เมนู

กัน มีจิตเมตตากรุณาต่อกัน จงสำรวมในศีล ปรารภ
ความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวบากบั่นอย่างมั่นเป็นนิตย์ ขอ
ท่านทั้งหลายจงเห็นความประมาท โดยความเป็นภัย
และจงเห็นความไม่ประมาท โดยความเป็นของปลอดภัย
แล้วจงอบรมอัฏฐังคิกมรรค เมื่อทำได้ดังนี้แล้ว ย่อมจะ
บรรลุนิพพานอันเป็นทางไม่เกิดไม่ตาย.


อรรถกถาติงสนิบาต


อรรถกถาปุสสเถรคาถาที่ 1


ใน ติงสนิบาต คาถาของ ท่านพระปุสสเถระ มีคำเริ่มต้นว่า
ปาสาทิเก พหู ทิสฺวา ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
ท่านพระปุสสเถระแม้นี้ เป็นผู้ได้บำเพ็ญบารมีมาแล้วในพระพุทธ-
เจ้าพระองค์ก่อน ๆ ได้สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้แล้ว
ในภพนั้น ๆ ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในพุทธุปบาท-
กาลนี้ บังเกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้ามัณฑลิกะ มีนามว่า ปุสสะ.
เขาถึงความเจริญวัยแล้ว สำเร็จการศึกษาในชั้นที่พวกขัตติยกุมารจะพึง
ได้รับการศึกษา เพราะเขาเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอุปนิสัย จึงไม่มีใจเกี่ยวข้อง
ในกามคุณทั้งหลาย ได้ฟังธรรมในสำนักของพระมหาเถระรูปหนึ่งแล้ว
ได้มีศรัทธา จึงบวชแล้วเรียนกัมมัฏฐานอันเหมาะสมแก่ความพระพฤติ
บำเพ็ญภาวนาอยู่เนือง ๆ ทำฌานให้บังเกิดขึ้น เริ่มตั้งวิปัสสนามีฌาน

เป็นบาท ไม่นานนัก ก็ได้อภิญญา 6. ต่อมาวันหนึ่ง ดาบสคนหนึ่ง
ชื่อว่า ปัณฑรโคตร นั่งฟังธรรมในสำนักของพระมหาเถระแล้ว มอง
เห็นภิกษุหลายรูป ผู้สมบูรณ์ด้วยศีลาจารวัตร มีอินทรีย์อันสำรวมด้วย
ดีแล้ว มีกายอันอบรมแล้ว มีจิตอันอบรมแล้ว จึงมีจิตเลื่อมใส คิดว่า
ดีจริงหนอ ข้อปฏิบัตินี้ พึงตั้งอยู่ในโลกได้นาน ดังนี้ จึงถามพระเถระ
ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้อปฏิบัติจักมีแก่ภิกษุทั้งหลายในอนาคตกาลได้
อย่างไรหนอแล. เพื่อจะแสดงเนื้อความนั้น พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลาย
จึงได้ทั้งคาถาไว้แต่เบื้องต้นว่า
ฤาษีผู้มีชื่อตามโคตรว่า ปัณฑรสะ ได้เห็นภิกษุเป็น
อันมากที่น่าเลื่อมใส มีตนอันอบรมแล้ว สำรวมด้วยดี
จึงได้ถามพระปุสสเถระแล.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาสาทิเก ได้แก่ ผู้สมควรแก่ความ
เลื่อมใส ด้วยข้อปฏิบัติของตน. บทว่า พหู ได้แก่ มีจำนวนมากมาย.
บทว่า ภาวิตตฺเต ได้แก่ มีจิตอันตนอบรมแล้วด้วยสมถภาวนาและ
วิปัสสนาภาวนา. บทว่า สุสํวุเต ได้แก่ มีอินทรีย์อันสำรวมแล้วด้วยดี.
บทว่า อิสิ แปลว่า ดาบส. บทว่า ปณฺฑรสโคตฺโต ได้แก่ ผู้มีโคตร
เสมอด้วยฤาษีนั้น เพราะเกิดในวงศ์แห่งฤาษีชื่อว่า ปัณฑระ. บทว่า
ปุสฺสสวฺหยํ ได้แก่ อันบุคคลพึงเรียกด้วยเสียงว่า ปุสสะ, อธิบายว่า
มีชื่อว่า ปุสสะ. คาถาที่เป็นคำถามของฤาษีนั้น มีดังนี้ :-
ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลายในพระศาสนานี้ จัก
มีความพอใจอย่างไร มีความประสงค์อย่างไร กระผม
ถามแล้ว ขอจงบอกความข้อนั้นแก่กระผมเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กึ ฉนฺทา ความว่า ในอนาคตกาล
ภิกษุทั้งหลาย ในพระศาสนานี้ จักมีความพอใจเช่นไร คือจักมีความ
หลุดพ้นเช่นไร จักมีความหลุดพ้นชนิดเลว หรือว่าจักมีความหลุดพ้น
ชนิดประณีต. บทว่า กิมธิปฺปายา ความว่า จักมีความประสงค์เช่นไร
คือจักมีอัธยาศัยเช่นไร จักมีอัธยาศัยเศร้าหมองอย่างไร หรือว่าจักมี
อัธยาศัยอันผ่องแผ้ว. อีกอย่างหนึ่ง ความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะทำ ชื่อว่า
ฉันทะ เพราะฉะนั้น จึงมีอธิบายว่า ความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะทำของพวก
ฤาษีเหล่านั้น เป็นเช่นไร. ความประสงค์ก็คืออัธยาศัยนั่นเอง. บทว่า
กิมากปฺปา คือจักมีความพอใจเช่นไร. ก็บทว่า อากปฺปา ความว่า มี
วาริตศีลและจาริตศีล ด้วยการถือเอาเพศเป็นต้น. บทว่า ภวิสฺสเร
แปลว่า จักมี. บทว่า ตํ เม ความว่า ดาบสเชื้อเชิญพระเถระว่า
ท่านเป็นผู้อันเราถามถึงประเภทแห่งความประสงค์ ความพอใจ ของภิกษุ
ทั้งหลาย ในอนาคตกาล ขอจงบอก คือจงกล่าวเนื้อความนั้นแก่เราเถิด.
พระเถระเมื่อจะบอกเนื้อความนั้นแก่ดาบสนั้น เพื่อจะชักชวนในการฟัง
โดยเคารพก่อน จึงกล่าวคาถาว่า :-
ดูก่อนปัณฑรสฤาษี ขอเชิญฟังคำของอาตมา จงจำ
คำของอาตมาให้ดี อาตมาจะบอกซึ่งข้อความที่ท่านถาม
ถึงอนาคตกาล.

เนื้อความแห่งบทคาถานั้นว่า ฤาษีชื่อปัณฑรสะผู้เจริญ ท่านถาม
เรื่องใดกะเรา, เราจักกล่าวเรื่องนั้นที่เป็นอนาคตกาลแก่ท่าน, แต่ท่าน
จงฟังคำของเราผู้กำลังกล่าว คือจงใคร่ครวญโดยเคารพ จากการแสดง
เนื้อความในอนาคตกาล และจากอันนำมาซึ่งความสังเวชเถิด.

ลำดับนั้น พระเถระมองเห็นตามความเป็นจริง ซึ่งความเป็นไป
ของพวกภิกษุ และพวกนางภิกษุณีอย่างแจ่มแจ้งด้วยอนาคตังสญาณแล้ว
เมื่อจะบอกแก่ดาบสนั้น จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
ในกาลข้างหน้า ภิกษุเป็นอันมาก จักเป็นคนมัก
โกรธ มักผูกโกรธไว้ ลบหลู่คุณท่าน หัวดื้อ โอ้อวด
ริษยา มีวาทะต่าง ๆ กัน จักเป็นผู้มีมานะในธรรมที่ยัง
ไม่รู้ทั่วถึง คิดว่าตื้น ในธรรมที่ลึกซึ้ง เป็นคนเบา ไม่
เคารพธรรม ไม่มีความเคารพกันและกัน ในกาลข้าง
หน้า โทษเป็นอันมากจักเกิดขึ้นในหมู่สัตวโลก ก็เพราะ
ภิกษุทั้งหลายผู้ไร้ปัญญา จักทำธรรมที่พระศาสดาทรง
แสดงแล้วนี้ให้เศร้าหมอง ทั้งพวกภิกษุที่มีคุณอันเลว
โวหารจัด แกล้วกล้า มีกำลังมาก ปากกล้า ไม่ได้
ศึกษาเล่าเรียน ก็จักมีขึ้นในสังฆมณฑล ภิกษุทั้งหลาย
ในสังฆมณฑล แม้ที่มีคุณความดี มีโวหารโดยสมควร
แก่เนื้อความ มีความละอายบาป ไม่ต้องการอะไร ๆ
ก็จักมีกำลังน้อย ภิกษุทั้งหลายในอนาคตที่ทรามปัญญา
ก็จะพากันยินดีเงินทอง ไร่นา ที่ดิน แพะ แกะ และ
คนใช้หญิงชาย จักเป็นคนโง่มุ่งแต่จะยกโทษผู้อื่น ไม่
ดำรงมั่นอยู่ในศีล ถือตัว โหดร้าย เที่ยวยินดีแต่การ
ทะเลาะวิวาท จักมีใจฟุ้งซ่าน นุ่งห่มแต่จีวรที่ย้อม
สีเขียวแดง เป็นคนลวงโลก กระด้าง เป็นผู้แส่หาแต่

ลาภผล เที่ยวชูเขา คือมานะ ทำตนดังพระอริยเจ้าท่อง
เที่ยวไปอยู่ เป็นผู้แต่งผมด้วยน้ำมัน ทำให้มีเส้น
ละเอียด เหลาะแหละ ใช้ยาหยอดและทาตา มีร่างกาย
คลุมด้วยจีวรที่ย้อมด้วยสีงา สัญจรไปตามตรอกน้อยใหญ่
จักพากันเกลียดชังผ้าอันย้อมด้วยน้ำฝาด เป็นของไม่น่า
เกลียด พระอริยเจ้าทั้งหลายผู้หลุดพ้นแล้ว ยินดียิ่งนัก
เป็นธงชัยของพระอรหันต์ พอใจแต่ในผ้าขาว ๆ จักเป็น
ผู้มุ่งแต่ลาภผล เป็นคนเกียจคร้าน มีความเพียรเลว
ทราม เห็นการอยู่ป่าอันสงัดเป็นความลำบาก จักใคร่
อยู่ในเสนาสนะที่ใกล้บ้าน ภิกษุเหล่าใดยินดีมิจฉาชีพ
จักได้ลาภเสมอ ๆ จักพากันประพฤติตามภิกษุเหล่านั้น
(เที่ยวคบหาราชสกุลเป็นต้น เพื่อให้เกิดลาภแก่ตน) ไม่
สำรวมอินทรีย์เที่ยวไป อนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้ง-
หลายจะไม่บูชาพวกภิกษุที่มีลาภน้อย จักไม่สมคบภิกษุ
ที่เป็นนักปราชญ์ มีศีลเป็นที่รัก จักทรงผ้าสีแดง ที่ชน
ชาวมิลักขะชอบย้อมใช้ พากันติเตียนผ้าอันเป็นธงชัย
ของตนเสีย บางพวกก็นุ่งห่มผ้าสีขาวอันเป็นธงของพวก
เดียรถีย์ อนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุเหล่านั้น จักไม่
เคารพในผ้ากาสาวะ จักไม่พิจารณาในอุบายอันแยบคาย
บริโภคผ้ากาสาวะ เมื่อทุกข์ครอบงำถูกลูกศรแทงเข้า
แล้ว ก็ไม่พิจารณาโดยแยบคาย แสดงอาการยุ่งยาก

ในใจออกมา มีแต่เสียงโอดครวญอย่างใหญ่หลวง
เปรียบเหมือนช้างฉัททันต์ได้เห็นผ้ากาสาวะ อันเป็น
ธงชัยของพระอรหันต์ ที่นายโสณุตระพรานนุ่งห่มไปใน
คราวนั้น ก็ไม่กล้าทำร้าย ได้กล่าวคาถาอันประกอบด้วย
ประโยชน์มากมายว่า ผู้ใดยังมีกิเลสดุจน้ำฝาด ปราศจาก
ทมะและสัจจะจักนุ่งผ้ากาสาวะ ผู้นั้นย่อมไม่ควรนุ่งห่ม
ผ้ากาสาวะ ส่วนผู้ใดคายกิเลสดุจน้ำฝาดออกแล้ว ตั้ง
มั่นอยู่ในศีลอย่างมั่นคง ประกอบด้วยทมะและสัจจะ
ผู้นั้นจึงสมควรจะนุ่งห่มผ้ากาสาวะโดยแท้ ผู้ใดมีศีลวิบัติ
มีปัญญาทราม ไม่สำรวมอินทรีย์ กระทำตามความใคร่
อย่างเดียว มีจิตฟุ้งซ่าน ไม่ขวนขวายในทางที่ควร
ผู้นั้นไม่สมควรจะนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ส่วนผู้ใดสมบูรณ์
ด้วยศีล ปราศจากราคะ มีใจตั้งมั่น มีความดำริในใจ
อันผ่องใส ผู้นั้นสมควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะโดยแท้ ผู้ใด
ไม่มีศีล ผู้นั้นเป็นคนพาล มีจิตใจฟุ้งซ่าน มีมานะฟู
ขึ้น เหมือนไม้อ้อ ย่อมสมควรจะนุ่งห่มแต่ผ้าขาวเท่านั้น
จักควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะอย่างไร อนึ่ง ภิกษุและภิกษุณี
ทั้งหลายในอนาคต จักเป็นผู้มีจิตใจชั่วร้าย ไม่เอื้อเฟื้อ
จักข่มขู่ภิกษุทั้งหลายผู้คงที่มีเมตตาจิต แม้ภิกษุทั้งหลาย
ที่เป็นคนโง่เขลา มีปัญญาทราม ไม่สำรวมอินทรีย์
กระทำตามความใคร่ ถึงพระเถระให้ศึกษาการใช้สอย

ผ้าจีวรก็ไม่เชื่อฟัง พวกภิกษุที่โง่เขลาเหล่านั้น อันพระ-
เถระทั้งหลายให้การศึกษาแล้วเหมือนอย่างนั้น จักไม่
เคารพกันและกัน ไม่เอื้อเฟื้อในพระอุปัชฌายาจารย์ จัก
เป็นเหมือนม้าพิการ ไม่เอื้อเฟื้อนายสารถีฉะนั้น ใน
กาลภายหลังแต่ตติยสังคายนา ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลาย
ในอนาคต จักปฏิบัติอย่างนี้. ภัยอย่างใหญ่หลวงที่จะ
ทำอันตรายต่อข้อปฏิบัติ ย่อมมาในอนาคตอย่างนี้ก่อน
ขอท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้ว่าง่าย จงพูดแต่ถ้อยคำที่
สละสลวย มีความเคารพกันและกัน มีจิตเมตตากรุณา
ต่อกัน จงสำรวมในศีล ปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว
บากบั่นอย่างมั่นเป็นนิตย์ ขอท่านทั้งหลาย จงเห็นความ
ประมาทโดยความเป็นภัย และจงเห็นความไม่ประมาท
โดยความเป็นของปลอดภัย แล้วจงอบรมอัฏฐังรคิกมรรค
เมื่อทำได้ดังนี้แล้ว ย่อมจะบรรลุพระนิพพานอันเป็นทาง
ไม่เกิดไม่ตาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกธนา แปลว่า เป็นผู้มีความโกรธ
เป็นปกติ.
พึงทราบความสัมพันธ์ในบทว่า ภวิสฺสนฺติ อนาคเต ดังต่อไปนี้ :-
ถามว่า เรื่องอย่างนั้น ไม่ได้มีแล้วในกาลแห่งพระเถระหรือ ? ตอบว่า
ไม่ได้มีแล้ว หามิได้ ก็ในกาลนั้น เพราะพวกท่านเป็นผู้มากไปด้วย
กัลยาณมิตร จึงมีผู้กล่าวสอน ผู้ฉลาดในการสอนมากมายในสพรหม-

จารี เมื่อกิเลสทั้งหลายมีกำลัง เพราะท่านมากไปด้วยการไตร่ตรอง
พิจารณา พวกภิกษุโดยมากจึงไม่ได้มีความโกรธ; ความโกรธอย่างยิ่งจัก
มีในปริยายที่ทรงกันข้ามในกาลต่อไป เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวคำว่า
อนาคเต เป็นต้นไว้. แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้แล.
บทว่า อุปนาหี ได้แก่ ผู้มีปกติเข้าไปผูกความอาฆาต ในเพราะ
อาฆาตวัตถุ, หรือชื่อว่า อุปนาหี เพราะเป็นแดนเกิดแห่งการผูกความ
อาฆาต. พึงทราบอรรถในข้อนั้น ดังนี้:- พยาบาทที่มีมาในกาลก่อน ชื่อ
ว่า ความโกรธ, พยาบาท ที่มีในกาลต่อ ๆ ไป ชื่อว่า ความผูกโกรธ.
อีกอย่างหนึ่ง โทสะ ที่เป็นไปแล้วครั้งเดียว ชื่อว่า ความโกรธ, ที่
เป็นไปแล้วหลายครั้ง ชื่อว่า ความผูกโกรธไว้. ชื่อว่า ผู้มีความลบหลู่
เพราะลบหลู่คือล้างผลาญคุณความดีที่มีอยู่แก่ชนเหล่าอื่นเสีย, หรือชื่อว่า
ผู้มีความลบหลู่ เพราะลบหลู่คือล้างผลาญคุณความดีเหล่านั้น ที่มีอยู่แก่
ชนเหล่านั้นเสียหมด ดุจการลบหลู่น้ำ ด้วยการเช็ดถูน้ำฉะนั้น.
ชื่อว่า ถมฺภี เพราะคนเหล่านั้น เป็นคนหัวดื้อมีความถือตัวจัด
เป็นลักษณะ.
บทว่า สฐา ได้แก่ ผู้ประกอบพร้อมด้วยความโอ้อวดมีการประ-
กาศคุณที่ไม่มีอยู่ในตัวเป็นลักษณะ.
บทว่า อิสฺสุกี ได้แก่ ผู้ประกอบพร้อมด้วยความริษยาอันมีการ
ทำลายสมบัติของผู้อื่นเป็นลักษณะ.
บทว่า นานาวาทา ความว่า มีวาทะที่ทำลายกันและกัน มีทิฏฐิ
ที่ทำลายกันและกัน และทำการทะเลาะกันและกัน. บทว่า อญฺญาตมา-
นิโน ธมฺเม คมฺภีเร ตีรโคจรา
ความว่า เป็นผู้มีมานะอย่างนี้ ใน

พระสัทธรรมที่ลึกซึ้ง ส่องได้ยาก ที่ตนเองยังไม่รู้ทั่วถึง ว่าตนเองรู้แล้ว
ว่าตนเองเห็นแล้ว. ต่อจากนั้นนั่นเอง ก็มีความคิดว่าตื้นต่ำต้อย เพราะ
พระสัทธรรมนั้น เป็นไปในส่วนที่ต่ำต้อย.
บทว่า ลหุกา ได้แก่ เป็นคนหวั่นไหว เพราะมีความเบาเป็น
สภาวะ.
บทว่า อครู ธมฺเม ได้แก่ ปราศจากความเคารพในพระ-
สัทธรรม.
บทว่า อญฺญมญฺญมคารวา ได้แก่ ไม่มีความยำเกรงในกันและ
กัน คือปราศจากความเคารพที่หนักแน่น ในพระสงฆ์และในหมู่เพื่อน
สพรหมจารี.
บทว่า พหู อาทีนวา ได้แก่ มีประการดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว,
และโทษเป็นอเนกมากมายที่กล่าวอยู่ จักเกิดเป็นอันตราย. บทว่า โลเก
ได้แก่ ในสัตวโลก.
บทว่า อุปฺปชฺชิสฺสนฺตฺยนาคเต ความว่า จักปรากฏมีในอนาคต
กาล.
บทว่า สุเทสิตํ อิมํ ธมฺมํ ความว่า จักทำปริยัติสัทธรรมนี้
อันไม่วิปริตด้วยดี ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว โดยประการ
ที่งดงามมีงามในเบื้องต้นเป็นอาทิ. บทว่า กิเลสิสฺสนฺติ ความว่า จัก
ทำให้เศร้าหมอง ให้ถูกกิเลสประทุษร้ายอยู่ คือจักทำรูปธรรมและอรูป-
ธรรม อันละเอียดสุขุมให้ปะปนด้วยอสัทธรรม ที่เป็นทุจริตและสังกิเลส
โดยนัยเป็นต้นว่า ที่เป็นอาบัติว่า ไม่เป็นอาบัติ, ที่เป็นครุกาบัติว่า

เป็นลหุกาบัติ ดังนี้, ได้แก่ จักทำให้เศร้าหมอง คือจักทำให้หม่นหมอง
ด้วยสังกิเลสคือตัณหา แม้ยิ่งกว่าทิฏฐิและสังกิเลสทั้งสองอย่าง.
บทว่า ทุมฺมติ ได้แก่ ผู้ไร้ปัญญา. สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้-
มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักมีในอนาคต-
กาลอันยาวนาน ฯ ล ฯ เมื่อจะบอกอภิธรรมกถา เวทัลลกถา หยั่งลงสู่
ธรรมฝ่ายดำอยู่ จักไม่รู้ได้เลย ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า คุณหีนา ได้แก่ ผู้ทุศิลปราศจากคุณมีศีลเป็นต้น และ
ไม่มีความละอาย. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า คุณหีนา ได้แก่ ผู้ทราบจาก
คุณมีพระวินัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้วเป็นต้น คือไม่มีความ
กตัญญูในพระธรรมวินัย.
บทว่า สงฺฆมฺหิ แปลว่า ในท่ามกลางสงฆ์. บทว่า โวหรนฺตา
ได้แก่ กล่าวอยู่, คือพูดอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยถ้อยคำที่จัดจ้านอยู่ใน
ท่ามกลางสงฆ์.
บทว่า วิสารทา ได้แก่ ไม่กลัว คึกคะนอง.
บทว่า พลวนฺโต ได้แก่ มีกำลังมาก โดยกำลังที่เป็นฝ่ายตรง
ข้าม.
บทว่า มุขรา ได้แก่ มีปากกล้า มีวาทะแข็งกระด้าง. บทว่า
อสฺสุตาวิโน ได้แก่ ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน คือเป็นผู้ทรงคุณ โดยอาศัย
ลาภ สักการะ และความสรรเสริญอย่างเดียว จักเป็นผู้มีกำลังตั้งมั่นใน
ท่ามกลางสงฆ์ เพื่อประโยชน์ที่ตนต้องการอย่างนี้ว่า สิ่งที่เป็นธรรม ว่า
เป็นอธรรม และสิ่งที่เป็นอธรรม ว่าเป็นธรรม, สิ่งที่เป็นวินัย ว่าไม่
ใช่วินัย และสิ่งที่ไม่ใช่วินัย ว่าเป็นวินัย ดังนี้.

บทว่า คุณวนฺโต ได้แก่ ผู้สมบูรณ์ด้วยคุณ มีศีลเป็นต้น.
บทว่า โวหรนฺตา ยถาถตฺโต ได้แก่ แสดงโดยสมควรแก่เนื้อความ
คือไม่ยอมให้เนื้อความวิปริตอย่างนี้ว่า สิ่งที่เป็นธรรม ก็ว่าเป็นธรรม,
สิ่งที่เป็นอธรรม ก็ว่าเป็นอธรรม, สิ่งที่เป็นวินัย ก็ว่าเป็นวินัย. สิ่งที่ไม่ใช่
วินัย ก็ว่าไม่ใช่วินัย ดังนี้.
บทว่า ทุพฺพลา เต ภวิสฺสนฺติ ความว่า ภิกษุเหล่านั้น จักเป็นผู้
ปราศจากกำลัง เพราะค่าที่พวกตนหนาไปด้วยความไม่ละอาย ในท่ามกลาง
บริษัท, ถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้น จักไม่ตั้งอยู่ได้.
บทว่า หิรีมนา อนตฺถิกา ได้แก่ มีความละอาย ไม่ต้องการด้วย
อะไร ๆ. จริงอยู่ ภิกษุเหล่านั้น แม้สามารถเพื่อจะกล่าวด้วยธรรม ไม่
กระทำความทำร้ายด้วยเหตุบางอย่าง เพราะค่าที่ตนเป็นผู้รังเกียจบาป
และเพราะค่าที่ตนเป็นผู้มีกิจน้อย ไม่ทำความพยายามเพื่อจะยึดมั่นวาทะ
ของตน พากันนิ่งเสีย ไม่ยอมทำการเปิดเผย หรือความตั้งใจแน่วแน่.
บทว่า รชตํ ได้แก่ รูปิยะ, แม้กหาปณะ โลหะและมาสกเป็นต้น
ก็พึงเห็นว่าท่านสงเคราะห์ด้วยรูปิยะนั้น.
บทว่า ชาตรูปํ ได้แก่ ทอง, แม้แก้วมณีและแก้วมุกดาเป็นต้น
ก็พึงเห็นว่า ท่านสงเคราะห์ด้วยทองนั้น. วา ศัพท์ เป็นสมุจจยัตถะ ดุจ
ในประโยคเป็นต้นว่า อปทา วา ดังนี้. อีกอย่างหนึ่ง บาลีว่า รชตชาต-
รูปญฺจ
ดังนี้ก็มี.
บทว่า เขตฺตํ ได้แก่ ปุพพัณชาติและอปรัณชาติ ย่อมงอกงาม
ในที่ใด ที่นั้นชื่อว่านา. ภูมิภาคที่มิได้กระทำเพื่อประโยชน์อย่างนั้น ชื่อว่า
สวน.

บทว่า อเชฬกํ ได้แก่ แพะเท่านั้น ชื่อว่าเอฬกา, เว้นแพะและ
แกะเหล่านั้นเสีย สัตว์เลี้ยงที่เหลือ ชื่อว่า อชา. จริงอยู่ ในที่นี้ แม้โค
และกระบือเป็นต้น ท่านก็ทำการสงเคราะห์ด้วย อเชฬก ศัพท์เหมือนกัน.
บทว่า ทาสิทาสญฺจ ได้แก่ ทาสหญิงและทาสชาย.
บทว่า ทุมฺเมธา ได้แก่ ผู้ไม่รู้, คือเมื่อไม่รู้จักสิ่งที่ควรและไม่ควร
สิ่งที่เหมาะเเละไม่เหมาะ (นุ่ง) เพื่อประโยชน์ตน.
บทว่า สาทิยิสฺสนฺติ แปลว่า จักรับ.
บทว่า อุชฺฌานสญฺญิโน ได้แก่ คิดแต่จะมองดูผู้อื่นอยู่หลังตน
หรือมีปกติยกโทษแม้ในที่ที่ไม่ควรจะยกโทษ.
บทว่า พาลา ได้แก่ ประกอบพร้อมแล้วด้วยพาลลักษณะ โดยมี
ความคิดแต่เรื่องที่คิดชั่วเป็นต้น. ต่อแต่นั้น ก็ไม่ดำรงมั่นอยู่ในศีล คือ
มีจิตไม่ตั้งมั่นในจตุปาริสุทธิศีล.
บทว่า อุนฺนฬา ได้เเก่ ยกตัวถือตัว. บทว่า วิจริสฺสนฺติ ความว่า
จักยกธงคือมานะ เที่ยวไป.
บทว่า กลหาภิรตา มคา ความว่า เพราะคนเป็นผู้มากไปด้วย
สารัมภะ จึงเป็นผู้ขวนขวายในคำกล่าวโต้ตอบ เที่ยวยินดีแต่ในการ
ทะเลาะวิวาทอย่างเดียว มุ่งแต่ประโยชน์ตน ยินดีแต่ในการแสวงหาอาหาร
ชอบเบียดเบียนแต่ผู้อื่นที่อ่อนแอ ราวกะมิคะฉะนั้น.
บทว่า อุทฺธตา ได้แก่ ประกอบพร้อมแล้วด้วยจิตที่ฟุ้งซ่าน คือ
ปราศจากจิตที่เป็นเอกัคคตา.
บทว่า นีลจีวรปารุตา ได้แก่ นุ่งห่มแต่จีวรสีเขียว ปนสีแดงเพราะ
ย้อมไม่สมควร คือเที่ยวนุ่งและห่มจีวรเช่นนั้น.

บทว่า กุหา ได้แก่ เป็นคนลวงโลก ด้วยวัตถุเครื่องล่อลวง มีการ
ร่ายมนต์เป็นต้น คือทำการล่อลวง เพื่อปรารถนาจะยกย่องคุณที่ไม่มีอยู่
ให้ปรากฏเป็นสิ่งประหลาดแก่ชนเหล่าอื่น.
บทว่า ถทฺธา ได้แก่ มีใจกระด้าง คือมีใจกักขฬะ ด้วยความโกรธ
และมานะ.
บทว่า ลปา ได้แก่ เป็นผู้มักเจรจา คือเป็นผู้มีความประพฤติล่อลวง
โลก อธิบายว่า เป็นผู้ใช้วาทะชักชวนพวกผู้ถวายปัจจัย กับพวกมนุษย์
ผู้มีใจเลื่อมใส ให้พูดว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้ามีความต้องการ
ด้วยสิ่งใด, หรือเป็นผู้ล่อลวงเพื่อต้องการปัจจัย ด้วยอำนาจการใช้วาจา
ที่วางแผนมาแล้ว และด้วยอำนาจกลอุบายโกง.
บทว่า สิงฺคี ได้แก่ เขาสัตว์ ในข้อนั้นเป็นไฉน เขาสัตว์มีอธิบายว่า
ผู้ที่ประกอบพร้อมด้วยกิเลสอันปรากฏชัด เช่นกับเขาสัตว์ ที่ท่านกล่าวไว้
อย่างนี้ว่า ความรักใคร่ ความเฉียบแหลม ความฉลาด ความตระเตรียม
ความไตร่ตรองรอบด้าน ดังนี้ เที่ยวชูเขาไป. คำว่า อริยา วิย นี้ เป็น
คำแสดงถึงเนื้อความแห่งบทว่า กุหา นั้นนั่นเอง. ก็พระเถระ เมื่อจะ
แสดงว่าพวกภิกษุผู้ลวงโลกตั้งตนดังพระอริยเจ้า จึงกล่าวว่า ทำตนดัง
พระอริยเจ้าท่องเที่ยวไปอยู่ ดังนี้.
บทว่า เตลสณฺเฐหิ ได้แก่ เป็นผู้แต่งเส้นผม ด้วยน้ำมัน ขี้ผึ้ง
หรือด้วยน้ำมันชนิดน้ำ.
บทว่า จปลา ได้แก่ ประกอบด้วยความกลับกลอก มีการแต่งกาย
และแต่งบริขารเป็นต้น.

บทว่า อญฺชนกฺขิ กา ได้แก่ มีนัยน์ตาอันหยอดแล้ว ด้วยการหยอด
เพื่อประดับตกแต่ง.
บทว่า รถิยาย คมิสฺสนติ ความว่า สัญจรไปข้างโน้นข้างนี้ ตาม
ถิ่นที่จะเข้าไปสู่สกุล ที่เป็นตรอกน้อยใหญ่ เพื่อภิกษาจาร.
บทว่า ทนฺตวณฺณิกปารุตา ได้แก่ มีร่างกายอันคลุมด้วยจีวร ที่
ย้อมด้วยสีงา.
บทว่า อเชคุจฺฉํ ได้แก่ พึงพากันเกลียดชัง. บทว่า วิมุตฺเตหิ
ได้แก่ พระอริยเจ้าทั้งหลาย.
บทว่า สุรตฺตํ ความว่า จักพากันเกลียดชังผ้ากาสาวะ อันเป็นธงชัย
ของพระอรหันต์ ที่ย้อมแล้วด้วยดี ด้วยเครื่องย้อมอันสมควร เพราะ
พระอรหันต์ทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เคยประพฤติมาแล้ว. เพราะ
เหตุไร ? เพราะพอใจแต่ในผ้าขาว ๆ คือถึงความพอใจยินดี. จริงอยู่
คำนี้เป็นเหตุของการคลุมร่างกายด้วยผ้าสีงา. ก็ภิกษุเหล่านั้น เมื่อพากัน
ยินดีพอใจผ้าสีขาว ย่อมนุ่งห่มผ้าสีงา เป็นเหตุให้รู้ว่า เมื่อยึดถือผ้าสีขาว
ตลอดกาล ก็เป็นเพียงดังสละเพศฉะนั้น.
บทว่า ลาภกามา ได้แก่ มีความยินดีแต่ในลาภผล. ชื่อว่า เป็น
คนเกียจคร้าน
เพราะประกอบแต่ความเกียจคร้าน แม้ในการประพฤติ
เที่ยวไปเพื่อภิกษา.
ชื่อว่า เป็นผู้มีความเพียรเลวทราม เพราะไม่มีจิตคิดอุตสาหะเพื่อ
บำเพ็ญสมณธรรม.
บทว่า กิจฺฉนฺตา ได้แก่ มีความลำบาก, อธิบายว่า ลำบาก คือ
ลำบากใจ เพื่อจะอยู่ในป่าอันสงัด.

บทว่า คามนฺเตสุ ได้แก่ ในเสนาสนะท้ายหมู่บ้าน คือในเสนาสนะ
ที่ใกล้หมู่บ้าน หรือในเสนาสนะใกล้ ๆ ประตูบ้าน. บทว่า วสิสฺสเร
แปลว่า จักอยู่.
บทว่า เต เตว อนุสิกฺขนฺตา ความว่า ภิกษุเหล่าใด ๆ ได้ลาภ
ด้วยการประกอบมิจฉาชีพ ภิกษุเหล่านั้น ๆ นั่นแหละ จักกลับตัวศึกษา
ตามคนทั้งหลาย.
บทว่า ภมิสฺสนฺติ ความว่า แม้ตนเองก็จักกลับตัวคบหาราชสกุล
เป็นต้น เพื่อให้เกิดลาภ โดยมิจฉาชีพ เหมือนภิกษุเหล่านั้น. อีกอย่างหนึ่ง
บาลีว่า ภชิสฺสนฺติ ดังนี้ก็มี, ความว่า จักคบหา. บทว่า อสํยตา
ได้แก่ ปราศจากการสำรวมในศีล.
บทว่า เย เย อลาภิโน ลาภํ ความว่า ภิกษุเหล่าใด เป็นผู้ไม่ได้
ลาภ ไม่ได้ปัจจัย เพราะเว้นจากมิจฉาชีพ และเพราะตนเป็นผู้มีบุญน้อย
ภิกษุเหล่านั้นจะได้รับการนอบน้อม คือบูชา สรรเสริญ จักไม่มีในกาลนั้น
คือในอนาคตกาลเลย.
บทว่า สุเปสเลปิ เต ธีเร ความว่า จักไม่คบภิกษุเหล่านั้น ผู้เป็น
นักปราชญ์เพราะสมบูรณ์ด้วยปัญญา แม้มีศีลเป็นที่รักด้วยดี คือในอนาคต-
กาล ภิกษุทั้งหลายผู้มีลาภ ก็ย่อมมุ่งแต่ลาภอย่างเดียวเท่านั้น.
บทว่า มิลกฺขุรชนํ รตฺตํ ได้แก่ ย้อมแล้ว ย้อมด้วยผลมะเดื่อกลาย
เป็นสีดำ. จริงอยู่ บทนี้เป็นบทสมาส, ท่านแสดงถึงการเปล่งเสียงที่ออก
ทางจมูก เพื่อสะดวกแก่การกล่าวคาถา.
บทว่า ครหนฺตา สกํ ธชํ ได้แก่ พากันติเตียนผ้ากาสาวะ อันเป็น

ธงชัยของตนเสีย. จริงอยู่ ผ้ากาสาวะ ชื่อว่าเป็นธงชัยของพวกบรรพชิต
ในพระศาสนา.
บทว่า ติตฺถิยานํ ธชํ เกจิ ความว่า บางพวกรู้ว่าเป็นสมณศากย-
บุตรอยู่นั้นแล แต่ก็จักนุ่งห่มผ้าขาว อันเป็นธงชัยของพวกเดียรถีย์ ผู้มี
ผ้านุ่งสีขาว.
บทว่า อคารโว จ กาสาเว ความว่า ความไม่เคารพ คือความ
ไม่นับถือผ้ากาสาวะ อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ จักมีแก่ภิกษุเหล่านั้น
ในอนาคตกาล.
บทว่า ปฏิสงฺขา จ กาสาเว ความว่า จักไม่มีการใช้สอยผ้ากาสาวะ
แม้เพียงการพิจารณา โดยนัยเป็นต้นว่า เราพิจารณาโดยแยบคายแล้ว
จึงใช้สอยจีวร ดังนี้.
พระเถระ เมื่อจะชักเอาฉัททันตชาดกขึ้นเป็นอุทาหรณ์1 ในตอน
ที่ช้างฉัททันต์ ทำความเคารพผ้ากาสาวะด้วยคิดว่า ผู้ใช้สอยผ้ากาสาวะ
มีความเคารพนับถือผ้ากาสาวะมาก พึงงดเว้นจากทุจริตได้ จึงกล่าวคำ
เป็นต้นว่า อภิภูตสฺส ทุกฺเขน ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สลฺลวิทฺธสฺส ได้แก่ ถูกลูกศรอันอาบ
ด้วยยาพิษอย่างหนาแทงเข้าแล้ว, ต่อแต่นั้นนั่นแล ก็ถูกความทุกข์อย่างใหญ่
หลวงครอบงำ. บทว่า รุปฺปโต ได้แก่ เพราะถึงความวิการแห่งสรีระ.
บทว่า มหาโฆรา ความว่า ความกลัว พิจารณาแล้วมากไปด้วย
ความเคารพ จนไม่ห่วงใยในร่างกายและชีวิต คือไม่อาจจะให้ความคิด
เป็นไปในทางอื่นได้ ได้มีแล้วแก่พระยาช้างฉัททันต์.

1. ขุ. ชา. 27/ข้อ 2327.

ก็พระโพธิสัตว์ ในกาลที่เสวยพระชาติเป็นพระยาช้างฉัททันต์ ถูก
นายโสณุตระพราน ผู้ยืนหลบในที่ซ่อนตัว ยิงด้วยลูกศรที่กำซาบด้วย
ยาพิษแล้ว ถูกทุกข์อย่างใหญ่หลวงครอบงำ จึงจับเขาแล้ว ครั้นพอเห็น
ผ้ากาสาวะที่คลุมกายเขาเข้า จึงคิดว่า ผู้นี้คลุมกายด้วยผ้ากาสาวะ อันเป็น
ธงชัยของพระอริยเจ้า เราไม่พึงเบียดเบียนเลย ดังนี้แล้ว จึงเข้าไปตั้งไว้
เฉพาะซึ่งเมตตาจิต ในนายพรานนั้นแล้ว แสดงธรรมเป็นเบื้องแรก.
เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-
พระยาช้าง ผู้มีจิตไม่ประทุษร้าย ถูกยิงด้วยลูกศร
อับกำซาบหนาด้วยยาพิษ ได้กล่าวกะนายพรานว่า แน่ะ
สหายเอ๋ย เพื่อประโยชน์อะไร หรือเพื่อสิ่งใด จึงมุ่งฆ่า
เรา หรือว่าความพยายามนี้ ท่านทำเพื่อใคร
ดังนี้เป็นต้น.
พระเถระเมื่อจะแสดงเนื้อความนี้ จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ฉทฺทนฺโต
หิ
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุรตฺตํ อรหทฺธชํ นี้ ท่านกล่าวหมาย
ถึงผ้ากาสาวะที่นายโสณุตระพราน คลุมร่างกายแล้ว. บทว่า อภณิ
แปลว่า ได้กล่าวแล้ว. บทว่า คาถา แปลว่า ซึ่งคาถาทั้งหลาย.
บทว่า คโช แปลว่า พระยาช้างฉันทันต์. บทว่า อตฺโถปสํหิตา
ชื่อว่า หิตะ เพราะอิงอาศัยประโยชน์ อธิบายว่า ประกอบแล้วด้วย
ประโยชน์.
บทว่า อนิกฺกสาโว ในคาถาที่พระยาช้างฉัททันต์กล่าวแล้ว ได้แก่
ชื่อว่า กสาวะ เพราะมีกิเลสดุจน้ำฝาด มีราคะเป็นต้น. บทว่า ปริทหิสฺสติ

ความว่า จักใช้สอย ด้วยการนุ่งห่ม และปูลาด. อีกอย่างหนึ่ง บาลีว่า
ปริธสฺสติ ดังนี้ก็มี.
บทว่า อเปโต ทมสจฺเจน ความว่า ปราศจาก พรากจาก คือ
สละจากการข่มอินทรีย์ และวจีสัจจะที่เป็นฝักฝ่ายแห่งปรมัตถสัจจะ.
บทว่า น โส ความว่า บุคคลนั้น คือผู้รู้เห็นปานนั้น ย่อมไม่ควร
เพื่อจะนุ่งห่มผ้ากาสาวะ.
บทว่า วนฺตกสาวสฺส ความว่า พึงเป็นผู้มีกิเลสดุจน้ำฝาดคายออก
แล้ว ทิ้งแล้ว คือละได้เเล้วด้วยมรรค 4.
บทว่า สีเลสุ คือในปาริสุทธิศีล 4. บทว่า สุสมาหิโต แปลว่า
ตั้งมั่นแล้วด้วยดี.
บทว่า อุเปโต ได้แก่ เข้าไปประกอบพร้อมแล้ว ด้วยการข่ม
อินทรีย์ และด้วยสัจจะมีประการดังที่กล่าวไว้แล้ว.
บทว่า ส เว ความว่า บุคคลนั้น คือผู้เห็นปานนั้น ย่อมควร
(เพื่อจะนุ่งห่ม) ผ้ากาสาวะอันมีกลิ่นหอมนั้น โดยส่วนเดียวแท้.
บทว่า วิปนฺนสีโล คือผู้มีศีลขาดแล้ว. บทว่า ทุมฺเมโธ ได้แก่
ไม่มีปัญญา คือปราศจากปัญญาเป็นเครื่องที่จะชำระศีล (ให้บริสุทธิ์).
บทว่า ปากโฏ ได้แก่ ปรากฏ คือประกาศว่า ผู้นี้เป็นคนทุศีล,
หรือปรากฏ คือมีอินทรีย์อันปรากฏแล้ว เพราะเหตุที่คนมีอินทรีย์อัน
ฟุ้งซ่านแล้ว. บทว่า กามการิโย ได้แก่ เพราะขาดจากความสำรวม
จึงเป็นผู้ทำตามใจปรารถนา, หรือกระทำตามความใคร่ของกามและ
ของมาร.

บทว่า วิพฺภนฺตจิตฺโต ได้แก่ ผู้มีจิตฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ
มีรูปารมณ์เป็นต้น. บทว่า นิสฺสุกฺโก ได้แก่ ไม่ขวนขวาย คือปราศจาก.
ธรรมฝ่ายขาว เว้นจากหิริโอตตัปปะ, หรือปราศจากการขวนขวายในการ
บำเพ็ญกุศลธรรมให้ถึงพร้อม.
บทว่า วีตราโค คือมีฉันทราคะไปปราศแล้ว. บทว่า โอทาตมน-
สงฺกปฺโป
ได้แก่ มีความตรึกในใจสะอาดและบริสุทธิ์ หรือมีความดำริ
อันไม่ชุ่นมัว.
บทว่า กาสาวํ กึ กริสฺสติ ความว่า ผู้ใดไม่มีศีล, ผ้ากาสาวะจัก
สำเร็จประโยชน์แก่ผู้นั้นได้อย่างไรเล่า, คือเพศบรรพชิตของเขาจะเป็น
เช่นกับถูกแต่งให้วิจิตรภายนอกฉะนั้น.
บทว่า ทุฏฺฐิจิตฺตา ได้แก่ ผู้มีจิตถูกโทษแห่งกิเลสมีราคะเป็นต้น
ประทุษร้ายแล้ว. บทว่า อนาทรา ได้แก่ จักเป็นผู้ปราศจากความเอื้อเฟื้อ
คือไม่มีความเคารพ ในพระศาสดา ในพระธรรม และในกันและกัน
(ในพระสงฆ์).
บทว่า ตาทีนํ เมตฺตจิตฺตานํ ความว่า ผู้มีหัวใจประกอบพร้อม
แล้วด้วยเมตตาภาวนา บรรลุถึงความเป็นผู้คงที่ ในอารมณ์มีอิฏฐารมณ์
เป็นต้น มีคุณอันโอฬาร เพราะบรรลุพระอรหัตนั้นนั่นแล. ก็คำทั้งสอง
นี้ เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ใช้ลงในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ.
บทว่า นิคฺคณฺหิสสนฺติ ความว่า ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ถูกเบียด-
เบียนแล้ว ก็จักหลีกไปโดยประการใด จักถูกเบียดเบียนโดยประการนั้น
ด้วยความไม่เคารพและความกลัวในตนว่า ภิกษุทั้งหลายเห็นผู้สมบูรณ์
ด้วยศีลเป็นต้นแล้ว เมื่อจะทำการยกย่อง จักไม่สำคัญพวกเราผู้มีศีลวิบัติ
เป็นอันมาก.

บทว่า สิกฺขาเปนฺตาปิ ได้แก่ แม้ให้ศึกษาอยู่. จริงอยู่ บัดนี้ ท่าน
แสดงเป็นกัตตุวาจก ลงในกรรมวาจก. บทว่า เถเรหิ ได้แก่ อันพระ-
อาจารย์และอุปัชฌาย์ของตน.
บทว่า จีวรธารณํ นี้ เป็นเพียงแสดงถึงข้อปฏิบัติของสมณะ ความว่า
เพราะฉะนั้น จึงให้ศึกษาอยู่ โดยนัยเป็นต้นว่า เธอพึงก้าวไปอย่างนี้,
เธอพึงถอยกลับอย่างนี้ ดังนี้.
บทว่า น สุณิสฺสนฺติ ความว่า จักไม่ยอมรับฟังโอวาท.
บทว่า เต ตถา สิกฺขิตา พาลา ความว่า ภิกษุพวกที่โง่เขลา
เหล่านั้น แม้อาจารย์และพระอุปัชฌาย์ให้ศึกษาอยู่ ก็ไม่ยอมศึกษา เพราะ
ไม่มีความเอื้อเฟื้อ.
บทว่า นาทิยิสฺสนฺตุปชฺฌาเย ความว่า ไม่ยอมทำความเอื้อเฟื้อ
ในพระอุปัชฌาย์และในพระอาจารย์ คือไม่ดำรงในคำสั่งสอนของพระ-
อุปัชฌาย์เป็นต้นเหล่านั้น. ถามว่า เปรียบเหมือนอะไร ? เปรียบเหมือน
ม้าพิการ ไม่เอื้อเฟื้อนายสารถีฉะนั้น. ความว่า ภิกษุแม้เหล่านั้น ย่อม
ไม่กลัว คือไม่ยินดีในพระอุปัชฌาย์และพระอาจารย์ เปรียบเหมือนม้าพิการ
คือม้าโกง ย่อมไม่เอื้อเฟื้อต่อนายสารถีผู้ฝึกม้า คือไม่ตั้งอยู่ในคำสั่งสอน
ของนายสารถีนั้นฉะนั้น.
คำว่า เอวํ เป็นต้น เป็นคำลงท้ายของเรื่องที่กล่าวไว้แล้วนั่นแล.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ แปลว่า โดยประการดังกล่าวไว้
แล้ว. บทว่า อนาคตทฺธานํ ได้แก่ ในกาลที่ยังไม่มาถึง คือในอนาคต-
กาล.

พระเถระเมื่อจะแสดงถึงกาลนั้นนั่นแหละ โดยสรุป จึงกล่าวคำ
เป็นต้นว่า ปตฺเต กาลมฺหิ ปจฺฉิเม ในกาลภายหลังแต่ตติยสังคายนา
ดังนี้.
ก็ปัจฉิมกาลในคำนั้นเป็นไฉน ? อาจารย์บางพวกตอบว่า ตั้งแต่
ตติยสังคายนามา จัดเป็นปัจฉิมกาล, อาจารย์บางพวกไม่รู้คำนั้นเลย.
จริงอยู่ ยุคแห่งพระศาสนามี 5 ยุค คือวิมุตติยุค สมาธิยุค ศีลยุค สุตยุต
และทานยุค. บรรดายุคเหล่านั้น ยุคแรกจัดเป็นวิมุตติยุค, เมื่อวิมุตติยุค
นั้น อันตรธานแล้ว สมาธิยุคก็เป็นไป, แม้เมื่อสมาธิยุคนั้น อันตรธาน
แล้ว ศีลยุคก็เป็นไป, แม้เมื่อศีลยุคนั้น อันตรธานแล้ว สุตยุคก็เป็นไป
ทีเดียว. ก็ผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์ ประดับประคอง ปริยัตติธรรมและพาหุสัจจะ
ให้ดำรงอยู่ได้ โดยอย่างเดียวหรือสองอย่าง เพราะค่าที่คนมุ่งถึงลาภ
เป็นต้น. ก็ในคราวใด ปริยัตติธรรมมีมาติกาเป็นที่สุด ย่อมอันตรธาน
ไปทั้งหมด ตั้งแต่นั้นมา จักเหลือก็เพียงเพศเท่านั้น ในคราวนั้นคน
ทั้งหลายจะพากันรวบรวมเอาทรัพย์ตามมีตามได้แล้ว เสียสละโดยมุ่งให้
ทาน, เล่ากันว่า การปฏิบัตินั้น จัดเป็นสัมมาปฏิบัติครั้งสุดท้ายของคน
เหล่านั้น. บรรดายุคเหล่านั้น ตั้งแต่สุตยุคมา จัดเป็นปัจฉิมกาล, อาจารย์
พวกอื่นกล่าวว่า ตั้งแต่ศีลยุคมา จึงจัดเป็นปัจฉิมกาลก็มี.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุรา อาคจฺฉเต เอตํ ความว่า ภัย
อย่างใหญ่หลวงที่จะทำอันตรายต่อข้อปฏิบัติ ที่เรากล่าวแล้วแก่พวกท่าน
ทั้งหลายนั้น ย่อมมาในอนาคตอย่างนี้ก่อน คือจักมาจนถึงในกาลนั้น
นั่นแล.

บทว่า สุพฺพจา ได้แก่ เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ คือประกอบพร้อม
ด้วยธรรมอันกระทำให้เป็นผู้ว่าง่าย อธิบายว่า เป็นผู้ตั้งอยู่ในคำสั่งสอน
ของครูทั้งหลาย คือมีปกติรับโอวาทเบื้องขวา. บทว่า สขิลา ได้แก่
มีใจอ่อนโยน.
บทว่า เมตฺตจิตฺตา ได้แก่ มีจิตประกอบพร้อมด้วยเมตตา มีอัน
นำประโยชน์เข้าไปให้สัตว์ทั้งปวงเป็นลักษณะ.
บทว่า การุณิกา ได้แก่ ประกอบแล้วด้วยกรุณา คือประกอบ
พร้อมแล้วด้วยความกรุณา มีการประพฤติปลดเปลื้องทุกข์ของสัตว์
เหล่าอื่น.
บทว่า อารทฺธวีริยา ได้แก่ มีความเพียร เพื่ออันละเสียซึ่งอกุศล
ทั้งหลายให้ถึงพร้อม.
บทว่า ปหิตตฺตา ได้แก่ มีจิตอันส่งตรงไปเฉพาะพระนิพพาน.
บทว่า นิจฺจํ ได้แก่ ตลอดกาลทั้งปวง. บทว่า ทฬฺหปรกฺกมา
ได้แก่ มีความเพียรมั่นคง.
บทว่า ปมาทํ ได้แก่ ความประมาท คือการไม่ตั้งไว้ซึ่งกุศลธรรม
ทั้งหลาย. สมดังที่ตรัสไว้ว่า1:-
ในข้อนั้น ความประมาทเป็นไฉน, การปล่อยจิตไป
การตามเพิ่มให้ซึ่งความปล่อยจิตในกายทุจริต วจีทุจริต
มโนทุจริต หรือในกามคุณ 5 หรือการทำการบำเพ็ญ
กุศลธรรมโดยไม่เคารพ
ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า อปฺปมาทํ ได้แก่ ความไม่ประมาท, ความไม่ประมาทนั้น

1. อภิ. วิ. 35 /ข้อ 863.

บัณฑิตพึงทราบโดยตรงกันข้ามจากความประมาทเถิด. ก็โดยความหมาย
ชื่อว่าความไม่ประมาท ก็คือการไม่อยู่ปราศจากสติ, และคำนั้น เป็นชื่อ
ของการเข้าไปตั้งสติไว้มั่นคง. จริงอยู่ ในข้อนั้น มีอธิบายดังต่อไปนี้
เพราะสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ทั้งหมด มีความประมาทเป็นมูล และ
สิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งหมดมีความไม่ประมาทเป็นมูล ฉะนั้น ท่านทั้งหลาย
พึงเห็นความประมาท โดยความเป็นภัย คือโดยความเป็นอุปัทวะแล้ว
และพึงเห็นความไม่ประมาท โดยความปลอดภัย คือโดยไม่มีอุปัทวะ
แล้ว พึงเจริญอัฏฐังคิกมรรค คืออริยมรรค มีองค์ 8 มีสัมมาทิฏฐิ
เป็นต้น ที่สงเคราะห์ด้วยขันธ์ 3 มีศีลขันธ์เป็นต้น อันเป็นยอดแห่งข้อ
ปฏิบัติ ด้วยความไม่ประมาทเถิด, ท่านจะถูกต้อง คือกระทำให้แจ้ง ซึ่ง
อมตธรรมได้แก่พระนิพพาน ให้เกิดขึ้นในสันดานของตนได้, ครั้นเข้า
ถึงทัสสนมรรค (โสดาปัตติมรรค) แล้ว ก็เจริญด้วยการทำมรรค 3 เบื้อง
บนให้บังเกิดขึ้นอีก ท่านบำเพ็ญภาวนาจักถึงที่สุดยอดได้ ก็ด้วยความไม่
ประมาท ด้วยประการฉะนี้แล.
พระเถระ กล่าวสั่งสอนบริษัทที่ถึงพร้อมแล้วอย่างนี้แล. ก็คาถา
พยากรณ์ความเป็นพระอรหัตเหล่านี้ทั้งหมด ได้มีแล้วแก่พระเถระนี้แล.
จบอรรถกถาปุสสเถรคาถาที่ 1

2. สารีปุตตเถรคาถา


ว่าด้วยสัมมาปฏิบัติของภิกษุ


พระสารีบุตรเถระ ครั้นสำเร็จแห่งสาวกบารมีญาณ ดำรงอยู่ใน
ตำแหน่งพระธรรมเสนาบดีอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทำประโยชน์แก่หมู่สัตว์
วันหนึ่งเมื่อพยากรณ์อรหัตผลโดยมุขะ คือประกาศความประพฤติของตน
แก่เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย จึงได้กล่าวคาถาความว่า
[396] ผู้ใดสมบูรณ์ด้วยศีล สงบระงับ มีสติ มีความดำริ
ชอบ ไม่ประมาท ยินดีแต่เฉพาะกรรมฐานภาวนาอัน
เป็นธรรมภายใน มีใจมั่นคงอย่างยิ่ง อยู่ผู้เดียว ยินดี
ด้วยปัจจัยตามมีตามได้ นักปราชญ์ทั้งหลายเรียกผู้นั้น
ว่าภิกษุ ภิกษุเมื่อบริโภคอาหารจะเป็นของสดหรือของ
แห้งก็ตาม ไม่ควรติดใจจนเกินไป ควรเป็นผู้มีท้องพร่อง
มีอาหารพอประมาณ มีสติอยู่ การบริโภคอาหารยังอีก
4-5 คำจะอิ่ม ควรงดเสีย แล้วดื่มน้ำเป็นการสมควร
เพื่ออยู่สบายของภิกษุผู้มีใจเด็ดเดี่ยว อนึ่ง การนุ่งห่ม
จีวรอันเป็นกัปปิยะ นับว่าเป็นประโยชน์ จัดว่าพอเป็น
การอยู่สบายของภิกษุผู้มีใจเด็ดเดี่ยว การนั่งขัดสมาธิ
นับว่าพอเป็นการอยู่สบายของภิกษุ ผู้มีใจเด็ดเดี่ยว ภิกษุ
รูปใดพิจารณาเห็นสุข โดยความเป็นทุกข์ พิจารณาเห็น
ทุกข์โดยความเป็นลูกศรปักอยู่ที่ร่าง ความถือมั่นว่าเป็น