เมนู

เถรีคาถา ติงสนิบาต


สุภาชีวกัมพวนิกาเถรีคาถา


[472] พระสุภาชีวกัมพวนิกาเถรี ได้กล่าวคาถาที่ตนกับชาย
นักเลงหญิงกล่าวโต้ตอบกันเป็นอุทานคาถาว่า
พระสุภาเถรีได้เปล่งคาถาเหล่านั้นว่า
ชายนักเลงหญิงยืนกั้นขวางพระสุภาภิกษุ ซึ่ง
กำลังเดินไปชีวกัมพวันวิหาร ที่น่ารื่นรมย์ พระสุภา
ภิกษุณีได้พูดกะชายผู้นั้นว่า
ท่านบุตรช่างทอง ข้าพเจ้าทำผิดอะไรต่อท่าน
จึงมายืนกั้นขวางข้าพเจ้าไว้ ดูก่อนอาวุโส ชายไม่
ควรถูกต้องหญิงนักบวช.
เหตุไร ท่านจึงยืนกั้นข้าพเจ้า ผู้มีบทอันบริสุทธิ์
ด้วยสิกขาที่พระสุคตทรงแสดงไว้ในสัตถุศาสนาของ
ข้าพเจ้าที่ควรเคารพ ผู้ไม่มีกิเลสดังเนิน เหตุไร ท่าน
ผู้มีจิตขุ่นมัว จึงยืนกั้นเราผู้ไม่มีจิตขุ่นมัว เหตุไร ท่าน
ผู้มีจักมีราคะ จึงยืนกั้นเราผู้ปราศจากราคะ ผู้ไม่มี
กิเลสดังเนิน ผู้ใจหลุดพ้นแล้ว ในขันธ์ทั้งปวง.

ชายนักเลงหญิงกล่าวว่า
แม่นางยังสาว สวยไม่ทรามเลย บรรพชาจักทำ
อะไรแก่แม่นางได้ โปรดทิ้งผ้ากาสยะเสีย มาสิ เรา
มาร่วมอภิรมย์กัน ในป่าที่มีดอกไม้บานงามเถิด.

ต้นไม้ทั้งหลาย เกิดขึ้นด้วยเกสรดอกไม้โชยกลิ่น
หอมตลบไปทั่วป่า ฤดูต้นวสันต์น่าสบาย เรามา
ร่วมอภิรมย์กัน ในป่าที่มีดอกไม้บานงามเถิด.
ต้นไม้ทั้งหลาย ยอดออกดอกบานแล้ว ต้องลม
ไหวระริก ดังจะมีเสียงครวญ แม่นางจักมีความยินดี
อะไร ผิว่า แม่นางจักเข้าป่าเพียงผู้เดียว.
ป่าใหญ่ หมู่สัตว์ร้ายอาศัยอยู่ คลาคล่ำด้วยช้าง
พลายตกมันและช้างพัง ไม่มีผู้คน น่าสะพรึงกลัว แม่
นางไม่มีเพื่อน ยังปรารถนาจะเข้าไปหรือ.
แม่นางผู้งามไม่มีใครเปรียบเอย แม่นางท่องเที่ยว
ไป เหมือนตุ๊กตา ที่ช่างสร้างด้วยทอง แม่นางตามใจ
ข้า ก็จะงดงามด้วยผ้าสวย ที่เนื้อเกลี้ยงเกลาละเอียด
ของแคว้นกาสี ดังเทพนารีในสวนจิตรลดา เชียวละ.
แม่นางผู้มีดวงตาโศกดังกินนรีเอย ข้าจะยอมอยู่
ใต้อำนาจแม่นาง ถ้าเราจะอยู่ร่วมกันในกลางป่า เพราะ
สัตว์ที่น่ารักกว่าแม่นางของข้าไม่มีเลย.
ถ้าแม่นางเชื่อข้า ก็จะมีความสุข มาสิ มาครอง
เรือนกัน แม่นางจะอยู่บนปราสาทที่ปราศจากลมพาน
หญิงทั้งหลายจะคอยปรนนิบัติแม่นาง แม่นางจะนุ่งห่ม
ผ้าเนื้อละเอียดของแคว้นกาสี สวมมาลัยลูบไล้ประ-
เทืองผิว ข้าจะทำอาภรณ์เครื่องประดับต่าง ๆ มากชนิด
ที่เป็นทอง แก้วมณีและมุกดา แก่แม่นาง.

เชิญขึ้นที่นอนไหมมีค่ามาก สวยงาม ปูด้วยผ้า
โกเชาว์ยาว อ่อนนุ่มดังสำลี คลุมด้วยผ้าที่ซักธุลี
สะลาดแล้ว ตกแต่งด้วยจันทนแก่นหอม.
ดอกอุบลโผล่พ้นน้ำ มิมีมนุษย์เชยชมแล้ว ฉัน
ใด แม่นางก็เป็นพรหมจาร ฉันนั้น เมื่อส่วนแห่ง
เรือนร่างของแม่นาง ยังไม่มีใครเชยชม ก็จะชราร่วง
โรยไปเสียเปล่า ๆ.

พระสุภาเถรีถามว่า
ในร่างที่มีอันจะต้องแตกสลายเป็นธรรมดา ซึ่ง
เต็มด้วยซากศพ รังแต่จะรกป่าช้านี้ อะไรที่ท่านเข้าใจ
ว่าเป็นสาระ เพราะเห็นสิ่งใด จึงเกิดติดใจขึ้นมา
ขอท่านโปรดบอกสิ่งนั้นมาสิ.

ชายนักเลงหญิงตอบว่า
เพราะเห็นดวงตาของแม่นาง ประดุจดวงตาของ
ลูกเนื้อทราย ประดุจดวงตาของกินนรีในระหว่างเขา
ฤดีรักของข้าก็ยังกำเริบ.
เพราะเห็นดวงตา อุปมาดังยอดดอกอุบลและ
ดวงหน้าพิมลดังรูปทองของแม่นาง ความใคร่ความ
ปรารถนาของข้าก็ยิ่งกำเริบ.
แม่นางผู้มีดวงตาโศกดังกินนรีเอย แม่ข้าจะไป
ไกลแสนไกล ก็จะยังคงรำลุกถึงดวงตาอันบริสุทธิ์ ที่
มีขนตายาวงอน เพราะว่า อะไร ๆ ที่น่ารักกว่าดวงตา
ของแม่นาง สำหรับข้า ไม่มีเลย.

พระสุภาเถรีกล่าวว่า
ท่านมาต้องการข้าพเจ้าผู้เป็นบุตรของพระพุทธเจ้า
ก็ชื่อว่า ท่านปรารถนาจะไปเดินตามทางที่มิใช่ทาง
ชื่อว่า แสวงหาดวงจันทร์เอามาเป็นของเล่น ชื่อว่า
ต้องการจะกระโดดขึ้นเขาพระสิเนรุ.
เพราะว่าในโลกพร้อมทั้งเทวโลก บัดนี้ ข้าพเจ้า
ไม่มีอารมณ์ ที่มีราคะความกำหนัดเลย ข้าพเจ้า
ไม่รู้ดอกว่า ราคะนั้นเป็นเช่นไร เพราะราคะนั้น
ข้าพเจ้ากำจัดเสียแล้ว พร้อมทั้งราก ด้วยอริยมรรค.
ราคะนั้น ข้าพเจ้ายกออกแล้ว เหมือนเอาเชื้อ-
ไฟออกจากหลุมถ่านไฟ เหมือนเอาภาชนะใส่ยาพิษ
ออกจากไฟ ข้าพเจ้าไม่รู้ดอกว่า ราคะนั้น เป็นเช่นไร
เพราะราคะนั้น ข้าพเจ้ากำจัดเสียแล้ว พร้อมทั้งราก
ด้วยอริยมรรค.
หญิงผู้ใด ไม่พิจารณาปัญจขันธ์ หรือไม่เข้าเฝ้า
พระศาสดา ขอท่านโปรดประเล้าประโลมหญิงเช่นนั้น
เถิด ท่านนั้นจะต้องเดือดร้อน เพราะสุภาภิกษุณี ซึ่ง
รู้ตามความจริงผู้นี้.
เพราะว่า สติของข้าพเจ้ามั่นคงไม่ว่าในการด่า
และการไหว้ และในสุขและทุกข์ เพราะรู้ว่าสังขต-
สังขารที่ปัจจัยปรุงแต่งเป็นอสุภะไม่งาม ใจข้าพเจ้าจึง
ไม่ติดอยู่ในอารมณ์ทั้งปวงเลยทีเดียว.

ข้าพเจ้านั้น เป็นสาวิกาของพระสุคต ดำเนินไป
ด้วยยาน คือมรรคอันประกอบด้วยองค์ 8 ถอนกิเลส
ดุจลูกศรเสียแล้ว ไม่มีอาสวะ ยินดีอยู่แต่ในเรือนว่าง.
รูปเขียน ที่ช่างบรรจงเขียนไว้สวยงาม หรือรูป
ไม้ รูปใบลาน ที่เขาผูกด้วยด้าย และติดไว้ด้วยตะปู
ทำท่ารำต่าง ๆ ข้าพเจ้าเห็นมาแล้วเมื่อรูปนั้นถูกรื้อออก
ปลดด้ายและตะปูออก ก็บกพร่อง [ไม่เป็นรูป] กระจัด
กระจายออกเป็นชิ้น ๆ ก็ไม่พึงได้สภาพที่ชื่อว่ารูป
บุคคลจะพึงตั้งใจไว้ในรูปนั้นไปทำไม.
ร่างกายนี้ ก็เปรียบด้วยรูปนั้น เว้นจากธรรม
เหล่านั้นเสีย ก็เป็นไปไม่ได้ แม้ร่างกาย เว้นจาก
ธรรมทั้งหลายเสียก็เป็นไปไม่ได้ บุคคลจะพึงตั้งใจไว้
ในรูปนั้นไปทำไม.
บุคคลพึงดูรูปจิตรกรรม ที่จิตรกรระบายด้วย
หรดาล ทำไว้ที่ฝาผนัง ในจิตรกรรมนั้น ท่านก็ยัง
เห็นวิปริต สัญญาความสำคัญว่ามนุษย์ ไร้ประโยชน์
จริง ๆ.
ดูก่อนคนตาบอด ท่านยังจะเข้าไปใกล้ร่างที่ว่าง
เปล่า เหมือนพะยับแดดที่ปรากฏต่อหน้า โดยอาการ
ลวง เหมือนต้นไม้ทองในความฝัน เหมือนรูปของ
มายากล ที่นักเล่นกลแสดงกลางฝูงชนว่าเป็นของจริง.
ฟองที่อยู่กลางดวงตา มีน้ำตา มีมูลตา เกิดที่
ดวงตานั้น ส่วนของดวงตาต่าง ๆ ก็มารวมกัน เหมือน

ก้อนครั่ง ที่วางอยู่ในโพรงไม้ พระสุภาเถรี ผู้มี
ดวงตางาม มีใจไม่ข้องไม่ติดในดวงตานั้น ก็ควัก
ดวงตาออกจากเข้าตา ส่งมอบให้ชายนักเลงหญิงผู้นั้น
ทันที พร้อมกับกล่าวว่า เชิญนำดวงตานั้นไปเถิด
ข้าพเจ้าให้ท่าน.
ในทันใดนั้นเอง ความร่านรักในดวงตานั้น ของ
ชายนักเลงหญิงนั้น ก็หายไป เขาขอขมาพระเถรี
ด้วยคำว่า
ข้าแต่แม่นางผู้เป็นพรหมจารี ขอความสวัสดี
พึงมีแก่แม่นางเถิด ความประพฤติอนาจารเช่นนี้ จัก
ไม่มีต่อไปอีกละ.

พระสุภาเถรีกล่าวว่า
ท่านกระทบกระทั่งชนเช่นข้าพเจ้า ก็เหมือนกอด
กองไฟที่ลุกโชน เหมือนจับงูพิษร้าย ความสวัสดีก็
คงมีแก่ท่านบ้างดอก ข้าพเจ้ารับขมาท่าน.
พระสุภาภิกษุณีนั้น พ้นจากชายนักเลยหญิงนั้น
แล้ว ไปสำนักพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ พอเห็นพระ
บุณยลักษณ์ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ จักษุก็กลับ
เป็นปกติเหมือนอย่างเดิม.

จบ สุภาชีวกัมพวนิกาเถรีคาถา

เถรีคาถา ติงสนิบาต


อรรถกถาสุภาชีวกัมพวนิกาเถรีคาถา


ในติงสนิบาต คาถาว่า ชีวกมฺพวนํ รมฺมํ เป็นต้น เป็นคาถา
ของพระสุภาชีวกัมพวนิกาเถรี มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
พระเถรีแม้รูปนี้ ก็ได้บำเพ็ญบารมีมาในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ
สร้างสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน มาในภพนั้น ๆ อบรมกุศลมลเพิ่ม
พูนสัมภารธรรมเครื่องปรุงแต่งวิโมกข์มาโดยลำดับ มีญาณแก่กล้า มาใน
พุทธุปบาทกาลนี้ ก็บังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ในกรุงราชคฤห์
มีนามว่าสุภา.
เล่ากันมาว่า นางมีส่วนแห่งเรือนร่างประกอบด้วยผิวพรรณดั่งทอง
เพราะฉะนั้น นางจึงมีนามคล้อยตามไป ด้วยว่า สุภา แปลว่า งาม ขณะ
พระศาสดาเสด็จเข้าไปกรุงราชคฤห์ นางก็ได้ศรัทธาเป็นอุบาสิกา ต่อมา เกิด
ความสังเวชในสังสารวัฏ เห็นโทษในกามทั้งหลาย และกำหนดเอาเนกขัมมะ
การบวชเป็นทางเกษม บวชในสำนักพระนางปชาบดีโคตมี บำเพ็ญวิปัสสนา
2-3 วันเท่านั้น ก็ดำรงอยู่ในพระอนาคามิผล.
ต่อมา วันหนึ่ง ชายนักเลงหญิงคนหนึ่ง เป็นชาวกรุงราชคฤห์
เป็นหนุ่มแรกรุ่น เห็นพระเถรีกำลังเดินไปเพื่อพักกลางวันที่ชีวกัมพวันวิหาร
เกิดจิตปฏิพัทธ์ขึ้นมา ก็ยืนกั้นขวางทางไว้ กล่าวเชิญชวนด้วยกามารมณ์
พระเถรีเมื่อจะประกาศโทษของกามทั้งหลาย และอัธยาศัยในเนกขัมมะการบวช
ของตนด้วยประการต่าง ๆ จึงกล่าวธรรมแก่ชายผู้นั้น ชายผู้นั้นแม้ฟังธรรม-
กถาแล้วก็ไม่ยอมถอย ยังติดตามอยู่นั่นแหละ พระเถรีเห็นเขาไม่อยู่ในถ้อยคำ