เมนู

อรรถกถาจตุกกนิบาต


1. อรรถกถาภัททกาปิลานีเถรีคาถา


ในจตุกกนิบาต มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
คาถาว่า ปุตฺโต พุทฺธสฺส ทายาโท เป็นต้น เป็นคาถาของ
พระเถรีชื่อภัททกาปิลานี.
ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ พระ
เถรีนั้นเกิดในเรือนแห่งตระกูล ในพระนครหังสวดี รู้ความแล้ว ฟังธรรมใน
สำนักของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุณีองค์หนึ่งไว้ในตำแหน่ง
เลิศของภิกษุณีผู้ระลึกชาติได้จึงการทำบุญญาธิการปรารถนาตำแหน่งนั้นแม้
เอง กระทำบุญตลอดชีวิต เคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้วท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลก
และมนุษยโลก เมื่อพระพุทธเจ้ายังมิได้เสด็จอุบัติขึ้น เกิดในเรือนตระกูล ใน
กรุงพาราณสี แล้วไปสู่ตระกูลสามี วันหนึ่งทะเลาะกับน้องสาวสามี เมื่อน้อง
สาวสามีถวายบิณฑบาตแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า นางคิดว่าหญิงนี้ถวายทานแด่
พระปัจเจกพุทธเจ้านี้แล้ว จักได้สมบัติโอฬาร รับบาตรจากหัตถ์ของพระ-
ปัจเจกพุทธเจ้าเทภัตตาหารทิ้ง เอาเปือกตมใส่เต็มถวาย มหาชนติเตียนว่า
นางคนพาล พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านทำผิดอะไรเจ้าหรือ นางละอายเพราะคำ
ของคนเหล่านั้น รับบาตรมาอีก เอาเปือกตมออกล้างบาตรแล้วขัดถูด้วยผง
เครื่องหอม เอาของมีรสอร่อย 4 อย่างใส่เต็ม และวางบาตรที่สว่างด้วยเนยใส
ซึ่งมีสีเหมือนดอกบัว ที่ราดไว้ข้างบน ตั้งความปรารถนาว่า บิณฑบาตนี้มีแสง
สว่างฉันใด ขอร่างกายของเราจงมีแสงสว่างฉันนั้น นางเคลื่อนจากอัตภาพนั้น
แล้ว ท่องเที่ยวอยู่ในสุคติภูมิทั้งหลายเท่านั้น ในกาลแห่งพระกัสสปพุทธเจ้า

เกิดเป็นธิดาเศรษฐีมีสมบัติมาก ในกรุงพาราณสี ด้วยผลแห่งบุพกรรมจึงมี
ร่างกายเหม็น พวกมนุษย์รังเกียจ นางเกิดความสังเวชจึงเอาเครื่องประดับ
ของตนสร้างอิฐทองประดิษฐานไว้ที่เจดีย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า และถือดอก
อุบลบูชา ด้วยบุญกรรมนั้นร่างกายของนางมีกลิ่นหอมจับใจในภพนั้นเอง นาง
เป็นที่รักเป็นที่ชอบใจของสามี ทำกุศลตลอดชีวิตเคลื่อนจากอัตภาพนั้นเกิดใน
สวรรค์ แม้ในสวรรค์นั้นก็ได้เสวยทิพยสุขตลอดชีวิต จุติจากสวรรค์นั้นเป็น
ราชธิดาของพระเจ้าพาราณสี เสวยสมบัติเช่นกับสมบัติเทวดาในกรุงพาราณสี
นั้น บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นเวลานาน เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้า
เหล่านั้นปรินิพพานแล้ว เกิดความสังเวช เป็นดาบสอยู่ในพระราชอุทยาน
เจริญฌานทั้งหลายแล้วเกิดในพรหมโลก จุติจากพรหมโลกนั้นเกิดในเรือนของ
ตระกูลพราหมณ์โกสิยโคตร ในสาคลนคร เติบโตขึ้นด้วยบริวารใหญ่ เจริญ
วัยแล้วบิดามารดานำไปสู่เรือนของปิปผลิกุมารในมหาติตถคาม เมื่อปิปผลิกุมาร
ออกบวช นางละโภคะกองใหญ่และญาติหมู่ใหญ่ออกเพื่อต้องการบวช เข้าไป
อยู่ในอารามเดียรถีย์ 5 ปี เวลาต่อมา นางได้บรรชาและอุปสมบทในสำนัก
ของพระมหาปชาบดีโคตมี เริ่มตั้งวิปัสสนา ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัต
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า1
ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมาร
พระนามว่าปทุมุตตระ ผู้รู้จบธรรมทั้งปวง เป็นนายก
ของโลก เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น ในพระนคร
หังสวดี มีเศรษฐีชื่อว่าวิเทหะ เป็นผู้มีรัตนะมาก
ข้าพเจ้าเป็นชายาของเขา บางครั้ง เศรษฐีนั้นพร้อมกับ
ชนบริวารเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้เป็นดังดวงอาทิตย์
ของนรชนได้ฟังธรรมของพระพุทธองค์ซึ่งเป็นเหตุนำ

1. ขุ. 33/ข้อ 167. ภัททกาปิลานีเถรีอปทาน.

มาซึ่งความสิ้นทุกข์ทั้งปวง พระผู้เป็นนายกของโลก
ทรงประกาศสาวกองค์หนึ่ง ว่าเป็นเลิศของสาวกผู้
กล่าวสรรเสริญธุดงค์ เศรษฐีสามีของข้าพเจ้าได้ฟัง
แล้ว ได้ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าผู้คงที่ ตลอด 7 วัน
แล้วซบเศียรลงแทบพระยุคลบาท ปรารถนาตำแหน่ง
นั้น ก็ในกาลนั้นพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่านรชน
เมื่อจะทรงให้บริษัทรื่นเริง ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้
เพื่อทรงอนุเคราะห์เศรษฐีว่า ดูก่อนลูก เธอจักได้
ตำแหน่งที่ปรารถนา จงเย็นใจเถิด ในกัปที่หนึ่งแสน
แต่ภัทรกัปนี้ พระศาสดาพระนานว่าโคตมะ มีพระ-
สมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราชจักมีในโลก พระ-
ศาสดาพระองค์นั้นจักมีธรรมทายาท จักมีโอรสอัน
ธรรมนิรมิต จักมีสาวกนามว่ากัสสปะ เศรษฐีได้ฟัง
พุทธพยากรณ์ดังนั้น เบิกบานใจ มีจิตประกอบด้วย
เมตตาบำรุงพระพิชิตมารผู้เป็นนายกวิเศษ ด้วยปัจจัย
ทั้งหลายจนตลอดชีวิตในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
องค์นั้นทรงทำพระศาสนาให้รุ่งเรื่อง ทรงกำจัดเหล่า
เดียรถีย์ชั่ว ๆ ทรงแนะนำผู้ที่ควรแนะนำแล้วพระองค์
กับทั้งพระสาวกก็ปรินิพพาน เมื่อพระองค์ผู้เป็นเลิศ
ในโลกนั้นปรินิพพานแล้ว เศรษฐีนั้นเชิญญาติและ
มิตรมาประชุมกัน พร้อมกับญาติและมิตรเหล่านั้นได้
สร้างพระสถูปสำเร็จด้วยรัตนะ สูง 7 โยชน์ รุ่งเรือง
ดังดวงอาทิตย์ และต้นพระยารังที่มีดอกบานสะพรั่ง

เพื่อบูชาพระศาสดา ข้าพเจ้าได้ให้ช่าง 7 คน เอา
รัตนะ 7 อย่าง ทำตะเกียง 700,000 ดวง เอาน้ำมัน
หอมใส่เต็มทุกดวงตามประทีปไว้ในที่นั้น ๆ ลุกโพลง
ดังไฟไหม้ป่าอ้อ เพื่อบูชาผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ผู้
อนุเคราะห์สัตว์ทั้งปวง ข้าพเจ้าให้ช่างทำหม้อ
700,000 ใบ เต็มด้วยรัตนะต่าง ๆ มีวัตถุที่ควรบูชา
อันเป็น ทอง ตั้งไว้ในท่ามกลางระหว่าง หม้อทุกๆ 8
หม้อมีวรรณะรุ่งเรืองเหมือนพระอาทิตย์ในสารทกาล
เพื่อบูชาพระศาสดาผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ที่ประตู
ทั้ง 4 มีเสาระเนียดล้วนแล้วไปด้วยรัตนะ มีแท่นที่
สำเร็จด้วยรัตนะตั้งไว้ งดงามน่ารื่นรมย์ มีคูปลูก
พรรณดอกไม้น้ำเป็นระเบียบดี มีธงรัตนะยกขึ้นไว้
ล้วนแต่งามไพโรจน์ พระเจดีย์ที่สำเร็จด้วยรัตนะนั้น ๆ
สร้างไว้มีสีสุกปลั่งงามดี มีวรรณะรุ่งเรื่องเหมือน
พระอาทิตย์ที่มีรัศมีงามพระสถูปของข้าพเจ้ามี 3 ด้าน
ด้านหนึ่งเต็มด้วยหรดาล ด้านหนึ่งเต็มด้วยมโนศิลา
ด้านหนึ่งเต็มด้วยแร่พลวง ข้าพเจ้าสร้างเครื่องบูชาที่
น่ารื่นรมย์เช่นนี้แล้ว ได้ถวายทานแด่พระสงฆ์ผู้กล่าว
ธรรมอันประเสริฐตามกำลัง ตลอดชีวิต ข้าพเจ้ากับ
เศรษฐีนั้นทำยัญเหล่านั้นโดยประการทั้งปวง ตลอด
ชีวิต ได้ไปสู่สุคติพร้อมกัน ได้เสวยสมบัติทั้งที่เป็น
ของเทวดาและของมนุษย์ ท่องเที่ยวไปกับเศรษฐีนั้น
เหมือนเงาไปกับตัวฉะนั้น ในกัปที่ 91 แต่ภัทรกัปนี้

พระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ผู้เป็นนายกของโลก มี
พระเนตรงาม ทรงเห็นแจ้งธรรมทั้งปวง เสด็จอุบัติขึ้น
แล้ว ครั้งนั้นในพระนครพันธุมดี มีพราหมณ์ที่ได้
รับยกย่องว่าเป็นผู้ดี เป็นผู้มั่งคั่ง สมบูรณ์ด้วยคุณ-
ธรรมและทรัพย์ แต่ภายหลังกลับตกยาก แม้ครั้งนั้น
ข้าพเจ้าเป็นพราหมณีของเขา มีใจเสมอกันบางคราว
พราหมณ์นั้นเข้าไปเฝ้าพระมหามุนี ซึ่งประทับนั่ง
แสดงอมตบทอยู่ในหมู่ชน ฟังธรรมแล้วเบิกบานใจ
ได้ถวายผ้าห่มผืนหนึ่ง มีผ้านุ่งผืนเดียวกลับไปเรือน
บอกข้าพเจ้าว่า แน่ะเธอผู้มีบุญมาก จงอนุโมทนาเถิด
ฉันได้ถวายผ้าห่มแด่พระพุทธเจ้าแล้ว ครั้งนั้นข้าพเจ้า
ทราบดีแล้วประนมมืออนุโมทนาว่า ข้าแต่นาย ผ้าห่ม
ท่านถวายดีแล้วแด่พระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐ ผู้คงที่
พราหมณ์กับข้าพเจ้ามีความเจริญด้วยสุขสมบัติร่วมกัน
ท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ ได้เป็นพระราชาผู้ยิ่ง
ใหญ่ในกรุงพาราณสีที่รื่นรมย์ ครั้งนั้นข้าพเจ้าได้เป็น
มเหสีของท้าวเธอ สูงกว่าพวกพระสนม เป็นที่สอง
ของท้าวเธอ ท้าวเธอโปรดปรานข้าพเจ้าเพราะสิเนหา
เนื่องมาแต่ภพก่อน ๆ พระราชานั้นทอดพระเนตรเห็น
พระปัจเจกพุทธเจ้า 8 องค์กำลังเที่ยวบิณฑบาต ทรง
เบิกบานพระทัย ได้ถวายบิณฑบาตอันควรแก่ค่ามาก
แล้วทรงนิมนต์ไว้ ทรงสร้างมณฑปรัตนะผสมด้วย
ทอง ที่พวกช่างทองทำไว้อย่างงดงาม สูง 100 ศอก

ท้าวเธอทรงเลื่อมใส รับสั่งให้อาราธนาพระปัจเจก-
พุทธเจ้าเหล่านั้นทั้งหมด ได้ถวายทานแด่พระปัจเจก-
พุทธเจ้าเหล่านั้นผู้เข้าไปในพระราชนิเวศน์ ด้วยพระ-
หัตถ์ของพระองค์เอง แม้ครั้งนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ถวาย
ทานร่วมกับพระเจ้ากาสีอีก ท้าวเธอพร้อมด้วยพระ
ภาดามาเกิดในตระกูลกุฏุมพีที่มั่งคั่ง มีความสุข
ข้าพเจ้าเป็นภรรยาของพราหมณ์ผู้พี่ ได้ประพฤติวัตร
ในสามีเป็นอย่างดี. น้องชาย1ของสามีของข้าพเจ้า
เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วเอาอาหารของพี่ชายถวาย
แด่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น เมื่อพี่ชายมา ได้บอกว่า
พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านมิได้ยินดีทาน ขณะนั้น
ข้าพเจ้าได้ถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นสามี
ของข้าพเจ้าถวายอาหารอันควรแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า
เวลานั้นข้าพเจ้าโกรธเททานของพระปัจเจกพุทธเจ้า
นั้นเสีย ได้ถวายบาตรที่เต็มด้วยเปือกตมแก่พระ
ปัจเจกพุทธเจ้าผู้คงที่นั้น ครั้งนั้นข้าพเจ้าเห็นสามีมี
หน้าแสดงว่ามีจิตสม่ำเสมอในการให้ การรับ การ
ไม่เคารพ และการประทุษร้าย จึงสลดใจมาก สามี
ของข้าพเจ้ารับบาตรมาแล้ว เอาน้ำหอมอย่างดีล้าง
ให้สะอาด ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใส ได้ถวายน้ำตาล
กรวดกับเปรียงเต็มบาตร ข้าพเจ้าเกิดในภพไหน ๆ
ก็มีรูปงาม เพราะถวายทาน แต่มีกลิ่นตัวเหม็น
เพราะทำความไม่ดี หยาบหยามพระปัจเจกพุทธเจ้า

1. อรรถกถาเถรีคาถา เป็นน้องสาว.

เมื่อสามีสร้างพระเจดีย์แห่งพระกัสสปธีรเจ้าสำเร็จ
แล้ว ข้าพเจ้ามีความยินดีได้ถวายแผ่นอิฐทองคำอย่าง
ดี เอาแผ่นอิฐนั้นชุบจนเปียกด้วยน้ำหอมที่เกิดแต่
เครื่องหอม 4 ชนิด จึงพ้นจากโทษที่มีกลิ่นตัวเหม็น
งดงามดีทั่วสรรพางค์ แล้วให้ช่างเอารัตนะ 7 ประการ
ทำตะเกียง 700,000 ดวง ใส่เปรียงเต็ม ให้ใส่ไส้
1,000 ไส้ ตามประทีปตั้งไว้ 7 แถว เพื่อบูชาพระ-
พุทธเจ้าผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์โลก ด้วยจิตที่เลื่อมใส
แม้ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าก็มีส่วนในบุญนั้นเป็นพิเศษ
สามีของข้าพเจ้าเกิดในแคว้นกาสี มีนามปรากฏว่า
สุมิตตะ ข้าพเจ้าเป็นภรรยานายสุมิตตะนั้น เจริญด้วย
สุขสมบัติ เป็นที่รักของสามี ครั้งนั้นสามีได้ถวายผ้า
โพกศีรษะเนื้อดีแก่พระปัจเจกมุนี แม้ข้าพเจ้าก็มีส่วน
แห่งทานนั้นอนุโมทนาทานอันอุดม สามีเกิดในกำเนิด
ชาวโกลิยะในแคว้นกาสี ครั้งนั้น สามีของข้าพเจ้า
พร้อมกับบุตรชาวโกลิยะ 500 คน ได้บำรุงพระปัจเจก
พุทธเจ้า 500 องค์ อาราธนาพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่า
นั้นให้อยู่จำพรรษาตลอดไตรมาส และได้ถวายไตร
จีวร ข้าพเจ้าเป็นไปตามครรลองแห่งบุญกรรม ได้
เป็นภรรยาของโกลิยบุตรคนนั้นในกาลนั้น โกลิยบุตร
นั้นเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้วเป็นพระราชาพระนาม
ว่า นันทะ มีพระอิสริยยศใหญ่ แม้ข้าพเจ้าก็ได้เป็น
มเหสีของท้าวเธอ เป็นผู้มั่งคั่งด้วยกามสุขทุกอย่าง

พระเจ้านันทะนั้นเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้วเป็นพระ
เจ้าพรหมทัต ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ครั้งนั้นข้าพเจ้า
กับพระเจ้าพรหมทัต ได้อาราธนาพระปัจเจกพุทธเจ้า
500 องค์ ผู้เป็นพระโอรสของพระนางปทุมวดี ให้อยู่
ในพระราชอุทยานแล้วบำรุง และบูชาพระปัจเจก-
พุทธเจ้าเหล่านั้นผู้นิพพานแล้ว จนตลอดชีวิต เรา
ทั้งสองสร้างพระเจดีย์ไว้หลายองค์ บวชแล้วเจริญ
อัปปมัญญา ได้ไปสู่พรหมโลก จุติจากพรหมโลกแล้ว
สามีของข้าพเจ้าเกิดเป็นพราหมณ์ชื่อปิปผลายนะ บ้าน
มหาติตถะ มารดาชื่อสุมนเทวี บิดาเป็นพราหมณ์
โกสิโคตร ข้าพเจ้าเกิดเป็นธิดาของพราหมณ์นามว่า
กปิละ มารดาชื่อสุจีมดีในมัททชนบท เมืองสากลบุรี
ที่อุดม บิดาหล่อรูปข้าพเจ้าด้วยทองแท่ง แล้วถวายรูป
หล่อแก่พระกัสสปพุทธเจ้าผู้เว้นจากกามคุณทั้งหลาย
พราหมณ์ปิปผลายนะนั้นเป็นหนุ่ม ไปตรวจตราการ
งานในบางคราว เห็นสัตว์ทั้งหลายที่ถูกกาเป็นต้นกัด
กินแล้วสลดใจ ครั้งนั้นข้าพเจ้าเห็นเมล็ดงาที่มีอยู่ได้
เรือน เอาออกผึ่งแดด มีเหล่าหนอนกัดกินอยู่ใน
ความสลดใจ ครั้งนั้น ปิปผลายพราหมณ์ผู้มีปัญญา
ออกบวชแล้ว ข้าพเจ้าก็บวชตาม อยู่อาศัยในสำนัก
ปริพาชก 5 ปี เมื่อพระนางโคตมี ผู้เป็นคนเลี้ยงดู
พระพิชิตมารทรงผนวชแล้ว ข้าพเจ้าเข้าไปหาท่านใน
คราวนั้น พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนแล้วไม่นานนักก็ได้

บรรลุพระอรหัต โอ เรามีพระกัสสปะผู้มีศิริเป็น
กัลยาณมิตร พระกัสสปเถระผู้เป็นบุตรเป็นทายาทของ
พระพุทธเจ้า มีจิตตั้งมั่นดี ท่านรู้ขันธ์ที่อยู่อาศัยใน
ก่อน เห็นสวรรค์และอบาย ถึงความสิ้นชาติเป็นผู้
เสร็จกิจแล้วเพราะรู้ยิ่ง เป็นมุนี เป็นพราหมณ์ผู้ได้
วิชชา 3 ด้วยวิชชา 3 เหล่านี้ นางภัททกาปิลานีก็
เหมือนกัน ได้วิชชา 3 ละมัจจุราชได้ ทรงร่างกาย
นี้เป็นที่สุด ชนะมารพร้อมทั้งพาหนะ เราทั้งสองเห็น
โทษในโลกแล้วบวช เป็นผู้สิ้นอาสวะ ฝึกตนแล้ว มี
ความเย็นดับสนิทแล้ว ข้าพเจ้าเผากิเลส ถอนภพได้
หมดแล้ว ตัดเครื่องผูกพันเหมือนช้างพังตัดเชือกเป็น
ผู้ไม่มีอาสวะอยู่ การที่ข้าพเจ้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ผู้
ประเสริฐนี้ เป็นการมาดีแล้วหนอ วิชชา 3 ข้าพเจ้า
บรรลุแล้วโดยลำดับ ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติคำสอนของ
พระพุทธเจ้าแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้ คือปฏิสัมภิทา 4
วิโมกข์ 8 และอภิญญา 6 ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว.

ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว พระเถรีภัททกาปิลานีได้เป็นผู้มีความ
ชำนาญอย่างเชี่ยวชาญในปุพเพนิวาสญาณ เพราะได้สร้างสมบุญบารมีไว้อย่าง
ดียิ่งในภพนั้น ๆ กาลต่อมาพระศาสดาประทับนั่งท่ามกลางอริยสงฆ์ ณ พระ
เชตวัน ทรงตั้งเหล่าภิกษุณีไว้ในตำแหน่งทั้งหลายตามลำดับ ได้ทรงตั้งพระ
เถรีนั้นไว้ในตำแหน่งเป็นเลิศของภิกษุณีทั้งหลายผู้ระลึกชาติได้ วันหนึ่งพระ-
เถรีนั้น เมื่อเปล่งอุทานซึ่งเริ่มต้นด้วยการชมเชยคุณธรรมของพระมหากัสสป-

เถระ ด้วยการชี้แจงคุณมีความที่ตนทำกิจสำเร็จแล้วเป็นต้นเป็นข้อสำคัญ ได้
กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
พระกัสสปเถระผู้เป็นบุตรเป็นทายาทของพระ
พุทธเจ้า มีจิตตั้งมั่นดี ท่านรู้ขันธ์ที่อยู่อาศัยในก่อน
เห็นสวรรค์และอบาย ถึงความสิ้นชาติ เป็นผู้เสร็จกิจ
แล้วเพราะรู้ยิ่งเป็นมุนี เป็นพราหมณ์ผู้ได้วิชชา 3
ด้วย วิชชา 3 เหล่านี้ นางภัททกาปิลานีก็ได้วิชชา
3 เหมือนกัน ละมัจจุราชได้ ทรงร่างกายนี้เป็นที่สุด
ชนะมารพร้อมทั้งพาหนะ เราทั้งสองเห็นโทษในโลก
แล้วบวช เป็นผู้สิ้นอาสวะ ฝึกตนแล้วมีความเย็น
ดับสนิทแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุตฺโต พุทฺธสฺส ทายาโท ความว่า
พระกัสสปเถระเป็นอนุชาตบุตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยความเป็นผู้
ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า เป็นทายาทโดยการถือเอาโลกุตรธรรม 9 ซึ่งเป็น
การให้นั้น จากพระพุทธเจ้านั้นแล ชื่อว่ามีจิตตั้งมั่นดี เพราะความเป็นผู้มี
มีจิตตั้งมั่นด้วยดีด้วยสมาธิที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ. บทว่า ปุพฺเพนิวาสํ
โส เวที
ความว่า พระมหากัสสปเถระนั้น ได้รู้แล้ว คือรู้ทั่วแล้ว คือแทง
ตลอดแล้ว ซึ่งขันธ์ที่อยู่อาศัยในก่อน คือซึ่งขันธ์สันดานที่เคยอยู่อาศัยทั้งของ
ตนและของคนอื่น ๆ ทำให้ปรากฏด้วยปุพเพนิวาสานุสสติญาณ. บทว่า
สคฺคาปายญฺจ ปสฺสติ ความว่า เห็นสวรรค์ ซึ่งแบ่งเป็นเทวโลก 26 ภูมิ
และอบายภูมิ 4 ภูมิ ด้วยทิพยจักษุ เหมือนเห็นมะขามป้อมในฝ่ามือ.

บทว่า อโถ ชาติกฺขยํ ปตฺโต ความว่า บรรลุพระอรหัตกล่าวคือ
ความสิ้นชาติ ต่อจากนั้น เป็นผู้เสร็จกิจแล้ว คือถึงแล้วซึ่งความสำเร็จ คือ
เป็นผู้ทำกิจเสร็จแล้ว เพราะรู้ยิ่ง คือเพราะรู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง เพราะ
กำหนดรู้ซึ่งธรรมที่ควรกำหนดรู้ เพราะละซึ่งธรรมที่ควรละ เพราะทำให้แจ้ง
ซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง ด้วยญาณอันน่าปรารถนายิ่ง คือประเสริฐยิ่ง ชื่อว่า
เป็นมุนี เพราะบรรลุโมนะกล่าวคือปัญญาเป็นเครื่องทำอาสวะให้สิ้นไป.
บทว่า ตเถว ภทฺทกาปิลานี ความว่า พระมหากัสสปะเป็นผู้ได้
วิชชา 3 ด้วยวิชชา 3 เหล่านั้น คือตามที่กล่าวแล้ว และเป็นผู้ละมัจจุราชได้
ฉันใด พระเถรีภัททกาปิลานีก็ได้วิชชา 3 และละมัจจุได้ ฉันนั้นเหมือนกัน
ต่อจากนั้น พระเถรีแสดงตนนั่นแหละ ทำให้เป็นเหมือนผู้อื่น ด้วยบทว่า
ธาเรติ อนฺติมํ เทหํ เชตฺวา มารํ สวาหนํ.
บัดนี้ พระเถรีภัททกาปิลานีเมื่อแสดงว่า ความงามในเบื้องต้น ความ
งามในท่ามกลาง ความงามในที่สุดแห่งการปฏิบัติ ของพระเถระฉันใด แม้
ของเราก็ฉันนั้น จึงกล่าวคาถาสุดท้ายว่า ทิสฺวา อาทีนวํ เป็นต้น. บรรดา
บทเหล่านั้น บทว่า ตฺยมฺห ขีณาสวา ทนฺตา ความว่า เราทั้งหลาย
เหล่านั้น คือพระมหากัสสปเถระและข้าพเจ้า เป็นผู้ฝึกตนแล้วด้วยการฝึกสูงสุด
และเป็นผู้มีอาสวะสิ้นแล้วโดยประการทั้งปวง. บทว่า สีติภูตามฺห นิพฺพุตา
ความว่า เป็นผู้มีความเย็น เพราะไม่มีความเร่าร้อนคือกิเลสนั้นเอง และเป็น
ผู้ดับสนิทด้วยสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ.
จบอรรถกถาภัททกาปิลานีเถรีคาถา
จบอรรถกถาจตุกกนิบาต

เถรีคาถา ปัญจกนิบาต


ว่าด้วยคาถาต่าง ๆ ในปัญจกนิบาต


1. อัญญตราภิกษุณีเถรีคาถา


[439] ตั้งแต่ข้าพเจ้าบวชมาตลอด 25 ปี ยัง
ไม่ประสบความสงบจิตแม้ชั่วเวลาเพียง ลัดนิ้วมือ เลย
ข้าพเจ้าไม่ได้ความสงบจิต มีจิตชุ่มด้วยกามราคะ
ประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญเข้าไปสู่วิหาร ข้าพเจ้า
นั้นได้เข้าไปหาภิกษุณีที่ข้าพเจ้าควรเชื่อถือ ภิกษุณี
นั้นได้แสดงธรรม คือขันธ์ อายตนะ และธาตุแก่
ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าฟังธรรมของท่านแล้วเข้าไปนั่ง ณ ที่
ควรแห่งหนึ่ง ระลึกชาติได้ ข้าพเจ้าชำระทิพยจักษุ
ให้หมดจดแล้ว ชำระเจโตปริยญาณและโสตธาตุให้
หมดจดแล้ว แม้ฤทธิ์ข้าพเจ้าก็ทำให้แจ้งแล้ว ข้าพเจ้า
บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะแล้ว ทำอภิญญา 6 ให้แจ้ง
แล้ว ได้ปฏิบัติคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว.

จบ อัญญตราภิกษุณีเถรีคาถา