้อม
ด้วยร่มเงาและน้ำ โดยอาการที่ปลูกต้นไม้ไว้. บทว่า คจฺฉนฺตึ ได้แก่ ผู้
เดินเข้าไปมุ่งสวนมะม่วงเพื่อพักกลางวัน. บทว่า สุภํ ได้แก่ พระเถรีผู้มีชื่อ
อย่างนี้. บทว่า ธุตฺตโก ได้แก่ ชายนักเลงหญิง. เขาว่า ลูกชายของช่างทอง
ผู้มีสมบัติมากผู้หนึ่งเป็นชาวกรุงราชคฤห์ เป็นคนหนุ่มสะสวย เป็นชายนักเลง
หญิง ผู้มัวเมาเที่ยวไป เขาพบพระเถรีนั้นเดินสวนทางมาก็เกิดจิตปฏิพัทธ์
จึงยืนขวางทาง ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ชายนักเลงหญิงยืนกั้นไว้ อธิบาย
ว่า ห้ามเราไป. บทว่า ตเมนํ อพฺรวี สุภา ความว่า พระสุภาภิกษุณี
กล่าวกะชายนักเลงหญิงที่ยืนกั้นคนนั้นนั่นแหละ ก็ในข้อนั้น พระเถรีกล่าวถึง
ตัวเองเท่านั้น ทำประหนึ่งว่าเป็นคนอื่นว่า สุภาภิกษุณีผู้กำลังเดินไป สุภา-
ภิกษุณี ได้กล่าวดังนี้ คาถานี้ท่านพระสังคีติกาจารย์กล่าวไว้ โดยแสดงการ
เชื่อมคาถาที่พระเถรีกล่าวแล้ว.
พระสุภาเถรีกล่าวว่า พระสุภาภิกษุณีได้กล่าวดังนี้แล้ว กล่าวคำว่า
เราทำผิดอะไรต่อท่าน เป็นต้น ก็เพื่อแสดงอาการที่พระเถรีนั้นกล่าวแล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กึ เต อปราธิตํ มยา ความว่า ท่าน เราทำ
ผิดอะไรต่อท่าน. บทว่า ยํ มํ โอวริยาน ติฏฺฐสิ อธิบายว่า ด้วยความ
ผิดอันใด ท่านจึงยืนกั้นเราผู้กำลังเดินไป คือห้ามการเดินไป ความผิดอันนั้น
ไม่มีดอกนะจ๊ะ พระเถรีเมื่อแสดงว่า ถ้าท่านปฏิบัติอย่างนี้ ด้วยสำคัญว่า เรา
เป็นหญิง การปฏิบัติแม้อย่างนี้ก็ไม่สมควร จึงกล่าวว่า น หิ ปพฺพชิตาย
อาวุโส ปุริโส สมฺผุสนาย กปฺปติ
ความว่า ดูก่อนท่านบุตรช่างทอง แม้
โดยจารีตโลก ชายก็ไม่ควรถูกต้องนักบวชทั้งหลาย ส่วนหญิงนักบวช ไม่

สมควรถูกต้องแม้แต่สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ การถูกต้องชายยกไว้ก่อนก็ได้ หญิง
นักบวชนั้นไม่สมควรถูกต้องชายแม้ผู้มีของภายนอกด้วยของภายนอก โดย
อำนาจราคะเลยทีเดียว.
ด้วยเหตุนั้น พระเถรีจึงกล่าวว่า ครุเก มม สตฺถุสาสเน เป็นต้น
ข้อนั้นมีความว่า สิกขาเหล่าใดอันพระสุคตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงทรง
บัญญัติเฉพาะภิกษุณีทั้งหลาย ไว้ในสัตถุศาสนาของเรา ที่หนักดังฉัตรหิน คือ
ที่ควรเคารพ เหตุไร ท่านจึงยืนกั้นเราผู้กำลังเดินไป ซึ่งเป็นอย่างนี้คือเป็นผู้
มีบทอันบริสุทธิ์ คือมีส่วนกุศลอันบริสุทธิ์ ด้วยสิกขาเหล่านั้น ผู้ชื่อว่าไม่มี
กิเลสดังเนิน เพราะไม่มีกิเลสดังเนินมีราคะเป็นต้น โดยประการทั้งปวง.
บทว่า อาวิลจิตฺโต ความว่า เพราะเหตุไรท่านผู้มีจิตขุ่นมัวด้วยอำนาจ
วิตก มีกามวิตกเป็นต้นอันกระทำความขุ่นมัวแห่งจิต จึงยืนกั้นเรา ผู้ชื่อว่า
ไม่ขุ่นมัว เพราะไม่มีความขุ่นมัวนั้น. ท่านผู้มีกิเลสดุจละออง ด้วยอำนาจ
กิเลสดุจละอองคือราคะเป็นต้น ผู้มีกิเลสดังเนิน ยืนกั้นเราผู้ชื่อว่าปราศจาก
กิเลสดุจละออง ผู้ไม่มีกิเลสดังเนิน ผู้ชื่อว่ามีใจหลุดพ้นแล้ว เพราะหลุดพ้น
เด็ดขาดในที่ทั้งปวงคือในเบญจขันธ์.
เมื่อพระเถรีกล่าวอย่างนี้แล้ว ชายนักเลงหญิงเมื่อจะแจ้งความประสงค์
ของตน จึงกล่าวคาถา 10 คาถาโดยนัยว่า ทหรา จ เป็นต้น บรรดาบท
เหล่านั้น บทว่า ทหรา ได้แก่วัยรุ่น คืออยู่ในปฐมวัย. บทว่า อปาปิกา
จสิ
ได้แก่ มีรูปไม่เลว อธิบายว่า มีรูปสวยอย่างยิ่งด้วย. บทว่า กึ เต
ปพฺพชฺชา กริสฺสติ
ชายนักเลงหญิงกล่าวด้วยความประสงค์ว่า บรรพชา
จักทำอะไรแก่แม่นางผู้อยู่ในปฐมวัย มีรูปสวยอย่างนี้ หญิงแก่ หรือหญิง
รูปขี้เหร่ดอก ควรจะบวชเสีย. นิกฺขิปา ได้แก่จงละทิ้ง. บาลีว่า อุกฺขิปา
ก็มี ความว่า จงเปลื้อง.

บทว่า มธุรํ ได้แก่ งาม อธิบายว่า กลิ่นหอม. บทว่า ปวนฺติ
แปลว่า โชยกลิ่น. บทว่า สพฺพโส คือรอบ ๆ. บทว่า กุสุมรเชน
สมุฎฺฐิตา ทุมา ความว่า ต้นไม้เหล่านั้นเป็นเหมือนเกิดเอง ด้วยละออง
ดอกไม้ของตัวเอง กล่าวคือเรณูดอกไม้ที่เกิดขึ้นโดยลมพัดอ่อนๆ. บทว่า
ปฐมวสนฺโต สุโข อุตุ ความว่า ฤดูต้นเดือนวสันต์นี้ และมีสัมผัสสบาย
กำลังดำเนินไป.
บทว่า กุสุมิตสิขรา ได้แก่ มียอดดอกบานดีแล้ว. บทว่า
อภิคชฺชนฺติว มาลุเตริตา ได้แก่ถูกลมพานไหว คล้ายครวญ คือตั้งอยู่
ประหนึ่งส่งเสียงครวญ. ด้วยบทว่า ยทิ เอกา วนโมคหิสฺสสิ ชายนักเลง
หญิงกล่าวอย่างนี้ เพราะร่านรักในสุขที่เกี่ยวกับตนว่า ถ้าแม่นางจะเข้าป่าคน
เดียว แม่นางจะมีความยินดีอะไรในป่านั้นเล่า.
บทว่า วาฬมิคสงฺฆเสวิตํ ได้แก่ อันกลุ่มเนื้อร้ายมีราชสีห์และเสือ
เป็นต้นเข้าไปอาศัยอยู่ในที่นั้นๆ. บทว่า กุญฺชรมตฺตกเรณุโลฬิตํ ได้แก่
เป็นถิ่นเกลื่อนกล่นด้วยช้างพลายตกมันและช้างพัง ด้วยการทำจิตใจของเหล่า
เนื้อกวางให้เดือดร้อน และด้วยการหักกิ่งไม้และกอไม้เป็นต้น. ไม่มีเหตุเช่นนี้
ในป่านั้นทุกเมื่อก็จริง ขึ้นชื่อว่าป่าก็ต้องเป็นเช่นนี้ เพราะฉะนั้น ชายนักเลง
หญิงประสงค์จะให้พระเถรีนั้นหวาดกลัว จึงกล่าวอย่างนี้. บทว่า รหิตํ ได้แก่
เว้นจากชนคือปราศจากผู้คน. บทว่า ภึสนกํ ได้แก่ น่าเกิดภัย.
บทว่า ตปฺปนียกตาว ธีติกา ความว่า แม่นางเที่ยวไปประดุจ
ตุ๊กตา ที่ช่างตกแต่งด้วยทองสีแดง คือประดุจรูปปฏิมาทอง ที่นายช่างยนต์ผู้
ฉลาดตกแต่งโดยการประกอบยนต์ บัดนี้นี่แหละ แม่นางก็ยังเที่ยวไปทางโน้น
ทางนี้. บทว่า จิตฺตลเตว อจฺฉรา ได้แก่ประดุจเทพอัปสร ในสวนชื่อว่า

จิตตลดา. บทว่า กาสิกสุขุเมหิ ได้แก่ เนื้อละเอียดอย่างยิ่ง ที่เกิดขึ้นใน
แคว้นกาสี. บทว่า วคฺคุภิ ได้แก่ ที่เกลี้ยงสนิท. บทว่า โสภสี สุวสเนหิ
นูปเม
ได้แก่ แม่นางผู้งามไม่มีใครเปรียบคือเว้นที่จะเปรียบได้เลย บัดนี้
แม่นางอยู่ในอำนาจเรา ก็จะงดงามด้วยผ้านุ่งห่ม เพราะฉะนั้น ชายนักเลง
หญิงจึงกล่าวกะพระเถรีดังกล่าว แล้วดังหนึ่งว่า เป็นไปจริงส่วนเดียว ตามความ
ประสงค์ของตน.
บทว่า อหํ ตว วสานุโค สิยํ ความว่า ข้าพเจ้ายอมอยู่ใต้
อำนาจแม่นาง จะยอมสนองทุกกิจการ. บทว่า ยทิ วิหเรมเส กานนนฺตเร
ความว่า ผิว่าเราทั้งสองจะอยู่ร่วมอภิรมย์กันในกลางป่า ชายนักเลงหญิงกล่าว
ถึงเหตุแห่งภาวะที่ตกอยู่ใต้อำนาจว่า เพราะว่าสัตว์ที่น่ารักกว่าแม่นาง สำหรับ
ข้าพเจ้าไม่มีเลย อีกนัยหนึ่ง ชายนักเลงหญิงกล่าวหมายถึงชีวิตของตนว่า
ปาณะ อธิบายว่า เพราะว่า ชีวิตของข้าพเจ้าที่จะเป็นที่รักกว่าแม่นางไม่มีเลย.
บทว่า กินฺนริมนฺทโลจเน แปลว่า ดูราแม่นางผู้มีดวงตาโศกเหมือนกินนรเอย.
บทว่า ยทิ เม วจนํ กริสฺสสิ สุขิตา เอหิ อคารมาวส ความ
ว่า ถ้าแม่นางจะเชื่อข้า ก็จงละการนั่งคนเดียว การนอนคนเดียว ละทุกข์ใน
พรหมจรรย์เสีย มาสิ มาเสพสุขด้วยกามสมบัติ อยู่ครองเรือนกัน. อาจารย์บาง
พวกกล่าวว่า สุขิตา เหติ อคารมาวสนฺติ. เนื้อความของอาจารย์พวกนั้น
ว่า แม่นางจักประสบสุขคนทั้งหลายเขาก็อยู่ครองเรือนกัน. บทว่า ปาสาท-
นิวาตวาสินี
ได้แก่ อยู่ในปราสาทที่ปราศจากลมพาน. บาลีว่า ปาสาทวิมาน -
วาสินี
ก็มี ความว่า อยู่ในปราสาทเสมือนวิมาน. บทว่า ปริกมฺมํ ได้แก่
การขวนขวาย.
บทว่า ธารย ได้แก่ จงครอง คือจงนุ่งและจงห่ม. บทว่า อภิโร-
เปหิ
ได้แก่หรือจงแต่ง อธิบายว่า จงประดับเรือนร่าง โดยตกแต่งประดับ

ประดา. บทว่า มาลวณฺณกํ ได้แก่ มาลัย และของหอมของลูบไล้. บทว่า
กญฺจนมณิมุตฺตกํ ได้แก่ ประกอบด้วยทอง และแก้วมณีและแก้วมุกดา
อธิบายว่า แต่งด้วยแก้วมณีและแก้วมุกดาที่ประกอบด้วยทอง. บทว่า พหุํ
ได้แก่ มีมากประการ ต่างโดยเครื่องประดับมือเป็นต้น. บทว่า วิวิธํ ได้แก่
ต่างๆ อย่างโดยรูปพรรณหลากชนิด.
บทว่า สุโธตรชปจฺฉทํ ได้แก่ มีผ้าปิดที่ลอกละอองออกแล้ว เพราะ
ฟอกดี. บทว่า สุภํ ได้แก่ สวยงาม. บทว่า โคนกตูลิกสนฺถตํ ได้แก่
ลาดด้วยผ้าโกเชาว์สีดำขนยาวและผ้าสำลีที่เต็มด้วยขนหงส์เป็นต้น. บทว่า นวํ
ได้แก่ ใหม่เอี่ยม. บทว่า มหารหํ ได้แก่ มีค่ามาก. บทว่า จนฺทนมณฺฑิต-
สารคนฺธิกํ
ได้แก่ มีกลิ่นหอนอวล เพราะตกแต่งด้วยจันทน์มีแก่น มีจันทน์แดง
เป็นต้น อธิบายว่า แม่นางโปรดขึ้นสู่ที่นอนเห็นปานนั้น แล้วโปรดนอน
โปรดนั่งตามสบาย.
ในบทว่า อุปฺปลํ จุทกา สมุคฺคตํ ดังนี้ อักษรเป็นเพียงนิบาต
ความว่า ดอกอุบลที่ผุดโผล่ชูพ้นน้ำตั้งอยู่บานแล้ว. บทว่า ยถา ตํ
อมนุสฺสเสวิตํ
ความว่า ก็ดอกอุบลนั้นพึงไร้มนุษย์เสพ คือใคร ๆ มิได้เชยชม
แล้ว เพราะเกิดในสระโบกขรณี ที่รากษสหวงแหนแล้ว. บทว่า เอวํ ตฺวํ
พฺรหฺมจารินี
ได้แก่ แม่นางก็เป็นพรหมจารีเหมือนดอกอุบลบานดีนั้น ฉันนั้น.
เหมือนกัน. บทว่า สเกสงฺเคสุ ความว่า เมื่อส่วนแห่งเรือนร่างของตนอันใคร ๆ
มิได้เชยชมแล้ว แม่นางก็จักถึงความชรา คือจะแก่คร่ำคร่าไปเสียเปล่า ๆ.
เมื่อชายนักเลงหญิง ประกาศความประสงค์ของตนอย่างนี้แล้ว พระ-
เถรีเมื่อจะตัดความประสงค์นั้นในเรื่องนั้น ด้วยการชี้ชัดถึงสภาพของร่างกาย
จึงกล่าวคาถาว่า กึ เต อิธ เป็นต้น คาถานั้นมีความว่า ท่านบุตรช่างทอง

ในร่างอันไม่สะอาดนี้ คือที่สำคัญกันว่ากายนี้ อันเต็มไปด้วยซากศพมีผมเป็นต้น
ต้องแตกสลายไปส่วนเดียวเป็นธรรมดา รังแต่จะรกป่าช้า ชื่อว่าอะไรเล่าที่
ท่านเข้าใจ ชื่นชมว่า เป็นสาระ เพราะเห็นสิ่งอันใด ความไร้ใจ คือความ
ขาดความดำริแห่งใจในอารมณ์อย่างหนึ่ง หรือความไม่ไร้ใจ จึงปรากฏกลาย
เป็นความสุขใจขึ้น ท่านจงบอกสิ่งอันนั้นแก่เราสิ.
ชายนักเลงหญิงฟังคำอย่างนี้แล้ว ถึงแม้ว่ารูปของพระเถรีนั้น งดงาม
โดยความสันทัด แต่นับตั้งแต่แรกเห็น ก็มีจิตปฏิพัทธ์ที่จุดรวมแห่งความสนใจ
[ทิฏฐ] อันใดเมื่อจะอ้างจุดรวมแห่งความสนใจ [ทิฏฐิ] อันนั้น จึงกล่าวคาถา
ว่า อกฺขีนิ ตูริยาริว เป็นต้น พระเถรีนี้ เป็นผู้มีอินทรีย์อันสงบ เพราะ
เป็นผู้สำรวมด้วยดีแล้วโดยแท้ แต่เพราะเหตุที่เขาถูกลวงด้วยอากัปกิริยามีความ
สง่างามแห่งจริตเองเป็นต้น. ที่สันทัดพิเศษด้วยแง่งอน อันเป็นจุดรวมแห่ง
ความสนใจซึ่งเขาหาได้ ที่ดวงตาทั้งสองของพระเถรีนั้น ที่ประดับด้วยประสาท
ทั้ง 5 อันผ่องใส ที่สำเร็จมาด้วยอานุภาพกรรม อันมีดวงตาที่มั่นคงผ่องใส
เสงี่ยมสงบเป็นจุดรวม จึงเกิดเป็นนักเลงหญิงขึ้นมา ฉะนั้น ความกำหนัด
ด้วยอำนาจทิฏฐิของเขาจึงถึงความไพบูลย์เป็นพิเศษ. เนื้อทรายเรียกว่า ตูริ ใน
บทว่า อกฺขีนิ จ ตูริยาริว ในคาถานั้น จ ศัพท์เป็นเพียงนิบาต อธิบายว่า
ดวงตาทั้งสองของแม่นางประหนึ่งดวงตาของลูกเนื้อทราย. บาลีว่า โกริยาริว
ก็มี ท่านอธิบายว่าประหนึ่งดวงตาของแม่ไก่ร้องกระต๊าก. บทว่า กินฺนริยาริว
ปพฺพตนฺตเร
ความว่า ดวงตาของแม่นาง เหมือนดวงตาของกินนรี ที่ท่อง-
เที่ยว ณ ท้องภูเขา. บทว่า ตว เม นยนานิ ทกฺขิย ความว่า เพราะ
เห็นดวงตาของแม่นางมีคุณพิเศษที่กล่าวมาแล้ว ความอภิรมย์ในกามจึงกำเริบ
แก่ข้าพเจ้าอย่างยิ่งคือทับทวี.

บทว่า อุปฺปลสิขโรปมานิ เต ได้แก่ ดวงตาของแม่นางเสมือน
ปลายดอกอุบลแดง. บทว่า วิมเล แปลว่า ไร้มลทิน. บทว่า หาฎกสนฺนิเภ
ได้แก่ หน้าของแม่นางเสมือนหน้าของรูปทอง ประกอบความว่า เพราะเห็น
ดวงตาทั้งสอง.
บทว่า อปิ ทูรคตา ได้แก่ แม้ไปยังที่อันไกล. บทว่า สรมฺหเส
ความว่า ข้าไม่คิดถึงสิ่งไรอื่น รำลึกถึงแต่ดวงตาทั้งสองของแม่นางเท่านั้น.
บทว่า อายตปมฺเห ได้แก่ ขนตายาว. บทว่า วิสุทฺธทสฺสเน ได้แก่
ดวงตาที่ไร้มลทิน. บทว่า น หิ มตฺถิ ตยา ปิยตฺตโร นยนา ความว่า
ไม่มีอะไรอื่นของข้าพเจ้าที่จะเป็นที่รักกว่าดวงตาของแน่นาง ความจริง คำว่า
ตยา เป็นตติยาวิภัติ ใช้ในอรรถฉัฏฐีวิภัติ.
พระเถรีเมื่อจะเปลี่ยนความปรารถนาของชายผู้นั้น ซึ่งพร่ำเพ้อถึงสิ่ง
นั้น ๆ เหมือนคนบ้า เพราะความงามของจักษุดังนี้ จึงกล่าวคาถา 12 คาถา
โดยนัยว่า อปเถน เป็นต้น บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปเถน ปยาตุ-
มิจฺฉสิ
ประกอบความว่า ท่านบุตรช่างทองเมื่อสตรีอื่นมีอยู่ ท่านผู้ใดต้อง
การคือปรารถนาเราผู้เป็นบุตรพระพุทธเจ้า คือเป็นโอรสธิดาของพระผู้มีพระ-
ภาคพุทธเจ้า ท่านผู้นั้น เมื่อทางตรงอันเกษมมีอยู่ ชื่อว่าปรารถนาจะไป
คือประสงค์จะเดินไปตามทางที่มิใช่ทาง คือตามทางผิด ที่มีภัยกั้นด้วยหนาม ชื่อ
ว่าแสวงหาดวงจันทร์เป็นของเล่น คือประสงค์จะทำดวงจันทร์ให้เป็นของเล่น
ชื่อว่าปรารถนาจะกระโดดเขาพระเมรุ คือประสงค์จะกระโดดขึ้นขุนเขาสิเนรุ
ซึ่งสูง 48,000 โยชน์ แล้วยืนอยู่ต่อมา เพราะฉะนั้น ท่านนั้นปรารถนาเรา
ผู้เป็นบุตรพระพุทธเจ้า.
บัดนี้ พระเถรีกล่าวว่า นตฺถิ เป็นต้น ก็เพื่อแสดงว่าอารมณ์นั้น
มิใช่วิสัยของตน และว่าความปรารถนานำมาแต่ความคับแค้น บรรดาบทเหล่า

นั้น บทว่า ราโค ยตฺถปิ ทานิ เม สิยา ความว่า บัดนี้ ราคะของ
เราพึงมีพึงเป็นในอารมณ์ใด อารมณ์นั้นไม่มีเลยในโลกทั้งเทวโลก. บทว่า
นปิ นํ ชานามิ กีริโส ความว่า เราไม่รู้จักราคะนั้นว่าเป็นเช่นไร คำว่า
อถ ในบทว่า อถ มคฺเคน หโต สมูลโก เป็นเพียงนิบาต ราคะ
พร้อมทั้งราก โดยราก กล่าวคืออโยนิโสมนสิการ ความใส่ใจโดยไม่แยบคาย
เรากำจัดคือถอนได้แล้วด้วยอริยมรรค.
บทว่า อิงฺคาลกุยา ได้แก่ จากหลุมถ่าน. บทว่า อุชฺฌิโต ได้
แก่ เหมือนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่ลมพัดฟุ้งขึ้นแล้ว อธิบายว่า เหมือนเชื้อไฟ.
บทว่า วิสปตฺโตริว ได้แก่ เหมือนภาชนะ ยาพิษ. บทว่า อคฺคิโต กโต
ความว่า ที่ปราศจากคือเอาออกจากไฟ คือถ่านไฟ อธิบายว่า นำออก คือ
ทำลายเสียไม่ให้เหลือแม้เพียงเศษของยาพิษ.
บทว่า ยสฺสา สิยา อปจฺจเวกฺขิตํ ความว่าขันธบัญจกนี้ พึงเป็น
ของอันหญิงใดไม่พิจารณา ไม่กำหนดรู้แล้วด้วยญาณ. บทว่า สตฺตา วา
อนฺสาสิโต สิยา
ความว่า พระศาสดา พึงเป็นผู้อันหญิงใด ไม่เข้าเฝ้าแล้ว
เพราะไม่เห็นตัวธรรม. บทว่า ตฺวํ กาทิสิกํ ปโลภย ความว่า ท่านเอย
โปรดประเล้าประโลม เข้าไปหาหญิงเห็นปานนั้น ผู้ไม่เฟ้นสังขาร ผู้ไม่พิจารณา
โลกุตรธรรม ด้วยกามทั้งหลายเถิด. บทว่า ชานนฺตึ โส อิมํ วิหญฺญสิ
ความว่า ท่านนั้นอาศัยสุภาภิกษุณีรูปนี้ ผู้รู้ความเป็นไปและความกลับตาม
เป็นจริง คือแทงตลอดสัจจะ ย่อมเดือดร้อนเอง คือจะถึงความคับแค้น
ความทุกข์ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต.
บัดนี้ พระเถรีเมื่อจะแสดงความที่ชายผู้นั้น จะถึงความคับแค้น ด้วย
การชี้แจงเหตุ จึงกล่าวว่า มยฺหํ หิ เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า

หิ เป็นนิบาตใช้ในอรรถว่าเหตุ. บทว่า อกฺกุฏฺฐวนฺทิเต ได้แก่ ในการด่า
และการไหว้. บทว่า สุขทุกฺเข ได้แก่ ในสุขและทุกข์ หรือเพราะประสพ
อารมณ์ที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนา. บทว่า สตี อุปฏฺฐิตา ได้แก่ สติ
ที่ประกอบด้วยการพิจารณา มั่นคงตลอดกาล. บทว่า สงฺขตมสุภนฺติ ชานิย
ได้แก่ รู้ธรรมที่เป็นไปในภูมิ 3 ที่เป็นสังขาร ว่าไม่งาม เพราะเป็นที่ไหลออก
ของกิเลสและของไม่สะอาด. บทว่า สพฺพตฺเถว ความว่า ใจของเราไม่ติด
อยู่ใน 3 ภพ ทุกภพ ด้วยกิเลสเครื่องฉาบคือตัณหาเป็นต้นเลย.
บทว่า มคฺคฏฺฐงฺคิกยานยายินี ได้แก่ ดำเนินไปคือเข้าไปสู่บุรีคือ
พระนิพพาน ด้วยยานอันเป็นอริยะ กล่าวคือมรรคประกอบด้วยองค์ 8. บทว่า
อุทฺธฏสลฺลา ได้แก่ มีกิเลสดุจลูกศรคือราคะเป็นต้น อันถอนเสียแล้วจาก
สันดานของตน.
บทว่า สุจิตฺติตา ได้แก่ อันแต่งคือทำให้งามด้วยดี โดยอาการมี
มือเท้าและหน้าเป็นต้น. บทว่า โสมฺภา ได้แก่ รูปเขียน. บทว่า ทารุก-
ปิลฺลกานิ วา
ได้แก่ รูปที่จัดแต่งด้วยท่อนไม้เป็นต้น. บทว่า ตนฺตีหิ
ได้แก่ เอ็นและด้าย. บทว่า ขีลเกหิ ได้แก่ ท่อนไม้ที่เขาตั้งไว้ เพื่อทำ
เป็นมือ เท้า หลังและหูเป็นต้น. บทว่า วินิพทฺธา ได้แก่ ผูกด้วยอาการต่าง
อย่าง. บทว่า วิวิธํ ปนจฺจกา ได้แก่ ทำท่ารำที่เขาจัดตั้งไว้ ด้วยการชัก
และปล่อยเป็นต้น ซึ่งด้ายยนต์เป็นอาทิ. ประกอบความว่า อันเขาเห็นเหมือน
ร่ายรำอยู่.
บทว่า ตมฺหุทฺธเฏ ตนฺติขีลเก ความว่า อาศัยสิ่งที่ประกอบให้วิเศษ
ด้วยการตั้งการแต่งอย่างดี จึงมีชื่อว่ารูป เมื่อด้ายและไม้ เขาถอดออกจากที่ปลด
ออกจากเครื่องผูก ทำกันแลกันให้บกพร่อง เพราะทำให้เป็นส่วน ๆ ก็เรี่ยร้าย
กระจัดกระจาย เพราะทิ้งอยู่ในที่นั้น ๆ. บทว่า น วินฺเทยฺย ขณฺฑโส

กเต ความว่า เมื่อส่วนของรูปใบลาน ถูกทำให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย บุคคล
ก็ไม่พบ ไม่ได้ใบลาน เมื่อเป็นดังนั้น บุคคลจะพึงตั้งใจไว้ในรูปนั้นทำไม
อธิบายว่า บุคคลจะพึงตั้งใจความสำคัญใจ ไว้ในส่วนของรูปใบลานนั้นทำไม
คือพึงตั้งความสำคัญใจ ในตอไม้หรือในเชือก หรือในก้อนดินเป็นต้น สัญญา
นั้นไม่พึงตกไปในอวัยวะที่เป็นวิสังขาร แม้บางคราว.
บทว่า ตถูปมา ได้แก่ ก็เสมือนรูปนั้น คือเสมือนรูปใบลานนั้น.
ถ้าจะถามว่าอะไรเล่าท่านพระเถรีจึงกล่าวว่า เทหกานิ เป็นต้น. บรรดาบท
เหล่านั้น บทว่า เทหกานิ ได้แก่ อวัยวะส่วนแห่งร่างกายมีมือเท้าและหน้า
เป็นต้น. บทว่า มํ ความว่า ปรากฏเนื่องกับเรา. บทว่า เตหิ ธมฺเมหิ
ได้แก่ จากธรรมเหล่านั้น มีปฐวีธาตุเป็นต้น และจักษุเป็นต้น. บทว่า วินา
น วตฺตนฺติ
ความว่า ด้วยว่าชื่อว่าร่างกายพ้นธรรมมีปฐวีธาตุเป็นต้น ที่ตั้ง
โดยประการนั้น ๆ มีอยู่ก็หาไม่. บทว่า ธมฺเมหิ วินา น วตฺตติ ความว่า
ร่างกายเว้นจากอวัยวะคือธรรม คืออวัยวะเสีย ก็ไม่เป็นไปก็ไม่ได้เพื่อเป็นดัง
นั้น บุคคลจะพึงตั้งใจไปในร่างกายนั้นทำไม อธิบายว่า บุคคลจะพึงตั้งใจ
ความสำคัญใจว่า ร่างกายหรืออวัยวะมีมือเท้าเป็นต้นในอะไรเล่า คือในปฐวีธาตุ
หรืออาโปธาตุเป็นต้น เพราะเหตุที่ในความเป็นธรรมคือปฐวีธาตุเป็นต้นและ
ประสาท มีสมัญญาว่าร่างกายบ้าง มือเท้าเป็นต้นบ้าง สัตว์บ้าง หญิงบ้าง
ชายบ้าง ฉะนั้น เราผู้รู้ตามเป็นจริง จึงไม่ยึดมั่นในร่างกายนั้น.
บทว่า ยถา หริตาเลน มกฺขิตํ อทฺทส จิตฺติกํ ภิตฺติยา กตํ
อธิบายว่า บุคคลพึงดู พึงเห็นรูปหญิงที่จิตรกรผู้ฉลาดป้ายระบายด้วยหรดาล
ที่ฝาผนัง คือวาดระบายด้วยหรดาลนั้นให้งดงาม เพราะความพรั่งพร้อมด้วย
กิริยามีการชู (มือ) การทอด [แขน] เป็นต้น ก็มีสัญญาความสำคัญว่า ฝาผนังนี้ที่

ตั้งอยู่โดยไม่พิง เป็นมนุษย์หรือหนอ สัญญานั้นก็ไร้ประโยชน์ เพราะประโยชน์
กล่าวคือความเป็นมนุษย์ไม่มีอยู่ในรูปหญิงนั้น. ส่วนชายผู้นั้นเห็นวิปริตในรูป
หญิงนั้นอย่างเดียวว่าเป็นมนุษย์คือไม่ถือตามความเป็นจริง ทั้งถือว่าเป็นหญิง
ชายในอาการสักว่าเป็นกองแห่งธรรม ฉันใด ข้ออุปไมยนี้ก็พึงเห็นฉันนั้น.
บทว่า มายํ วิย อคฺคโต กตํ ได้แก่ เสมือนพยับแดด ที่ปรากฏ
ข้างหน้า โดยอาการลวง. บทว่า สุปินนฺเตว สุวณฺณปาทปํ ความว่า
ความฝันนั่นแลชื่อว่า สุปินันตะ ประหนึ่งต้นไม้ทองที่ปรากฏในความฝันนั้น.
บทว่า อุปคจฺฉสิ อนฺธ ริตฺตกํ ความว่า ดูก่อนท่านผู้เขลาเหมือนคนตา
บอดเอย ท่านยังจะเข้าไปยึดมั่นอัตภาพนี้ที่ว่างเปล่า เว้นสาระภายใน ดั่งมี
สาระว่านั่นของเรา. บทว่า ชนมชฺเฌริว รุปฺปรูปกํ ความว่า เช่นเดียวกับ
รูปมายากล ที่นักเล่นกลแสดงท่ามกลางมหาชน ปรากฏประหนึ่งว่ามีสาระ
อธิบายว่าไม่มีสาระ.
บทว่า วฏฺฏนิริว แปลว่า เหมือนก้อนครั่ง. บทว่า โกฏโรหิตา
ได้แก่ ตั้งอยู่ในโพรง คือโพรงไม้. บทว่า มชฺเฌ ปุพฺพุฬกา ได้แก่
เสมือนฟองน้ำที่ตั้งขึ้นกลางหนังตา. บทว่า สอสฺสุกา ได้แก่ ประกอบด้วย
น้ำตา. ปิฬโกฬิกา ได้แก่ ขี้ตา. บทว่า เอตฺถ ชายติ ได้แก่ โชย
กลิ่นเหม็นเกิดขึ้นที่ปลายสองข้างที่ดวงตานั้น. อีกนัยหนึ่งต่อมที่เกิด ณ หนังตา
เรียกกันว่า ปิฬโกฬิกา. บทว่า วิวิธา ได้แก่ มากอย่าง โดยวงกลมสีขาว
และเขียว และพื้นทั้ง 7 มีสีแดงและเหลืองเป็นต้น. บทว่า จกฺขุวิธา ได้
แก่ ส่วนแห่งจักษุ หรือประการแห่งจักษุ เพราะจักษุนั้นเป็นกลาปมาก
กลาป. ปิณฺฑิตา ได้แก่ เกิดขึ้น.

พระเถรี ชี้แจงถึงความที่จักษุของผู้ที่ร่านรักให้จักษุเป็นของไม่งาม
และความที่จักษุนั้นเป็นของไม่เที่ยง เพราะตั้งอยู่ไม่ยั่งยืนอย่างนี้แล้ว ครั้นแล้ว
พระเถรีก็ยังถูกชายผู้นั้น ซึ่งร่านรักในจักษุพัวพัน จำต้องควักดวงตาของตน
ให้เขาไป เหมือนคนบางคน ถือเอาสิ่งของซึ่งใคร ๆ ก็อยากได้ เดินทางกัน-
ดารที่มีโจร ถูกพวกโจรพัวพัน ก็จำต้องให้สิ่งของที่น่าอยากได้นั้นไปฉะนั้น
ด้วยเหตุนั้น ท่านพระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวว่า อุปฺปาฏิย จารุทสฺสนา
เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปฺปาฏิย ได้แก่ ควักคือนำออกจาก
เบ้าตา. บทว่า จารุทสฺสนา ได้แก่ ดวงตาที่น่ารัก ดวงตาที่น่าจับใจ. บทว่า
น จ ปชฺชิตฺถ ได้แก่ ไม่ถึงความติดข้องในจักษุนั้น. บทว่า อสงฺคมานสา
ความว่า พระเถรีผู้มีจิตไม่ติดข้องในอารมณ์แม้ไร ๆ จึงกล่าวว่า เชิญรับจักษุ
ที่ท่านต้องการไป ต่อแต่นั้น จงถือเอาก้อนที่ไม่สะอาด ซึ่งท่านสำคัญว่าจักษุ
เพราะเราให้แล้ว ครั้นถือเอาแล้ว จงนำจักษุที่ประกอบด้วยประสาท นำไป
ยังสถานที่ท่านปรารถนาเถิด.
บทว่า ตสฺส จ วิรมาสิ ตาวเท ความว่า ในทันใดนั่นเองคือ
ในขณะที่พระเถรีควักลูกตานั่นแล ราคะ ของชายนักเลงหญิงนั้น ก็หายไป.
บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในลูกตา หรือ ในพระเถรีนั้น อีกนัยหนึ่ง บทว่า
ตตฺถ ได้แก่ ในที่นั้นนั่นเอง. บทว่า ขมาปยิ แปลว่า ให้พระเถรียกโทษ
ให้แล้ว. บทว่า โสตฺถิ สิยา พฺรหมจาริ นี้ความว่า ข้าแต่แม่นางพรหมจารี
ผู้แสวงคุณอันยิ่งใหญ่ ขอความไม่มีโรค พึงมีแก่แม่นางเถิด. บทว่า น ปุโน
เอทิสกํ ภวิสฺสติ
ความว่า เบื้องหน้าแต่นี้ไป จักไม่มีการประพฤติอนาจาร
อย่างนี้ อธิบายว่า ข้าจักไม่ทำละ.

บทว่า อาสาทิย ได้แก่ กระทบ. บทว่า เอทิสํ ได้แก่ ผู้ปราศ
จากราคะในอารมณ์ทั้งปวงเห็นปานนี้. บทว่า อคฺคึ ปชฺชลิตํว ลิงฺคิย ได้แก่
เหมือนกอดไฟที่ลุกโชน.
บทว่า ตโต แปลว่า จากชายนักเลงหญิงนั้น. บทว่า สา ภิคฺขุนี
ได้แก่ พระสุภาภิกษุณีนั้น. บทว่า อคมี พุทฺธวรสฺส สนฺติกํ ได้แก่
เข้าไปยังสำนัก คือเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า. บทว่า ปสฺสิย วรปุญฺญ-
ลกฺขณํ
ได้แก่ เห็นพระมหาปุริสลักษณะอันบังเกิดด้วยบุณยสมภารอันสูงสุด.
บทว่า ยถา ปุราณกํ ได้แก่ จักษุได้กลับเป็นปกติ เหมือนเก่า คือเหมือนเมื่อ
ก่อนควัก. คำที่มิได้กล่าวในระหว่าง ๆ ในเรื่องนี้ ก็รู้ได้ง่ายเหมือนกัน เพราะ
มีนัยที่กล่าวมาแล้ว.
จบอรรถกถาสุภาชีวกัมพวนิกาเถรีคาถา
จบอรรถกถาติงสนิบาต

เถรีคาถา จัตตาฬิสนิบาต


อิสิทาสีเถรีคาถา


[473] พระสังคีติกาจารย์ ตั้งคาถานำเรื่องไว้ 3 คาถาว่า
ในกรุงปาฏลีบุตร ที่มีนามว่า นครแห่งดอกไม้
เป็นแผ่นดินที่ผ่องใส [บริสุทธิ์] มีพระภิกษุณี 2 รูป
ผู้มีคุณสมบัติเป็นตระกูลแห่งศากยราช.
ใน 2 รูปนั้น รูปหนึ่งชื่อว่า อิสิทาสี รูปที่ 2
ชื่อว่า โพธิ ล้วนสมบูรณ์ด้วยศีล ยินดีในการเพ่งฌาน
เป็นพหูสูต กำจัดกิเลสแล้ว ทั้งสองรูปนั้น เที่ยว
บิณฑบาต ฉันและล้างบาตรแล้วก็นั่งอย่างสบายในที่
ปลอดคน ต่างถามตอบด้วยถ้อยคำเปล่านี้.
พระโพธิเถรีถามว่า แม่เจ้าอิสิทาสี แม่เจ้ายัง
ผ่องใส วัยของแม่เจ้าก็ยังไม่เสื่อมโทรม แม่เจ้าเห็น
โทษอะไร จึงมาขวนขวายเนกขัมมะการบวชเล่า.
พระอิสิทาสีเถรีนั้น ถูกพระโพธิเถรีถามอย่างนี้
ในที่ปลอดผู้คน ท่านเป็นผู้ฉลาดในการแสดงธรรม
จึงตอบว่า แม่เจ้าโพธิ โปรดฟังเรื่องตามที่ข้าพเจ้า
บวช (ต่อไป)