เมนู

3. อานันทเถรคาถา


ว่าด้วยความเป็นผู้ทรงธรรม


[397] บัณฑิต ไม่ควรทำตนให้เป็นมิตรสหายกับคนที่ชอบ
ส่อเสียด มักโกรธ ตระหนี่ และผู้ปรารถนาให้ผู้อื่นพินาศ
เพราะการสมาคมกับคนชั่ว เป็นความลามก แต่บัณฑิต
ควรทำตนให้เป็นมิตรสหายกับคนผู้มีศรัทธา มีศีลน่ารัก
มีปัญญา และเป็นคนได้สดับเล่าเรียนมามาก เพราะการ
สมาคมกับคนดี ย่อมมีแต่ความเจริญอย่างเดียว เชิญดู
ร่างกายอันมีกระดูก 300 ท่อน ซึ่งมีเอ็นใหญ่น้อยผูกขึ้น
เป็นโครงตั้งไว้ อันบุญกรรมตบแต่งให้วิจิตร มีแผลทั่ว
ทุกแห่ง กระสับกระส่าย คนโง่เขลาพากันดำริเป็นอันมาก
ไม่มีความยั่งยืนตั้งมั่น พระอานนทเถระผู้โคดมโคตร เป็น
ผู้ได้สดับมามาก มีถ้อยคำไพเราะ เป็นผู้อุปัฏฐากพระ-
พุทธเจ้า ปลงภาระลงแล้ว บรรลุอรหัต สำเร็จการนอน
พระอานนทเถระสิ้นอาสวะแล้ว ปราศจากกิเลสเครื่อง
เกาะเกี่ยวแล้ว ล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องแล้ว ดับสนิท
ถึงฝั่งแห่งชาติและชรา ทรงไว้แต่ร่างกายอันมีในที่สุด
ธรรมทั้งหลายของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่ง
พระอาทิตย์ ตั้งอยู่แล้วในบุคคลใด บุคคลนั้นคือ พระ-
อานนทเถระผู้โคตมะ ชื่อว่าย่อมตั้งอยู่ในมรรคเป็นทาง
ไปสู่นิพพาน พระอานนทเถระได้เรียนธรรมจากพระ-

พุทธเจ้ามา 82,000 ธรรมขันธ์ ได้เรียนมาจากสำนักภิกษุ
มีพระธรรมเสนาบดีเป็นต้น 2,000 ธรรมขันธ์ จึงรวมเป็น
ธรรมที่คล่องปากขึ้นใจ 84,000 ธรรมขันธ์ คนที่เป็นชาย
มีการศึกษาเล่าเรียนมาน้อย ย่อมแก่เปล่า เหมือนกับโค
ที่มีกำลังแต่เขาไม่ได้ใช้งานฉะนั้น เนื้อย่อมเจริญแก่เขา
ปัญญาไม่เจริญแก่เขา ผู้ใดเล่าเรียนมามาก ดูหมิ่นผู้
ที่ศึกษาเล่าเรียนมาน้อยด้วยการสดับ แต่เขาไม่ได้ปฏิบัติ
ตามที่เล่าเรียนมา ย่อมปรากฏแก่เรา เหมือนคนตาบอด
ถือดวงไฟไปฉะนั้น บุคคลควรเข้าไปนั่งใกล้ผู้ที่ศึกษามา
มาก แต่ไม่ควรทำสุตะที่ตนได้มาให้พินาศ เพราะสุตะ
ที่ตนได้มานั้น เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ เพราะฉะนั้น
จึงควรเป็นผู้ทรงธรรม บุคคลผู้รู้อักษรทั้งเบื้องต้นและ
เบื้องปลาย รู้อรรถแห่งภาษิต ฉลาดในนิรุตติและบท
ย่อมเล่าเรียนธรรม ให้เป็นการเล่าเรียนดี และพิจารณา
เนื้อความ เป็นผู้กระทำความพอใจด้วยความอดทน
พยายามพิจารณา ดังความเพียร ในเวลาพยายามมีจิต
ตั้งมั่นด้วยดีในภายใน บุคคลควรคบหาท่านผู้เป็นพหูสูต
ทรงธรรม มีปัญญา เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า หวัง
การรู้แจ้งธรรมเช่นนั้นเถิด บุคคลผู้เป็นพหูสูตทรงธรรม
แห่งพระพุทธเจ้าผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นดวงตา
ของโลกทั่วไป ผู้ที่เป็นพหูสูตนั้น เป็นผู้อันมหาชนควรบูชา
ภิกษุมีธรรมเป็นที่ยินดี ยินดีแล้วในธรรม ค้นคว้าธรรม

ระลึกถึงธรรม ย่อมไม่เสื่อมไปจากสัพธรรม เมื่อกายและ
ชีวิตของตนเสื่อมไป ภิกษุผู้หนักในความตระหนี่กาย ติด
อยู่ด้วยควานสุขทางร่างกาย ไม่ขวนขวายบำเพ็ญเพียร
ความผาสุกทางสมณะจักมีแต่ที่ไหน ทิศทั้งหมดไม่ปรากฏ
ธรรมทั้งหลายไม่แจ่มแจ้ง ในเมื่อท่านธรรมเสนาบดีผู้
เป็นกัลยาณมิตร นิพพานแล้ว โลกทั้งหมดนี้ปรากฏ
เหมือนความมืดมน กายคตาสติย่อมนำมาซึ่งประโยชน์
โดยส่วนเดียวฉันใด กัลยาณมิตรเช่นนั้น ย่อมไม่มีแก่
ภิกษุผู้มีสหายล่วงลับไปแล้ว มีพระศาสดานิพพานไปแล้ว
ฉันนั้น มิตรเก่าพากันล่วงลับไปแล้ว จิตของเราไม่สมาคม
ด้วยมิตรใหม่ วันนี้เราจะเพ่งฌานอยู่ผู้เดียว เหมือนกับ
นกที่อยู่ในรังในฤดูฝนฉะนั้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะพระอานนท์ด้วยพระคาถา 1 พระคาถา ความว่า
เธออย่าห้ามประชาชนเป็นอันมาก ที่พากันมาแต่
ต่างประเทศ ในเมื่อล่วงเวลาเฝ้า เพราะประชุมชนเหล่า
นั้นเป็นผู้มุ่งจะฟังธรรม จงเข้ามาหาเราได้ เวลานี้เป็น
เวลาที่จะเห็นเรา.

พระอานนทเถระจึงกล่าวเป็นคาถาต่อไปว่า
พระศาสดาผู้มีจักษุ ทรงประทานโอกาสให้ประชุม
ชนที่พากันมาแต่ต่างประเทศ ในเมื่อล่วงเวลาเฝ้า ไม่
ทรงห้าม เมื่อเรายังเป็นพระเสขบุคคลอยู่ 25 ปี กาม-
สัญญาไม่เกิดขึ้นเลย เชิญดูความที่ธรรมเป็นธรรมดี เมื่อ

เรายังเป็นพระเสขบุคคลอยู่ 25 ปี โทสสัญญาไม่เกิดขึ้น
เลย เชิญดูความที่ธรรมเป็นธรรมดี เราได้อุปัฏฐากพระ-
ผู้มีภาคเจ้าด้วยเมตตากายกรรม เหมือนพระฉายาติดตาม
พระองค์อยู่ 25 ปี เราอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วย
เมตตาวจีกรรม เหมือนพระฉายาติดตามพระองค์อยู่ 25
ปี เราอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเมคตามโนกรรม
เหมือนพระฉายาติดตามพระองค์อยู่ 25 ปี เมื่อพระ-
พุทธองค์เสด็จดำเนินไป เราก็ได้เดินตามไปเบื้องพระ-
ปฤษฎางค์ของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรมอยู่
ญาณเกิดขึ้นแก่เรา เป็นผู้มีกิจที่จะต้องทำ ยังเป็นพระ-
เสขะยังไม่บรรลุอรหัต พระศาสดาพระองค์ใดเป็นผู้ทรง
อนุเคราะห์เรา พระศาสดาพระองค์นั้น ได้เสด็จ
ปรินิพพานไปเสียก่อนแล้ว เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ถือความเป็นผู้ประเสริฐโดยอาการทั้งปวง เสด็จปรินิพ-
พานแล้ว ครั้งนั้น ได้เกิดมีความหวาดเสียวและได้เกิด
ขนพองสยองเกล้า.

พระสังคีติกาจารย์เมื่อจะสรรเสริญพระอานนทเถระ ได้รจนาคาถา 3 คาถา
ความว่า
พระอานนท์เถระเป็นพหูสูต ทรงธรรม เป็นผู้รักษา
คลังพระธรรมของพระพุทธเจ้า ผู้ทรงแสวงหาพระคุณอัน
ยิ่งใหญ่ เป็นดวงตาของโลกทั่วไป ปรินิพพานไปเสียแล้ว
พระอานนทเถระเป็นพหูสูต ทรงธรรม เป็นผู้รักษาคลัง
พระธรรมของพระพุทธเจ้า ผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่

เป็นดวงตาของชาวโลกทั่วไป เป็นผู้กำจัดความมืดมนที่
เป็นเหตุทำให้เป็นดังคนตาบอดได้แล้ว พระอานนทเถระ
เป็นผู้มีคติ มีสติ และธิติ เป็นผู้แสวงคุณ เป็นผู้ทรงจำ
พระสัทธรรมไว้ได้ เป็นบ่อเกิดแห่งรัตนะ.

พระอานนท์เถระ ก่อนแต่นิพพานได้กล่าวคาถา ความว่า
เรามีความคุ้นเคยกับพระศาสดา เราทำคำสั่งสอน
ของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว ปลงภาระหนักลงแล้ว ถอน
ตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพได้แล้ว.

จบอานันทเถรคาถาที่ 3

รวมพระเถระ


พระเถระ 3 รูปนี้ คือ พระปุสสเถระ 1 พระสารีบุตรเถระ 1
พระอานนทเถระ 1 ท่านนิพนธ์คาถาไว้ในติงสนิบาตนั้น รวม 105 คาถา
ฉะนั้นแล.
จบติงสนิบาต

อรรถกถาอานันทเถรคาถา


คาถาของท่านพระอานนทเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ปิสุเณน จ โกธเนน
ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
ท่านพระอานนทเถระแม้นี้ เป็นผู้ได้บำเพ็ญบารมีมาแล้ว ในพระ-
พุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า
ปทุมุตตระ บังเกิดเป็นพี่ชายต่างมารดา แห่งพระศาสดา ในหังสวดีนคร,
ท่านได้มีชื่อว่า สุมนะ ส่วนพระบิดาของท่าน ได้มีพระนามว่า พระเจ้า
อานันทะ. เมื่อสุมนกุมาร ผู้เป็นพระราชโอรสของตน เจริญวัยแล้ว