เมนู

อรรถกถสัตตกนิบาต


1. อรรถกถาอุตตราเถรีคาถา


ในสัตตกนิบาต คาถาว่า มุสลานิ คเหตฺวาน ดังนี้เป็นต้น
เป็นคาถาของพระอุตตราเถรี มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
พระเถรีแม้รูปนี้ ได้บำเพ็ญบารมีมาในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ
สะสมกุศล ซึ่งเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานมาในภพนั้น ๆ ได้บำเพ็ญกุศลมูล
สร้างสมธรรมเครื่องปรุงแต่งวิโมกข์มาโดยลำดับ มีธรรมเครื่องอบรมบ่มวิมุตติ
แก่กล้า ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในเรือนของครอบครัวแห่งหนึ่ง ได้นามว่า
อุตตรา รู้เดียงสาแล้วเข้าไปยังสำนักพระปฏาจาราเถรี. พระเถรี ได้กล่าว
ธรรมแก่นาง นางฟังธรรมเกิดสังเวชในสังสารวัฏ เป็นผู้เลื่อมใสยิ่งในศาสนา
ก็บวช ครั้นบวชแล้ว ทำกิจเบื้องต้นเสร็จ เริ่มวิปัสสนาในสำนักของพระ-
ปฏาจาราเถรี ประกอบภาวนาอยู่เนือง ๆ คร่ำเคร่งวิปัสสนาอยู่ไม่นานนัก
ก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา 4 เพราะอินทรีย์แก่กล้า เหตุที่สมบูรณ์
ด้วยอุปนิสัย ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้วพิจารณาการปฏิบัติของตน ได้กล่าวคาถา
เหล่านี้เป็นอุทานว่า
พระปฏาจาราเถรี ให้โอวาทว่า
มาณพทั้งหลายพากันถือสากตำข้าวอยู่ ได้ทรัพย์
มาเลี้ยงดูบุตรภรรยา ท่านทั้งหลายก็จงพากเพียรในคำ
สั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทำแล้วไม่ต้องเดือดร้อนใน
ภายหลัง ท่านทั้งหลายจงรีบล้างเท้าแล้วนั่ง ณ ที่ควร
ข้างหนึ่ง จงเข้าไปตั้งจิตไว้ให้มีอารมณ์เดียว ตั้งมั่น

ด้วยดีแล้วพิจารณาสังขารทั้งหลาย โดยความเป็นของ
แปรปรวน และโดยความเป็นของไม่ใช่ตน.

พระอุตตราเถรีกล่าวว่า
ข้าพเจ้าได้ฟังคำพร่ำสอนของพระปฏาจาราเถรี
นั้นแล้ว ล้างเท้าเข้าไปนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ใน
ปฐมยามแห่งราตรี ข้าพเจ้าก็ระลึกชาติก่อนได้ ใน
มัชฌิมยามแห่งราตรี ก็ชำระทิพยจักษุได้หมดจด ใน
ปัจฉิมยามแห่งราตรี ก็ทำลายกองแห่งความมืด [อวิช-
ชา] ได้ ข้าพเจ้าได้บรรลุวิชชา 3 จึงลุกจากอาสนะ
ในภายหลัง ข้าพเจ้าทำตามคำพร่ำสอนของแม่ท่าน
แล้ว ข้าพเจ้าเป็นผู้มีวิชชา 3 ไม่มีอาสวะ ห้อมล้อม
แม่ท่านอยู่ ดุจทวยเทพชั้นดาวดึงส์ พากันห้อมล้อม
ท้าวสักกะผู้ชนะสงครามฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จิตฺตํ อุปฏฺฐเปตฺวาน ได้แก่ เข้าไป
ตั้งจิต ประกอบด้วยภาวนาไว้ในกัมมัฏฐาน อย่างไร คือให้จิตมีอารมณ์เดียว
ตั้งมั่นด้วยดี. บทว่า เอกคฺคํ สุสมาหิตํ ปจิจเวกิขถ ได้แก่ ท่านทั้งหลาย
จงพิจารณาการปฏิบัติ อธิบายว่า ท่านทั้งหลายจงเห็นแจ้งลักษณะสามในสังขาร
ว่าเป็นของไม่เที่ยงบ้าง ว่าเป็นทุกข์บ้าง ว่าเป็นอนัตตาบ้าง ก็คำนี้พระเถรีกล่าว
คล้อยตามโอวาทของภิกษุณีเหล่าอื่น และพระเถรีเป็นต้นของตนในเวลาโอวาท.
บทว่า ปฏาจารานุสาสนึ ได้แก่ คำพร่ำสอนของพระปฏาจาราเถรี. อีกอย่าง
หนึ่งบาลีว่า ปฏาจาราย สาสนํ ดังนี้ก็มี ได้แก่คำสั่งสอนของพระปฏาจาราเถรี.
บทว่า อถ วุฏฺฐาสึ ความว่า เพราะข้าพเจ้าบรรลุวิชชา 3 จึงลุก
จากอาสนะภายหลัง วันหนึ่งพระเถรีแม้รูปนี้ ชำระกัมมัฏฐานในสำนักของ

พระปฏาจาราเถรีแล้ว เข้าไปสถานที่อยู่ของตนแล้วนั่งขัดสมาธิ ตกลงใจว่า
ข้าพเจ้าจักไม่เลิกนั่งขัดสมาธินี้ ตราบเท่าที่จิตของข้าพเจ้ายังไม่หลุดพ้นจาก
อาสวะทั้งหลาย เพราะความไม่ถือมั่นคร่ำเคร่งวิปัสสนาโดยลำดับ ก็บรรลุ
พระอรหัตมีอภิญญาและปฎิสัมภิทาเป็นบริวารตามลำดับแห่งมรรค ครั้นปัจจ-
เวกขณญาณ 19 อย่างดำเนินไป ก็เกิดโสมนัสว่า บัดนี้เราทำกิจเสร็จแล้ว ก็
กล่าวอุทานคาถาเหล่านี้ เหยียดเท้าออกไปในเวลาอรุณขึ้น ต่อแต่นั้น ราตรี
สว่าง ก็ไปยังสำนักของพระเถรี ได้กล่าวซ้ำคาถาเหล่านี้ ด้วยเหตุนั้น พระ-
อุตตราเถรีจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า กตา เต อนุสาสนี ข้าพเจ้าได้ทำตามคำ
พร่ำสอนของท่านแล้ว. คำที่เหลือ มีนัยที่กล่าวมาในหนหลังหมดแล้ว.
จบอรรถกถาอุตตราเถรีคาถา

2. จาลาเถรีคาถา


[460] พระจาลาเถรี กล่าวคาถาอุทานว่า
ข้าพเจ้าเป็นภิกษุณี ผู้มีอินทรีย์อันอบรมแล้วเข้า
ไปตั้งสติไว้มั่น รู้แจ้งตลอดสันตบท อันเป็นเครื่อง
เข้าไประงับสังขาร เป็นสุข.

มารผู้มีบาป ถามว่า
แม่นางศีรษะโล้น ทำตัวเหมือนสมณะ แม่นาง
บวชเจาะจงใครหนอ. แก่นางไม่ชอบใจลัทธิเดียรถีย์
ทำไมแม่นางจึงยังงมงายประพฤติลัทธินี้เล่า.

พระจาลาเถรี ตอบว่า