เมนู

6. มิตตากาลีเถรีคาถา

1
[444] ข้าพเจ้าออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
ด้วยศรัทธา แต่เป็นผู้ขวนขวายในลาภสักการะ เที่ยว
ไปด้วยเหตุนั้น ๆ ข้าพเจ้าละประโยชน์อันเยี่ยมแล้ว
ถือเอาประโยชน์อันเลว อยู่ในอำนาจของกิเลส ไม่
รู้ประโยชน์ของความเป็นสมณะ เมื่อข้าพเจ้านั่งในที่
อยู่ ได้เกิดความสังเวชว่า เราเดินทางผิดเสียแล้ว ตก
อยู่ในอำนาจของตัณหา ชีวิตของเราน้อย ถูกชราและ
พยาธิย่ำยี กายนี้ย่อมทำลายไปก่อน ไม่ใช่เวลาที่เรา
จะประมาท เมื่อข้าพเจ้าพิจารณาเห็นตามความเป็น
จริงถึงความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปของขันธ์ทั้งหลาย
จึงได้มีจิตหลุดพ้นแล้ว ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติคำสอนของ
พระพุทธเจ้าแล้ว.

จบ มิตตกาลีเถรีคาถา

อรรถกถามิตตากาฬีเถรีคาถา


คาถาว่า สทฺธาย ปพฺพชิตฺวาน เป็นต้น เป็นคาถาของพระเถรี
ชื่อมิตตากาฬี.
แม้พระเถรีชื่อมิตตากาฬีองค์นี้ ก็ได้สร้างสมบุญบารมีไว้ในพระพุทธ-
เจ้าองค์ก่อน ๆ สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น ๆ ใน
1. อรรถกถาว่า มิตตากาฬีเถรีคาถา.

พุทธุปปาทกาลนี้ เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกัมมาสธัมมนิคมแคว้นกุรุ รู้
ความแล้ว ได้ศรัทธาเพราะมหาสติปัฏฐานเทศนา บวชในหมู่ภิกษุณี มีความ
ต้องการลาภสักการะ บำเพ็ญสมณธรรมเที่ยวไปในที่นั้น ๆ 7 ปี เวลาต่อมา
มีโยนิโสมนสิการเกิดขึ้น เกิดความสังเวช เริ่มเจริญวิปัสสนา ไม่นานนักก็
บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย พิจารณาการปฏิบัติของตนแล้ว
ได้กล่าวคาถาเหล่านี้เป็นอุทานว่า
ข้าพเจ้าออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตด้วย
ศรัทธา แต่เป็นผู้ขวนขวายในลาภสักการะ เที่ยวไป
ด้วยเหตุนั้น ๆ ข้าพเจ้าละประโยชน์อันเยี่ยมแล้วถือ
เอาประโยชน์อันเลว ตกอยู่ในอำนาจของกิเลส ไม่รู้
ประโยชน์ของความเป็นสมณะ เมื่อข้าพเจ้านั่งในที่อยู่
ได้เกิดความสังเวชว่า เราเดินทางผิดเสียแล้ว ตกอยู่
ในอำนาจของตัณหา ชีวิตของเราน้อย ถูกชราและ
พยาธิย่ำยี กายนี้ย่อมทำลายไปก่อน ไม่ใช่เวลาที่เรา
จะประมาท เมื่อข้าพเจ้าพิจารณาเห็นตามความเป็น
จริงถึงความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปของขันธ์ทั้ง
หลาย จึงได้มีจิตหลุดพ้นแล้ว ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติคำ
สอนของพระพุทธเจ้าแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิจรึหํ เตน เตน ลาภสกฺการอุสฺ-
สุกา
ความว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ขวนขวาย คือประกอบแล้ว ประกอบทั่วแล้ว
ในลาภและสักการะ เที่ยวไปด้วยเหตุนั้น ๆ คือด้วยเหตุที่เกิดลาภมีกล่าว
พาหุสัจธรรมเป็นต้น.

บทว่า ริญฺจิตฺวา ปรมํ อตฺถํ ความว่า ละ คือสละประโยชน์สูง
สุด มีฌานวิปัสสนามรรคและผลเป็นต้น. บทว่า หีนมตฺถํ อเสวิหํ ความ
ว่า ข้าพเจ้าได้ถือเอาประโยชน์อันเลว คือลามก เพราะเป็นอามิสกล่าวคือ
ปัจจัยสี่ ด้วยการแสวงหาโดยไม่แยบคาย. บทว่า กิเลสา นํ วสํ คนฺตวา
ความว่า ตกอยู่ในอำนาจของกิเลสทั้งหลาย มีมานะความถือตัว มทะความมัว
เมา และตัณหาความอยากเป็นต้น. บทว่า สามญฺญตฺถํ นิรชฺชิหํ ความว่า
ข้าพเจ้าไม่รู้ คือไม่ทราบหน้าที่ของสมณะ.
บทว่า นิสินฺนาย วิหารเก ความว่า เมื่อข้าพเจ้านั่งอยู่ในห้องซึ่ง
เป็นที่อยู่ ได้เกิดความสังเวช หากจะถามว่า เกิดความสังเวชอย่างไร
ตอบว่า เกิดความสังเวชว่า เราเดินทางผิดเสียแล้ว. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า
อุมฺมคฺคปฏิปนฺนามฺหิ ความว่า พระศาสนานี้ก็เพื่อปรินิพพานโดยไม่ถือ
มั่นเท่านั้น เราบวชในพระศาสนานั้นแล้วไม่มนสิการกัมมัฏฐาน เป็นผู้ปฏิบัติ
ผิดทางของพระศาสนานั้น บทว่า ตณฺหาย วสมาคตา ความว่า ตกอยู่ใน
อำนาจของความอยากที่เกิดแต่ปัจจัย.
บทว่า อปฺปกํ ชีวิตํ มยฺหํ ความว่า ชีวิตของเราน้อย คือนิด
หน่อยคือเร็ว เพราะไม่มีกำหนดเวลา และมีอันตรายมาก. บทว่า ชรา พฺยาธิ
จ มทฺทติ
ความว่า ชราและพยาธิย่อมย่ำยี คือบดขยี้กายนั้น เหมือนภูเขา
กลิ้งบดขยี้ไปโดยรอบ. ปาฐะว่า มทฺทเร ก็มี. บทว่า ปุรายํ ภิชฺชติ
กาโย
ความว่า กายนี้ย่อมทำลายไปข้างหน้า ประกอบความว่า เพราะกาย
นั้นมีการแตกทำลายโดยส่วนเดียว ฉะนั้นจึงไม่ใช่กาลที่เราจะประมาท กาลนี้
เว้นขณะทั้งแปด เป็นขณะที่เก้า ซึ่งไม่ควรที่จะประมาท พระเถรีนั้นมีความ
สังเวชดังนี้.

บทว่า ยถาภูตมเวกฺขนฺตี ความว่า เกิดความสังเวชอย่างนี้แล้ว
เริ่มเจริญวิปัสสนา พิจารณาตามความเป็นจริง ด้วยมนสิการถึงอนิจจลักษณะ
เป็นต้น เพื่อจะหลีกเลี่ยงคำถามว่า พิจารณาอะไร พระเถรีจึงกล่าวว่า พิจารณา
ความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าพิจารณาความเกิด
และความดับแห่งอุปาทานขันธ์ห้า ซึ่งมีประเภทครบห้าสิบ โดยนัยเป็นต้นว่า
เพราะอวิชชาเกิด รูปจึงเกิด ดังนี้ ด้วยอุทยัพยานุปัสสนาญาณ ขวนขวาย
เจริญวิปัสสนา ได้มีจิตหลุดพ้นจากกิเลสและภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวง
ตามลำดับมรรค คือได้เป็นผู้ออกแล้วจากภพทั้งสาม ด้วยความเพียรทั้งกาย
และใจ และด้วยมรรคด้วยประการฉะนี้. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วแล.
จบ อรรถกถามิตตากาฬีเถรีคาถา

7. สกุลาเถรีคาถา


[445] เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในเรือน ฟังธรรมของภิกษุ
แล้วได้เห็นพระนิพพาน ซึ่งเป็นธรรมปราศจากธุลี
เป็นเครื่องถึงความสุข ไม่จุติ ข้าพเจ้าจึงละบุตรธิดา
ทรัพย์และข้าวเปลือก โกนผมบวชเป็นบรรพชิต
ข้าพเจ้าเป็นสิกขมานาอยู่1 เจริญมรรคเบื้องบน จึงละ
ราคะ โทสะ และอาสวะทั้งหลายที่ตั้งอยู่ร่วมกับราคะ
โทสะนั้นได้ ข้าพเจ้าอุปสมบทเป็นภิกษุณีแล้ว ระลึก
ชาติก่อนได้ ชำระทิพยจักษุให้บริสุทธิ์ หมดมลทิน
อบรมแล้วอย่างดี ข้าพเจ้าเห็นสังขารทั้งหลายเป็น
อนัตตา เป็นของเกิดแต่เหตุ มีอันทรุดโทรมไปเป็น
สภาพ แล้วละอาสวะทั้งปวง เป็นผู้มีความเย็น ดับ
สนิทแล้ว.

จบ สกุลาเถรีคาถา
1. สิกขมานา หญิงผู้กำลังศึกษา, สามเณรีผู้มีอายุถึง 18 ปีแล้ว อีก 2 ปีจะครบบวชเป็นภิกษุณี
ภิกษุณีสงฆ์สวดให้สิกขาสมมติ คือตกลงให้สมาทานสิกขาบท 6 ประการ ตั้งแต่ปาณาติปาตา
เวรมณี จนถึง วิกาลโภชนา เวรมณี ให้รักษาอย่างเคร่งครัดไม่ขาดเลย ตลอดเวลา 3 ปีเต็ม
(ถ้าล่วงข้อใดข้อหนึ่ง ต้องสมาทานตั้งต้นไปใหม่อีก 2 ปี) ครบ 2 ปี ภิกษุณีสงฆ์จึงทำพิธี
อุปสมบทให้ ขณะที่สมาทานสิกขาบท 6 ประการอย่างเคร่งครัดนี้เรียกว่า นางสิกขมานา.