เถรีคาถา ทุกนิบาต
ว่าด้วยคาถาต่าง ๆ ในทุกนิบาต
1. นันทาเถรีคาถา
[420] ดูก่อนนันทา เธอจงเห็นร่างกายอันกระดูก
300 ท่อนยกขึ้นแล้ว อันกระสับกระส่าย ไม่สะอาด
เปื่อยเน่า จงอบรมจิตให้ตั้งมั่น มีอารมณ์เดียว ด้วย
อสุภภาวนา อนึ่ง เธอจงอบรมจิตให้หานิมิตมิได้ ละ
เสียซึ่งอนุสัยคือมานะ เพราะการละมานะได้นั้น เธอ
จักเป็นผู้สงบเที่ยวไป.จบ นันทาเถรีคาถาอรรถกถาทุกนิบาต
1. อรรถกถาอภิรูปนันทาเถรีคาถา
ในทุกนิบาต มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
คาถาว่า อาตุรํ อสุจึ ปูตึ เป็นต้น เป็นคาถาสำหรับนางสิกข-
มานาชื่ออภิรูปนันทา.
เล่ากันว่า นางสิกขมานาชื่ออภิรูปนันทานี้ เป็นธิดาของคฤหบดี
มหาศาล ในพันธุมตีนคร ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี ฟัง
ธรรมในสำนักของพระศาสดา ตั้งอยู่ในสรณะและศีลห้า เมื่อพระศาสดา
ปรินิพพานแล้ว ได้บูชาพระธาตุเจดีย์ด้วยฉัตรทองที่ประดับด้วยรัตนะแล้วตาย
ไปบังเกิดในสวรรค์ ท่องเที่ยวไปๆ มาๆ อยู่ในสุคติภูมินั่นเอง ในพุทธุป-
ปาทกาลนี้ บังเกิดในครรภ์พระอัครมเหสีของ เจ้าศากยเขมกะ ในกรุง
กบิลพัสดุ์ เธอมีชื่อว่า นันทา พระนางนันทานั้น มีรูปงามน่าทัศนาน่าเลื่อม
ใส จึงได้รู้กันทั่วไปว่า ชื่อว่า อภิรูปนันทา เพราะอัตภาพร่างกายถึงความ
งามเลิศของรูปอย่างเหลือเกิน เมื่อเธอเจริญวัย ศากยกุมารผู้เป็นคนรักอย่าง
ยิ่งได้สิ้นพระชนม์เสียในวันหมั้นนั่นเอง คราวนั้น พระชนกชนนีจึงให้บวช
เธอผู้ไม่ต้องการบวช.
ภิกษุณีอภิรูปนันทานั้นแม้บวชแล้วก็ยังมีความเมาเพราะอาศัยรูป ไม่
ไปปฏิบัติบำรุงพระพุทธเจ้าด้วยเข้าใจว่า พระศาสดาทรงตำหนิติเตียนรูป ทรง
แสดงโทษโดยอเนกปริยาย พระศาสดาทรงทราบว่าเธอมีญาณแก่กล้าแล้ว ทรง
สั่งพระมหาปชาบดีว่า ภิกษุณีทั้งหมดจงมารับโอวาทตามลำดับเมื่อถึงวาระของ
ตน เธอส่งภิกษุณีรูปอื่นไป พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เมื่อถึงวาระ ภิกษุณี
พึงไปด้วยตนเอง ไม่พึงส่งรูปอื่นไป เธอไม่อาจละเมิดคำสั่งของพระศาสดาได้
จึงได้ไปปฏิบัติบำรุงพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุณีทั้งหลาย พระผู้มีพระภาค-
เจ้าทรงเนรมิตรูปหญิงงามคนหนึ่งด้วยฤทธิ์ แล้วทรงแสดงรูปแก่หง่อมให้เธอ
เกิดความสังเวช ได้ภาษิต 2 พระคาถานี้ว่า
ดูก่อนนันทา เธอจงเห็นร่างกายอันกระดูก
300 ท่อนยกขึ้นแล้ว อันกระสับกระส่าย ไม่สะอาด
เปื่อยเน่า จงอบรมจิตให้ตั้งมั่นมีอารมณ์เดียวด้วยอสุภ-
ภาวนา อนึ่งเธอจงอบรมจิตให้หานิมิตมิได้ ละเสีย
ซึ่งอนุสัยคือมานะ เพราะการละมานะได้นั้น เธอจัก
เป็นผู้สงบเที่ยวไป.
เนื้อความของคาถาเหล่านั้น มีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
ในเวลาจบคาถา ภิกษุณีอภิรูปนั้นทาบรรลุพระอรหัต เพราะเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า1
ในพระนครอรุณวดี มีกษัตริย์พระนามว่า
อรุณราช หม่อมฉันเป็นมเหสีของท้าวเธอ ประพฤติ
ร่วมกัน ในกาลนั้น หม่อนฉันอยู่ในที่ลับนั่งคิดอย่าง
นี้ว่า บุญกุศลที่พอจะถือเอาไปได้ เราไม่ได้ทำไว้เลย
เราจะต้องตกนรกที่มีความเร่าร้อนมาก ทั้งเผ็ดร้อนร้าย
แรงแสนทารุณเป็นแน่ เราไม่สงสัยในเรื่องนี้ ครั้น
คิดอย่างนี้แล้วหม่อมฉันทำใจให้ร่าเริงเข้าเฝ้าพระราชา
กราบทูลคำนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ หม่อนฉันเป็นหญิง
ย่อมติดตามชายทุกเมื่อ ขอพระองค์โปรดประทาน
สมณะองค์หนึ่งแก่หม่อมฉัน หม่อมฉันจักให้ท่านฉัน
พระเจ้าข้า พระราชาผู้ใหญ่ได้ประทานสมณะผู้อบรม
อันทรีย์แล้วแก่หม่อมฉัน หม่อมฉันดีใจรับบาตรของ
ท่านเอาภัตตาหารอย่างประณีตใส่จนเต็ม ครั้นแล้วได้
ถวายผ้าคู่หนึ่งซึ่งมีราคาเป็นพันให้ท่านครอง ด้วย
กุศลกรรมที่ทำไว้นั้น และด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่
หม่อมฉันละร่างกายมนุษย์ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ได้เป็นมเหสีของเทวราชหนึ่งพันองค์ ได้เป็นมเหสี
ของพระเจ้าจักรพรรดิหนึ่งพันองค์ และได้เป็นมเหสี
ของพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยจะคณานับมิได้
ได้บุญมีอย่างต่าง ๆ เป็นอันมาก ซึ่งเกิดแต่ผลกรรมที่
1. ขุ. 33/ข้อ 173 และ 176 อปปลทายิกาเถรีอปทาน.
ถวายบิณฑบาตนั้น หม่อนฉันมีผิวพรรณเหมือนดอก
บัว เป็นหญิงงามน่าทัศนา สมบูรณ์ด้วยอวัยวะทั้งปวง
เป็นอภิชาติทรงไว้ซึ่งความรุ่งเรื่อง เมื่อเกิดครั้งสุดท้าย
หม่อนฉันได้เกิดในศากยตระกูล เป็นราชธิดาของ
พระเจ้าสุทโธทนะ เป็นประมุขของนารีพันหนึ่ง เบื่อ
หน่ายต่อการครองเรือนจึงออกบวชเป็นภิกษุณี ครั้น
ถึงราตรีที่ 7 ได้บรรลุอริยสัจ 4 หม่อมฉันไม่อาจ
จะประมาณจีวร บิณฑบาต ปัจจัย และเสนาสนะ
(ที่ทายกทายิกาถวาย) นี้เป็นผลแห่งบิณฑบาต ข้าแต่
พระมุนี กุศลกรรมก่อน ๆ ของหม่อมฉันอันใดที่
พระองค์ทรงทราบ ข้าแต่พระมหาวีระ กุศลกรรมนั้น
เป็นอันมาก หม่อมฉันได้สั่งสมเพื่อประโยชน์แก่
พระองค์ ในกัปที่ 31 แต่ภัทรกัปนี้ หม่อมฉันได้
ถวายทานใดในกาลนั้น ไม่รู้จักทุคติ นี้เป็นผลแห่ง
ทานนั้นคือบิณฑบาตทาน.
หม่อมฉันรู้จักคติ 2 คือเทวดาและมนุษย์ ไม่
รู้จักคติอื่น นี้เป็นผลแห่งบิณฑบาต หม่อมฉันรู้จัก
ตระกูลสูงซึ่งเป็นตระกูลมหาศาลมีทรัพย์มาก ไม่รู้จัก
ตระกูลอื่น นี้เป็นผลแห่งบิณฑบาต หม่อมฉันท่อง
เที่ยวไปในภพน้อยใหญ่ อันกุศลมูลตักเตือนแล้ว ไม่
เห็นสิ่งที่ไม่ชอบใจ นี้เป็นผลแห่งโสมนัส ข้าแต่
พระมหามุนี หม่อมฉันเป็นผู้มีความชำนาญในฤทธิ์
และในทิพโสตธาตุ เป็นผู้มีความชำนาญในเจโต-
ปริยญาณ รู้ปุพเพนิวาสญาณ และทิพยจักษุอันบริสุทธิ์
มีอาสวะทั้งปวงสิ้นไปแล้ว บัดนี้ภพใหม่มิได้มี ข้าแต่
พระมหาวีระ หม่อมฉันมีญาณในอรรถ ในธรรม
ในนิรุตติและปฏิภาณ เกิดขึ้นในสำนักของพระองค์
หม่อมฉันเผากิเลสแล้ว ฯลฯ หม่อมฉันปฏิบัติคำสอน
ของพระพุทธเจ้าแล้ว.
จบ อรรถกถาอภิรูปนันทาเถรีคาถา
2. ชันตาเถรีคาถา
[421] โพชฌงค์ 7 เหล่านี้ใด เป็นทางแห่งการ
บรรลุพระนิพพาน โพชฌงค์ 7 เหล่านั้นทั้งหมด
ข้าพเจ้าเจริญแล้วอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะ
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นข้าพเจ้าเห็นแล้ว ร่างกายนี้มี
ในที่สุด ชาติสงสารขาดสิ้นแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี.จบ ชันตาเถรีคาถา2. อรรถกถาชันตาเถรีคาถา
คาถาว่า เย อิเม สตฺต โพชฺฌงฺคา เป็นต้น เป็นคาถาของ
พระเถรีชื่อชันตา.