เมนู

2. สารีปุตตเถรคาถา


ว่าด้วยสัมมาปฏิบัติของภิกษุ


พระสารีบุตรเถระ ครั้นสำเร็จแห่งสาวกบารมีญาณ ดำรงอยู่ใน
ตำแหน่งพระธรรมเสนาบดีอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทำประโยชน์แก่หมู่สัตว์
วันหนึ่งเมื่อพยากรณ์อรหัตผลโดยมุขะ คือประกาศความประพฤติของตน
แก่เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย จึงได้กล่าวคาถาความว่า
[396] ผู้ใดสมบูรณ์ด้วยศีล สงบระงับ มีสติ มีความดำริ
ชอบ ไม่ประมาท ยินดีแต่เฉพาะกรรมฐานภาวนาอัน
เป็นธรรมภายใน มีใจมั่นคงอย่างยิ่ง อยู่ผู้เดียว ยินดี
ด้วยปัจจัยตามมีตามได้ นักปราชญ์ทั้งหลายเรียกผู้นั้น
ว่าภิกษุ ภิกษุเมื่อบริโภคอาหารจะเป็นของสดหรือของ
แห้งก็ตาม ไม่ควรติดใจจนเกินไป ควรเป็นผู้มีท้องพร่อง
มีอาหารพอประมาณ มีสติอยู่ การบริโภคอาหารยังอีก
4-5 คำจะอิ่ม ควรงดเสีย แล้วดื่มน้ำเป็นการสมควร
เพื่ออยู่สบายของภิกษุผู้มีใจเด็ดเดี่ยว อนึ่ง การนุ่งห่ม
จีวรอันเป็นกัปปิยะ นับว่าเป็นประโยชน์ จัดว่าพอเป็น
การอยู่สบายของภิกษุผู้มีใจเด็ดเดี่ยว การนั่งขัดสมาธิ
นับว่าพอเป็นการอยู่สบายของภิกษุ ผู้มีใจเด็ดเดี่ยว ภิกษุ
รูปใดพิจารณาเห็นสุข โดยความเป็นทุกข์ พิจารณาเห็น
ทุกข์โดยความเป็นลูกศรปักอยู่ที่ร่าง ความถือมั่นว่าเป็น

ตัวเป็นตนในอทุกขมสุขเวทนา ไม่ได้มีแก่ภิกษุนั้น ภิกษุ
นั้น จะพึงติดอยู่ในโลกอย่างใด ด้วยกิเลสอะไร ภิกษุ
ผู้มีความปรารถนาลามกเกียจคร้าน มีความเพียรเลว
ทราม ได้สดับน้อย ไม่เอื้อเฟื้อ อย่าได้มาในสำนัก
ของเราแม้ในกาลไหนๆ เลย จะมีประโยชน์อะไรด้วย
การให้โอวาทบุคคลเช่นนั้นในหมู่สัตว์โลกนี้ อนึ่ง ขอ
ให้ภิกษุผู้เป็นพหูสูต เป็นนักปราชญ์ ตั้งมั่นอยู่ในศีล
ประกอบใจให้สงบระงับเป็นเนืองนิตย์ จงมาประดิษฐาน
อยู่บนศีรษะของเราเถิด ภิกษุใดประกอบด้วยธรรมเครื่อง
เนิ่นช้า ยินดีในธรรมเครื่องเนิ่นช้า ภิกษุนั้นย่อมพลาด
นิพพาน อันเป็นธรรมเกษมจากโยคะอย่างยอดเยี่ยม
ส่วนภิกษุใด ละธรรมเครื่องเนิ่นช้าได้แล้ว ยินดีใน
อริยมรรคอันเป็นทางไม่มีธรรมเครื่องเนิ่นช้า ภิกษุนั้น
ย่อมบรรลุนิพพานอันเป็นธรรมเกษม จากโยคะอย่าง
ยอดเยี่ยม พระอรหันต์ทั้งหลาย อยู่ในสถานที่ใด
เป็นบ้านหรือป่าก็ตาม ที่ดอนหรือที่ลุ่มก็ตาม สถานที่
นั้นเป็นภูมิสถานที่น่ารื่นรมย์ คนผู้แสวงหากามย่อมไม่
ยินดีในป่าอันน่ารื่นรมย์เช่นใด ท่านผู้ปราศจากความ
กำหนัด จักยินดีในป่าอันน่ารื่นรมย์เช่นนั้น เพราะท่าน
เหล่านั้นไม่เป็นผู้แสวงหากาม บุคคลควรเห็นท่านผู้มี
ปัญญาชี้โทษมีปกติกล่าวข่มขี่ เหมือนผู้บอกขุมทรัพย์ให้

ควรคบบัณฑิตเช่นนั้น เพราะว่าเมื่อคบกับบัณฑิตเช่นนั้น
ย่อมมีแต่ความดี ไม่มีชั่วเลย นักปราชญ์ก็ควรโอวาท
สั่งสอน ควรห้ามผู้อื่นจากธรรมที่มิใช่ของสัตบุรุษ แต่
บุคคลเห็นปานนั้น ย่อมเป็นที่รักใคร่ของสัตบุรุษเท่านั้น
ไม่เป็นที่รักใคร่ของอสัตบุรุษ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้
ตรัสรู้แล้วมีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมแก่ผู้อื่นอยู่ เมื่อ
พระองค์กำลังทรงแสดงธรรมอยู่ เราผู้มุ่งประโยชน์ตั้งใจ
ฟัง การตั้งใจฟังของเรานั้นไม่ไร้ประโยชน์ เราเป็น
ผู้หมดอาสวะ เป็นผู้หลุดพ้นพิเศษ เราไม่ได้ตั้งความ
ปรารถนาเพื่อปุพเพนิวาสญาณ ทิพยจักขุญาณ เจโต-
ปริยญาณ อิทธิวิธี จุตูปปาตญาณ ทิพโสตญาณ อัน
เป็นธาตุบริสุทธิ์ มาแต่ปางก่อนเลย แต่คุณธรรมของ
สาวกทั้งหมดได้มีขึ้นแก่เรา พร้อมกับการบรรลุมรรคผล
เหมือนคุณธรรม คือพระสัพพัญญุตญาณ ได้มีแก่
พระพุทธเจ้าฉะนั้น มียักษ์ตนหนึ่งมากล่าวว่า มีภิกษุ
หัวโล้นรูปหนึ่งชื่ออุปติสสะ เป็นพระเถระผู้อุดมด้วย
ปัญญา ห่มผ้าสังฆาฏินั่งเข้าฌานอยู่ที่โคนต้นไม้ สาวก
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้กำลังเข้าสมาบัติอันไม่มี
วิตก ในขณะถูกยักษ์ตีศีรษะ ก็ยังประกอบด้วยธรรมคือ
ความนิ่งอย่างประเสริฐ ภูเขาหินล้วนตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
ฉันใด ภิกษุย่อมไม่หวั่นไหวเหมือนภูเขาเพราะสิ้นโมหะ

ก็ฉันนั้น ความชั่วช้าเพียงเท่าปลายขนทราย ย่อม
ปรากฏเหมือนเท่าก้อนเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า แก่ภิกษุ
ผู้ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน แสวงหาความสะอาดเป็นนิตย์
เราไม่ยินดีต่อความตายและชีวิต เราเป็นผู้มีสติสัมป-
ชัญญะจักละทิ้งร่างกายนี้ไป ไม่ยินดีต่อความตายและ
ชีวิต รอคอยเวลาตายอยู่ เหมือนลูกจ้างรอให้หมดเวลา
ทำงานฉะนั้น ความตายนี้ มีแน่นอนในสองคราว คือ
ในเวลาแก่หรือในเวลาหนุ่ม ที่จะไม่ตายเลยย่อมไม่มี
เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงบำเพ็ญแต่สัมมาปฏิบัติเถิด
ขอจงอย่าได้ปฏิบัติผิดพินาศเสียเลย ขณะอย่าได้ล่วง
เลยท่านทั้งหลายไปเสีย เมืองที่ตั้งอยู่ชายแดน เขา
คุ้มครองป้องกันดีทั้งภายนอกและภายในฉันใด ท่าน
ทั้งหลายก็จงคุ้มครองตนฉันนั้นเถิด ขณะอย่าได้ล่วงเลย
ท่านทั้งหลายไปเสีย เพราะผู้มีขณะอันล่วงเลยไปเสีย
แล้ว ต้องพากันไปเศร้าโศกยัดเยียดอยู่ในนรก ภิกษุ
ผู้สงบระงับ งดเว้นโทษเครื่องเศร้าหมองใจได้อย่าง
เด็ดขาด มีปกติพูดด้วยปัญญา ไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมกำจัด
บาปธรรมได้ เหมือนลมพัดรบไม้ร่วงหล่นไปฉะนั้น ภิกษุ
ผู้สงบระงับ งดเว้นจากโทษเครื่องเศร้าหมองใจได้อย่าง
เด็ดขาด มีปกติพูดด้วยปัญญา ไม่ฟุ้งซ่าน ได้ลอย
บาปธรรมเสียได้ เหมือนลมพัดใบไม้ร่วงหล่นไปฉะนั้น

ภิกษุผู้สงบระงับละเว้นกองกิเลสและกองทุกข์ ที่เป็นเหตุ
ทำให้เกิดความคับแค้น มีใจผ่องใสไม่ขุ่นมัว มีศีลงาม
เป็นนักปราชญ์พึงทำที่สุดทุกข์ได้ บุคคลไม่ควรคุ้นเคย
ในบุคคลบางพวกจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ตาม หรือ
เบื้องต้นเขาจะเป็นคนดี ตอนปลายเป็นคนไม่ดีก็ตาม
นิวรณ์ 5 คือ กามฉันทะ 1 พยาบาท 1 ถีนมิทธะ 1
อุทธัจจะ 1 วิจิกิจฉา 1 เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองจิต
สมาธิจิตของภิกษุผู้มีปกติชอบอยู่ด้วยความไม่ประมาท
ไม่หวั่นไหวด้วยเหตุ 2 ประการ คือด้วยมีสักการะ 1
ด้วยไม่มีผู้สักการะ 1 นักปราชญ์เรียกบุคคลผู้เพ่งธรรม
อยู่เป็นปกติ พากเพียรเป็นเนืองนิตย์ พิจารณาเห็น
ด้วยปัญญาสุขุม สิ้นความยึดถือและความยินดีว่าเป็น
สัตบุรุษ มหาสมุทร 1 แผ่นดิน 1 ภูเขา 1 และแม้
ลม 1 ไม่ควรเปรียบเทียบความหลุดพ้นกิเลสอย่าง
ประเสริฐของพระศาสดาเลย พระเถระผู้ยังพระธรรมจักร
อันพระศาสดาให้เป็นไปแล้ว ให้เป็นไปตาม ผู้มีปัญญา
มาก มีจิตมั่นคง เป็นผู้เสมอด้วยแผ่นดินและไฟ ย่อม
ไม่ยินดียินร้าย ภิกษุผู้บรรลุปัญญาบารมีธรรมแล้ว มี
ปัญญาเครื่องตรัสรู้มากเป็นนักปราชญ์ผู้ใหญ่ ไม่ใช่เป็น
คนเขลา ทั้งไม่เหมือนคนเขลา เป็นผู้ดับความทุกข์ร้อน
ได้ทุกเมื่อ ท่องเที่ยวไปอยู่ เรามีความคุ้นเคยกับ

พระศาสดามาก เราทำคำสอนของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว
ปลงภาระหนักลงได้เเล้ว ถอนตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ
แล้ว ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด
นี้เป็นอนุสาสนีของเรา เราพ้นจากกิเลสทั้งปวงแล้ว
จักปรินิพพาน.

จบสารีปุตตเถรคาถา

อรรถกถาสาริปุตตเถรคาถาที่ 2

1

คาถาของ ท่านพระสาริปุตตเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ยถาจารี ยถา-
สโต
ดังนี้, ก็เรื่องของท่านพระมหาโมคคัลลานเถระนั้น บัณฑิตพึง
ทราบอย่างนี้แล.
ในอดีตกาล ในที่สุดแห่งอสงไขยกำไรแสนกัป แต่กัปนี้ไป ท่าน
พระสารีบุตรบังเกิดแล้วในตระกูลพราหมณ์มหาศาล โดยมีชื่อว่า สรท-
มาณพ.
ท่านพระมหาโมคคัลลานะ บังเกิดแล้วในตระกูลคฤหบดีมหา-
ศาล โดยมีชื่อว่า สิริวัฑฒกุมฎุพี. คนทั้งสองนั้นได้เป็นสหายร่วมเล่น
ฝุ่นด้วยกัน.
ในบรรดาคน 2 คนนั้น สรทมาณพพอบิดาล่วงลับดับชีพแล้ว ก็
ครอบครองทรัพย์สมบัติอันเป็นของมีประจำตระกูล วันหนึ่งไปในที่ลับคน
คิดว่า ขึ้นชื่อว่าสัตว์เหล่านี้ ย่อมมีความตายเป็นที่สุดอย่างเดียวกัน,
เพราะฉะนั้น เราควรเข้าไปบวชแสวงหาโมกขธรรมเถิด ดังนี้แล้ว จึง

1. บาลีเป็นสารีปุตตเถรคาถา.