เมนู

ปรมัตถทีปนี


อรรถกถาขุททกนิกาย เถรีคาถา


ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


อรรถกถาเอกนิบาต


1. อรรถกถาอัญญตราเถรีคาถา


ในเอกนิบาตมีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บัดนี้ ถึงโอกาสที่จะพรรณนาเนื้อความเถรีคาถาตามลำดับแล้ว เพราะ
ในเถรีคาถานั้น เมื่อได้พรรณนาเนื้อความประกาศประการที่เหล่าภิกษุณีได้
บรรพชาและอุปสมบทแต่ต้นนั้นในที่นี้ การชี้แจงอัตถุปัตติเหตุเกิดขึ้นของ
คาถาทั้งหลายในเรื่องนั้น ๆ ย่อมทำได้ง่ายและปรากฏชัด ฉะนั้น เพื่อประกาศ
ความนั้น พึงทราบอนุปุพพีกถาตั้งแต่ต้นโดยย่อดังต่อไปนี้ :-
ความย่อว่า พระโลกนาถศาสดาพระองค์นี้ทรงประชุมองค์แปดที่ตรัส
ไว้โดยนัยว่า มนุสฺสตฺตํ ลิงฺคสมฺปตฺติ ความเป็นมนุษย์ ความสมบูรณ์ด้วย
เพศเป็นต้น สร้างมหาภินิหารแทบบาทมูลของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า
ทีปังกร ทรงบำเพ็ญบารมี 30 ทัศ ได้พยากรณ์ในสำนักของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย 24 พระองค์ ทรงบำเพ็ญบารมีโดยลำดับ ถึงยอดแห่งญาตัตถจริยา
และโลกัตถจริยา บังเกิดในภพชั้นดุสิต ดำรงอยู่ในภพชั้นดุสิตนั้นตลอดอายุ
เทวดาในหมื่นจักรวาลอาราธนาให้อุบัติเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้า ด้วย
คำว่า

ข้าแต่มหาวีระ ได้เวลาที่พระองค์จะเสด็จ
อุบัติในพระครรภ์พระมารดา ตรัสรู้อมตบท ยัง
มนุษยโลกพร้อมเทวโลกให้ข้ามโอฆสงสารแล้ว.

ทรงประทานปฏิญญาแก่เทวดาเหล่านั้น แล้วทรงทำปัญจมหาวิโลกนะ
ทรงมีพระสติสัมปชัญญะเสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดา ในพระตำหนักของ
พระเจ้าสุทโธทนมหาราช ในศากยราชตระกูล ทรงมีพระสติสัมปชัญญะอยู่ใน
พระครรภ์นั้น 10 เดือน ทรงมีพระสติสัมปชัญญะเสด็จออกจากพระครรภ์ได้
พระอภิชาติที่ลุมพินีวัน ได้รับการดูแลอย่างดีด้วยการดูแลที่ยิ่งใหญ่ ตั้งต้น
แต่จัดพี่เลี้ยงไว้หลายเหล่า ทรงเจริญวัยโดยลำดับ แวดล้อมไปด้วยนักฟ้อนรำ
หลายชนิด ในปราสาทสามหลัง เสวยสมบัติดุจเทวดา ทรงสลดพระทัย
เพราะเห็นคนแก่ คนเจ็บ และคนตาย ทรงเห็นโทษในกามและอานิสงส์ใน
เนกขัมมะ เพราะญาณแก่กล้า ในวันที่ราหุลกุมารประสูติ พระองค์มีนายฉันนะ
เป็นสหาย ทรงกัณฐกอัศวราช เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ยามเที่ยงคืน ทาง
ประตูที่เหล่าเทวดาเปิดถวาย เสด็จผ่านแคว้นที่มีพระราชาปกครองสามแคว้น
ในราตรีนั้นเอง เสด็จถึงฝั่งอโนมานที ทรงรับธงชัยของพระอรหัตที่ฆฏิการ-
มหาพรหมนำมาถวาย ทรงบรรพชาเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอากัปกิริยาเหมือนพระ -
เถระ 60 พรรษาในขณะนั้นนั่นเอง, เสด็จถึงกรุงราชคฤห์โดยลำดับด้วยพระ
อิริยาบถน่าเลื่อมใส เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์นั้นแล้ว ประทับนั่ง
เสวยบิณฑบาตที่เงื้อมเขาปัณฑวะ พระเจ้าพิมพิสารราชาของชาวมคธทรง
เชื้อเชิญให้ครองราชสมบัติ (ร่วมกับพระองค์) ทรงปฏิเสธเรื่องนั้น เสด็จไป
อารามของท่านภัคควะ ทรงศึกษาลัทธิของท่านภัคควะนั้น จากนั้นทรงศึกษา
ลัทธิของท่านอาฬารดาบสและท่านอุทกดาบส ไม่ทรงพอพระทัยลัทธิทั้งหมด

นั้น เสด็จไปยังตำบลอุรุเวลาตามลำดับ ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาอยู่ 6 ปี ที่
ตำบลนั้น ทรงทราบว่าทุกกรกิริยานั้นไม่ทำให้ตรัสรู้อริยธรรมได้ มีพระดำริ
ว่า นี้ไม่ใช่ทางตรัสรู้ ทรงนำอาหารหยาบมาบำรุงกำลังอยู่สองสามวัน ใน
วันวิสาขบุณมี เสวยโภชนะอย่างประเสริฐ (มธุปายาส) ที่นางสุชาดาถวาย
แล้วทรงลอยถาดทองทวนกระแสน้ำในแม่น้ำ (เนรัญชรา) ทรงลงความเห็น
ในที่สุดว่า เราจักตรัสรู้ในวันนี้ เวลาเย็นพญากาฬนาคราชสรรเสริญพระคุณ
เสด็จขึ้นโพธิมณฑล ผินพระพักตร์ไปยังปาจีนโลกธาตุประทับนั่งเหนืออปรา-
ชิตบัลลังก์อันเป็นฐานะไม่หวั่นไหว ทรงตั้งความเพียรประกอบด้วยองค์สี่
ทรงกำจัดกองทัพมารได้ในเมื่อพระอาทิตย์ยังไม่ทันอัสดงคตเลย ปฐมยาม
ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ มัชฌิมยามทรงบรรลุทิพยจักษุญาณ
(จุตูปปาตญาณ) ปัจฉิมยามทรงหยั่งญาณลงในปฏิจจสมุปบาท พิจารณาปัจจ-
ยาการทั้งอนุโลมและปฏิโลมเจริญวิปัสสนา ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิ-
ญาณ
อันไม่สาธารณ์แก่ผู้อื่น ที่พระพุทธเจ้าทั้งปวงบรรลุกันแล้ว ทรงเข้า
ผลสมาบัติ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ เป็นเวลา 7 วัน ที่โพธิมณฑลนั้น
แหละ ทรงให้เวลาล่วงไปที่โพธิมณฑลนั่นเอง อีกหลายสัปดาห์โดยนัยนั้นแล
เสวยโภชนะคลุกน้ำผึ้งที่โคนต้นราชายตนะไม้เกด ประทัปนั่งที่โคนต้นอชปาล
นิโครธอีก ทรงพิจารณาความที่ธรรมเป็นเรื่องลึกซึ้งตามธรรมดา ท้าวมหา-
พรหมมาอาราธนาในเมื่อพระองค์มีพระทัยน้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย (คิด
จะไม่สอน) ทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ทรงเห็นเหล่าสัตว์ชนิดมีอินทรีย์
แก่กล้าก็มี มีอินทรีย์อ่อนก็มี เป็นต้น ทรงทำปฏิญญากับท้าวมหาพรหมที่
จะแสดงธรรม ทรงรำพึงว่า ควรจะแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ทรงทราบ
ว่า ท่านอาฬารดาบสและท่านอุทกดาบสตายเสียแล้ว มีพระดำริว่า ภิกษุ
ปัญจวัคคีย์ที่บำรุงรับใช้เรา ซึ่งกำลังบำเพ็ญเพียรอย่างเด็ดเดี่ยว เป็นผู้มีอุปการะ

แก่เรามากแท้ อย่ากระนั้นเลย เราพึงแสดงธรรมแก่ภิกษุปัญจวัคคีย์เหล่า
นั้นก่อน ในวันอาสาฬหบุณมี เสด็จพุทธดำเนินจากมหาโพธิมุ่งกรุงพาราณสี
ระยะทาง 18 โยชน์ ทรงพบกับอุปกาชีวกในระหว่างทาง เสด็จถึงป่า
อิสิปตนะตามลำดับ ทรงทำความเข้าใจกะพระปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนะนั้น ทรง
ให้พระพรหม 18 โกฏิมีพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นประมุข ดื่มอมตธรรม
ด้วยเทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตร โดยนัยเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สุดโต่งสองอย่างเหล่านั้น อันบรรพชิตไม่พึงเสพ ดังนี้.
ในวันแรม 1 ค่ำ ทรงให้พระภัททิยเถระตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล.
วันแรม 2 ค่ำ ทรงให้พระวัปปเถระตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล.
วันแรม 3 ค่ำ ทรงให้พระมหานามเถระตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล.
วันแรม 4 ค่ำ ทรงให้พระอัสสชิเถระตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล.
อนึ่งในวันแรม 5 ค่ำ ทรงให้พระปัญจวัคคีย์ทั้งหมดตั้งอยู่ในพระ
อรหัตด้วยเทศนาอนัตตลักขณสูตร.
ต่อจากนั้นทรงให้มหาชนหยั่งลงสู่อริยภูมิ อย่างนี้คือ บุรุษ 55 คน
มียสกุลบุตรเป็นประมุข ภัททวัคคียกุมารประมาณ 30 คนที่ไร่ฝ้าย
ปุราณชฎิลประมาณพันคนที่หินราบ คยาสีสประเทศ ที่ให้มหาชน 11 นหุต
มีพระเจ้าพิมพิสารเป็นประมุข ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ให้มหาชน 1 นหุต
ตั้งอยู่ในสรณะสาม ทรงรับพระเวฬุวันแล้ว ประทับอยู่ในพระเวฬุวันนั้น ทรง
ตั้ง พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ผู้บรรลุปฐมมรรคโดยการนำของ
พระอัสสชิเถระ ลาอาจารย์สญชัยเข้ามายังสำนักของพระองค์พร้อมด้วย
บริวาร ทำให้แจ้งผลอันเลิศบรรลุที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณแล้วไว้ในตำแหน่ง
สาวกผู้เลิศ เสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์ตามคำเชื้อเชิญของพระกาฬุทายีเถระ ทรง
ทรมานหมู่พระญาติผู้กระด้างเพราะมานะ ด้วยยมกปาฏิหาริย์ ทรงให้พระชนก

ตั้งอยู่ในอนาคามิผล และให้พระมหาปชาบดีตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ทรงให้
นันทกุมารและราหุลกุมารบรรพชา แล้วเสด็จกลับมายังกรุงราชคฤห์อีก.
สมัยต่อมา เมื่อพระศาสดาเสด็จเข้าอาศัย กรุงเวสาลี ประทับอยู่ที่
กูฏาคารศาลา พระเจ้าสุทโธทนมหาราช ทรงทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัต
ปรินิพพานภายใต้เศวตฉัตรนั่นเอง. ครั้งนั้น พระมหาปชาบดีโคตมี ได้เกิด
ความคิดที่จะบรรพชา ลำดับนั้น เหล่าหญิงบาทบริจาริกาของกุมาร 500 คน
ที่ออกบวชในเวลาจบเทศนา กลหวิวาทสูตร ที่ริมฝั่งแม่น้ำโรหิณี ได้
พร้อมใจกันไปเฝ้าพระมหาปชาบดี ทุกคนทูลว่า จักบวชในสำนักของพระ-
ศาสดา ตั้งให้พระมหาปชาบดีเป็นหัวหน้าประสงค์จะไปเฝ้าพระศาสดา ก็พระ
มหาปชาบดีนี้ เมื่อก่อนได้ทูลขอบรรพชากะพระศาสดาครั้งหนึ่งแล้วไม่ได้
ฉะนั้นจึงรับสั่งให้เรียกกัลบกมาปลงพระเกสาแล้วครองผ้ากาสายะ พาสากิยานี
เหล่านั้นทั้งหมดไปกรุงเวสาลี ขอร้องพระอานนทเถระให้อ้อนวอนพระทศพล
จึงได้บรรพชาและอุปสมบทด้วยการรับครุธรรม 8 ประการ แม้สากิยานีนอกนี้
ทั้งหมดก็ได้อุปสมบทพร้อมกัน .
นี้เป็นความย่อในเรื่องนี้ ส่วนเรื่องนี้โดยพิสดาร มาแล้วในบาลีนั้น ๆ
ทั้งนั้น.
พระมหาปชาบดีอุปสมบทอย่างนี้แล้ว เข้าเฝ้าพระศาสดา ถวาย
บังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควรแห่งหนึ่ง ครั้งนั้น พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่
พระมหาปชาบดีนั้น พระนางนั้นเรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระศาสดา ได้
บรรลุพระอรหัต ภิกษุณี 500 ที่เหลือได้บรรลุพระอรหัตในเวลาจบนันทโก-
วาทสูตร
เมื่อภิกษุณีสงฆ์ตั้งมั่นดีเป็นปึกแผ่นอย่างนี้แล้ว เหล่าหญิงมีตระกูล
สะใภ้ของตระกูล และกุมาริกาในตระกูลทั้งหลาย ในคามนิคมชนบทและราช
ธานีนั้น ๆ ได้ฟังความที่พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ดีแล้ว ความที่พระธรรม

เป็นพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสดีแล้ว และความที่พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว
มีความเลื่อมใสในพระศาสนาเป็นอย่างยิ่ง และเกิดความสังเวชในสังสารวัฏ จึง
ขออนุญาตสามี บิดามารดา และญาติของตน ๆ บวชถวายชีวิตในพระศาสนา
และครั้นบวชแล้วเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลและอาจาระ ได้รับโอวาทในสำนักของ
พระศาสดาด้วยของพระเถระเหล่านั้นด้วย เพียรพยายามอยู่ ไม่นานนักก็ได้
บรรลุพระอรหัต ก็คาถาทั้งหลายที่พระเถรีภาษิตในที่นั้น ๆ ด้วยอำนาจเปล่ง
อุทานเป็นต้นเหล่านั้น ภายหลังพระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายร่วมกันยกขึ้นสู่สังคีติ
จัดเป็นเอกนิบาตเป็นต้น คาถาเหล่านี้ชื่อเถรีคาถา การแบ่งคาถาเหล่านั้นเป็น
นิบาตเป็นต้น ได้กล่าวไว้แล้วให้หนหลังนั่นแล บรรดานิบาตเหล่านั้น เอก
นิบาตเป็นนิบาตแรก แม้ในเอกนิบาตนั้น คาถานี้ว่า
ดูก่อนพระเถรี ท่านจงเอาท่อนผ้าทำจีวร
นุ่งห่ม แล้วพักผ่อนให้สบายเถิด เพราะราคะของ
ท่านสงบแล้ว เหมือนผักดองแห้งอยู่ในหม้อ ดังนี้

เป็นคาถาแรก คาถานั้นเกิดขึ้นอย่างไร
เล่ากันมาว่า ในอดีตกาล กุลธิดาคนหนึ่งเลื่อมใสยิ่งในพระศาสนา
ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามโกนาคมนะ นิมนต์พระศาสดา ในวันที่
สองให้สร้างมณฑปกิ่งไม้ ลาดทราย ผูกเพดานข้างบน บูชาด้วยของหอมและ
ดอกไม้เป็นต้นแล้วให้คนไปกราบทูลกาลแด่พระศาสดา พระศาสดาเสด็จไปที่
มณฑปนั้น ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ กุลธิดานั้นถวายบังคมพระผู้มี-
พระภาคเจ้า อังคาสด้วยของเคี้ยวของบริโภคอย่างประณีตแล้วให้พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าผู้เสวยเสร็จลดพระหัตถ์ลงจากบาตร ครองไตรจีวร พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงอนุโมทนาแก่นางแล้วเสด็จหลีกไป กุลธิดานั้นทำบุญตลอดอายุ เวลาสิ้น

อายุบังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวอยู่ในสุคติภูมิทั้งหลายนั่นเองตลอด 1 พุทธันดร
ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามกัสสปะ บังเกิดในตระกูลคฤหบดี พอรู้
เดียงสาก็เกิดความสังเวชในสังสารวัฏ จึงบรรพชาอุปสมบทในพระศาสนา บวช
เป็นภิกษุณีอยู่สองหมื่นปี ตายทั้งที่เป็นปุถุชนบังเกิดในสวรรค์ เสวยสมบัติใน
สวรรค์ตลอด 1 พุทธันดรบังเกิดในตระกูลกษัตริย์มหาศาล กรุงเวสาลี ในพุทธุป-
ปาทกาลนี้ คนทั้งหลายเรียกเธอว่า เถริกา เพราะมีรูปร่างล่ำสัน เธอเจริญ
วัย บิดามารดาให้แก่ขัตติยกุมารผู้มีชาติเสมอกันโดยตระกูลและประเทศเป็นต้น
เธอบูชาสามีเหมือนเทวดาอยู่ ได้ศรัทธาในพระศาสนาคราวพระศาสดาเสด็จ
กรุงเวสาลี ย่อมาเธอได้ฟังธรรมในสำนักของพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี เกิด
ชอบใจบรรพชา บอกแก่สามีว่า จักบวช สามีไม่อนุญาต แต่เพราะเธอสร้าง
บุญบารมีมา เธอพิจารณาธรรมตามที่ได้ฟัง กำหนดรูปธรรมและอรูปธรรม
ประกอบวิปัสสนาอยู่เนือง ๆ.
อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อเธอหุงหาอาหารอยู่ในครัวใหญ่ เปลวไฟใหญ่ได้
ตั้งขึ้น เปลวไฟนั้นทำให้ภาชนะที่สิ้นเกิดเสียงเปรี๊ยะ ๆ เธอเห็นดังนั้นจึงยึด
ข้อนั้นแหละเป็นอารมณ์ ใคร่ครวญความไม่เที่ยงที่ปรากฏขึ้นอย่างดียิ่ง จาก
นั้นได้ยกความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาขึ้นในครัวนั้น เจริญวิปัสสนา ขวน
ขวายโดยลำดับ ได้ดำรงอยู่ในอนาคามิผลตามลำดับแห่งมรรค ตั้งแต่นั้นมา
เธอไม่ใช้เสื้อผ้าที่สวยงามหรือเครื่องประดับ เมื่อสามีถามว่า ที่รัก เหตุไรเดี๋ยว
นี้เธอจึงไม่ใช้เสื้อผ้าที่สวยงามหรือเครื่องประดับเหมือนเมื่อก่อน นางจึงบอกว่า
ตนไม่ควรอยู่เป็นคฤหัสถ์ แล้วขออนุญาตบวช สามีนำเธอไปสำนักของพระ-
มหาปชาบดีโคตมีด้วยบริวารใหญ่ กล่าวว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า โปรดบวชให้
นางนี้เถิด เหมือนวิสาขอุบาสกนำธรรมทินนาไปฉะนั้น. ครั้งนั้น พระ-

มหาปชาบดีโคตมีให้นางบรรพชาอุปสมบทแล้ว นำไปวิหารแสดงแก่พระศาสดา
เมื่อทำอารมณ์ที่เห็นตามปกตินั่นเองให้แจ่มแจ้งแก่นาง ตรัสพระคาถานี้ว่า
ดูก่อนเถรี เธอจงเอาท่อนผ้าทำจีวรนุ่งห่มแล้ว
พักผ่อนให้สบายเถิด เพราะราคะของเธอสงบแล้ว
เหมือนผักดองแห่งอยู่ในหม้อ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุขํ แสดงภาวนปุงสกะ. บทว่า สุปาหิ
เป็นคำสั่ง. บทว่า เถริเก เป็นคำเรียก. บทว่า กตฺวา โจเฬน ปารุตา
เป็นคำประกอบด้วยความมักน้อย. บทว่า อุปสนฺโต หิ เต ราโค เป็น
คำประกาศผลการปฏิบัติ. บทว่า สุกฺขฑากํ ว เป็นคำแสดงความไม่มีสาระ
แห่งกิเลสที่พึงให้สงบ. บทว่า กุมฺภิยํ เป็นคำแสดงความไม่เที่ยงคือว่างเปล่า
ของหม้อที่ใส่ผักดองนั้น.
อนึ่ง บทว่า สุขํ นี้ เป็นชื่อของสิ่งที่ปรารถนา ความว่า มีสุขปราศ
จากทุกข์. ก็บทว่า สุปาหิ นี้ เป็นคำแสดงการผ่อนอิริยาบถสี่ ความว่า เพราะ
ฉะนั้น ท่านจงสำเร็จอิริยาบถทั้งสี่ตามสบายทีเดียว คือจงอยู่อย่างสบาย. บทว่า
เถริเก นี้เป็นบทประกาศชื่อของพระเถรีนั้นก็จริง แต่ก็มีความว่า ถึงความเป็น
ผู้มั่นในพระศาสนาที่มั่น เพราะภาวะที่รู้ตามเนื้อความได้เป็นส่วนมาก คือ
ประกอบด้วยธรรมมีศีลเป็นต้นอันมั่น. บทว่า กตฺวา โจเฬน ปารุตา
ความว่า จงเอาท่อนผ้าบังสุกุลทำจีวรปกปิดสรีระ คือนุ่งและห่มผ้านั้น. หิ
ศัพท์ในบทว่า อุปสนฺโต หิ เต ราโค มีเนื้อความว่า เหตุ อธิบายว่า
เพราะกามราคะที่เกิดในสันดานของท่านสงบแล้ว คือถูกเผาด้วยไฟคืออนาคามิ-
มรรคญาณ บัดนี้ท่านจงเผาราคะที่ยังเหลืออยู่นั้นด้วยไฟคือมรรคญาณอันเลิศ
พักผ่อนให้สบายเถิด. บทว่า สุกฺขฑากํ ว กุมฺภิยํ ความว่า ย่อมสงบเหมือน
ผักดองเล็กน้อย ในภาชนะร้อนนั้น เขาเคี่ยวด้วยเปลวไฟแรงร้อนแห้งไป.

อีกอย่างหนึ่ง เหมือนเมื่อเอาผักดองเจือน้ำ ขึ้นตั้งเคี่ยวบนเตา เมื่อน้ำยัง
มีอยู่ ผักดองนั้นย่อมเดือดพล่าน แต่เมื่อหมดน้ำ ย่อมสงบนิ่งฉันใด กามราคะ
ในสันดานของท่านสงบแล้ว ท่านจงทำกิเลสแม้ที่เหลืออยู่ให้สงบแล้ว พักผ่อน
ให้สบายเถิด ฉันนั้น.
พระเถรีบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ในเวลาจบ
คาถา เพราะอินทรีย์แก่กล้าและเพราะพระศาสดาเทศนาไพเราะ เพราะเหตุ
นั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า
เราสร้างมณฑปถวายพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ
และได้ถวายพระสถูปอันบวรแด่พระพุทธเจ้าผู้เผ่าพันธุ์
มนุษย์ เราไปในที่ใด ๆ เป็นชนบทก็ตาม นิคมและราช-
ธานีก็ตาม ย่อมมีคนบูชาในที่นั้น ๆ ทุกแห่ง นี้เป็นผล
ของการทำบุญ เราเผากิเลสแล้ว ภพทั้งหมดเราถอน
ได้แล้ว เราตัดเครื่องผูกพัน เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่
ดังช้างพังตัดเชือกแล้ว การมาเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ประ-
เสริฐของเรา เป็นการมาดีแล้วหนอ เราได้บรรลุวิชชา
สามตามลำดับ เราปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
แล้ว คุณวิเศษเหล่านี้ คือปฏิสัมภิทาสี่ วิโมกข์
ทั้งแปดและอภิญญาหก เราทำให้แจ้งแล้ว เราปฏิบัติ
ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว.

ครั้นได้บรรลุพระอรหัตแล้ว พระเถรีเมื่อเปล่งอุทานได้ภาษิตคาถา
นั้นทีเดียว เหตุนั้น คาถานี้จึงได้เป็นคาถาของพระเถรีนั้น.
ด้วยคาถาที่พระเถรีกล่าวในที่นั้น เป็นอันกำหนดราคะได้อย่างไม่
เหลือ เพราะบรรลุความสงบนั้นได้ด้วยมรรคอันเลิศ. และที่กล่าวถึงความสงบ

กิเลสทั้งหมดในที่นี้ ก็ด้วยความสงบราคะนั่นเอง ฉะนั้นพึงเห็นข้อนั้น เพราะ
กิเลสธรรมทั้งหมดสงบได้ เพราะตั้งอยู่ร่วมกัน. สมจริงดังที่กล่าวไว้ว่า
โมหะใดเกิดร่วมกับอุทธัจจะและวิจิกิจฉา อัน
เรารู้แล้ว โมหะนั้นก็รวมกันกับราคะ เพราะตั้งอยู่
ร่วมกันโดยการละ.

เหมือนอย่างว่า ความสงบแห่งสังกิเลสทั้งปวงท่านกล่าวไว้ในที่นี้ ฉัน
ใด แม้ในที่ทุกแห่งท่านก็กล่าวความสงบแห่งสังกิเลสเหล่านั้น ฉันนั้น ฉะนั้น
พึงทราบโดยที่สงบกิเลสได้สำเร็จในตอนต้น ด้วยตทังคปหานะละด้วยองค์นั้นๆ
ในขณะแห่งสมถะและวิปัสสนาด้วยวิกขัมภนปหานะละด้วยข่มไว้ ในขณะแห่ง
มรรคด้วยสมุจเฉทปหานะละด้วยถอนขึ้น ในขณะแห่งผลด้วยปฏิปัสสัทธิปหานะ
ละด้วยสงบระงับ ความสำเร็จแห่งปหานะทั้งสี่ พึงทราบด้วยความสงบนั้น.
บรรดาปหานะทั้งสี่นั้น ความสำเร็จแห่งสีลสัมปทา ท่านแสดงด้วยตทังคปหา-
นะ ความสำเร็จแห่งสมาธิสัมปทา ท่านแสดงด้วยวิกขัมภนปหานะ ความสำเร็จ
แห่งปัญญาสัมปทาท่านแสดงด้วยปหานะนอกนี้ โดยความสำเร็จคือบรรลุด้วย
ปหานะ. พระโยคาวจรยังการบรรลุสัจฉิกิริยา และการบรรลุปริญญาให้สำเร็จ
เหมือนยังการบรรลุภาวนาให้สำเร็จนั่นเอง เพราะไม่มีสิ่งนั้น ในเมื่อสิ่งนั้นไม่
มีแล บัณฑิตพึงทราบว่า สิกขา 3 ท่านประกาศด้วยความสำเร็จคือการบรรลุ 4
ความงาม 3 อย่างท่านประกาศด้วยการปฏิบัติ วิสุทธิ 7 ที่บริบูรณ์ท่าน
ประกาศด้วยคาถานี้. พระเถรีองค์หนึ่งไม่มีใครรู้จัก คือไม่ปรากฏชื่อแล ะโคตร
เป็นต้น อธิบายว่า ภิกษุณีผู้เป็นเถรี ถึงพร้อมด้วยลักษณะองค์หนึ่งได้ภาษิต
คาถานี้.
จบ อรรถกถาอัญญตราเถรีคาถา

2. มุตตาเถรีคาถา


[403] ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกล่าวสอน นางมุตตา
สิกขมานา
ด้วยพระคาถานี้เนืองๆ อย่างนี้ว่า
ดูก่อนนางมุตตา เธอจงเปลื้องจิตจากกิเลส
เครื่องประกอบทั้งหลาย เหมือนพระจันทร์ถูกราหูจับ
แล้วพ้นจากเครื่องเศร้าหมองฉะนั้น เธอมีจิตหลุดพ้น
แล้ว จงเป็นผู้ไม่มีหนี้บริโภคก้อนข้าวเถิด.

จบ มุตตาเถรีคาถา

2. อรรถกถามุตตาเถรีคาถา


คาถานี้ว่า
ดูก่อนนางมุตตา เธอจงเปลื้องจิตจากกิเลส
เครื่องประกอบทั้งหลาย เหมือนพระจันทร์ถูกราหูจับ
แล้วพ้นจากเครื่องเศร้าหมองฉะนั้น เธอมีจิตหลุดพ้น
แล้ว จงเป็นผู้ไม่มีหนี้บริโภคก้อนข้าวเถิด
ดังนี้
เป็นคาถาสำหรับนางสิกขมานาชื่อมุตตา.
นางมุตตานั้นได้สร้างสมบุญบารมีไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ สั่ง
สมกุศลที่เป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น ๆ บังเกิดในเรือนตระกูล
ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามวิปัสสี รู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่งเห็นพระ
ศาสดาเสด็จไปในถนน มีใจเลื่อมใสถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้ว