เมนู

เถรคาถา ติงสนิบาต


1. ปุสสเถรคาถา


ว่าด้วยในอนาคตภิกษุจักมีความพอใจอย่างไร


[395] ฤาษีมีชื่อตามโคตรว่า ปัณฑรสะ ได้เห็นภิกษุเป็นอัน
มากที่น่าเลื่อมใส มีตนอันอบรมแล้ว สำรวมด้วยดี จึง
ได้ถามพระปุสสเถระว่า ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายใน
ศาสนานี้จักมีความพอใจอย่างไร มีความประสงค์อย่างไร
กระผมถามแล้ว ขอจงบอกความข้อนั้นแก่กระผมเถิด.

พระปุสสเถระจึงกล่าวตอบด้วยคาถาเหล่านี้ ความว่า
ดูก่อนปัณฑรสฤาษี ขอเชิญฟังคำของอาตมา จงจำ
คำของอาตมาให้ดี อาตมาจะบอกซึ่งข้อความที่ท่านถาม
ถึงอนาคต คือในกาลข้างหน้า ภิกษุเป็นอันมากจักเป็น
คนมักโกรธ มักผูกโกรธไว้ ลบหลู่คุณเท่านี้ หัวดื้อ โอ้-
อวด ริษยา มีวาทะต่าง ๆ กัน จักเป็นผู้มีมานะในธรรม
ที่ยังไม่รู้ทั่วถึง คิดว่าตื้นในธรรมที่ลึกซึ้ง เป็นคนเบา
ไม่เคารพธรรม ไม่มีความเคารพกันและกัน ในกาลข้าง
หน้า โทษเป็นอันมากจักเกิดขึ้นในหมู่สัตวโลก ก็เพราะ
ภิกษุทั้งหลายผู้ไร้ปัญญา จักทำธรรมที่พระศาสดาทรง
แสดงแล้วนี้ให้เศร้าหมอง ทั้งพวกภิกษุที่มีคุณอันเลว
โวหารจัด แกล้วกล้า มีกำลังมาก ปากกล้า ไม่ได้ศึกษา

เล่าเรียน ก็จักมีขึ้นในสังฆมณฑล ภิกษุทั้งหลายใน
สังฆมณฑล แม้ที่มีคุณความดี มีโวหารโดยสมควรแก่
เนื้อความ มีความละอายบาป ไม่ต้องการอะไรๆ ก็จักมี
กำลังน้อย ภิกษุทั้งหลายในอนาคตที่ทรามปัญญา ก็จะ
พากันยินดีเงินทอง ไร่นา ที่ดิน แพะ แกะ และคน
ใช้หญิงชาย จักเป็นคนโง่มุ่งแต่จะยกโทษคนอื่น ไม่
ดำรงมั่นอยู่ในศีล ถือตัว โหดร้าย เที่ยวยินดีแต่การ
ทะเลาะวิวาท จักมีใจฟุ้งซ่าน นุ่งห่มแต่จีวรที่ย้อมสีเขียว
แดง เป็นคนลวงโลก กระด้าง เป็นผู้แส่หาแต่ลาภผล
เที่ยวชูเขา คือมานะ ทำตนดั่งพระอริยเจ้าท่องเที่ยวไป
อยู่ เป็นผู้แต่งผมด้วยน้ำมัน ทำให้มีเส้นละเอียด
เหลาะแหละ ใช้ยาหยอดและทาตา มีร่างกายคลุมด้วย
จีวรที่ย้อมด้วยสีงา สัญจรไปตามตรอกน้อยใหญ่ จักพา
กันเกลียดชังผ้าอันย้อมด้วยน้ำฝาด เป็นของไม่น่าเกลียด
พระอริยเจ้าทั้งหลายผู้หลุดพ้นแล้วยินดียิ่งนัก เป็นธง
ชัยของพระอรหันต์ พอใจแต่ในผ้าขาว ๆ จักเป็นผู้มุ่ง
แต่ลาภผล เป็นคนเกียจคร้าน มีความเพียรเลวทราม
เห็นการอยู่ป่าอันสงัดเป็นความลำบาก จักใคร่อยู่ใน
เสนาสนะที่ใกล้บ้าน ภิกษุเหล่าใดยินดีมิจฉาชีพ จักได้
ลาภเสมอๆ จักพากันประพฤติตามภิกษุเหล่านั้น (เที่ยว
คบหาราชสกุลเป็นต้นเพื่อให้เกิดลาภแก่ตน) ไม่สำรวม

อินทรีย์เที่ยวไป อนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลายจะ
ไม่บูชาพวกภิกษุที่มีลาภน้อย จักไม่สมคบภิกษุที่เป็นนัก
ปราชญ์มีศีลเป็นที่รัก จักทรงผ้าสีแดง ที่ชนชาวมิลักขะ
ชอบย้อมใช้ พากันติเตียนผ้าอันเป็นธงชัยของตนเสีย
บางพวกก็นุ่งห่มผ้าสีขาวอันเป็นธงของพวกเดียรถีย์ อนึ่ง
ในอนาคตกาล ภิกษุเหล่านั้นจักไม่เคารพในผ้ากาสาวะ
จักไม่พิจารณาในอุบายอันแยบคาย บริโภคผ้ากาสาวะ
เมื่อทุกข์ครอบงำ ถูกลูกศรแทงเข้าแล้ว ก็ไม่พิจารณาโดย
แยบคาย แสดงอาการยุ่งยากในใจออกมา มีแต่เสียง
โอดครวญอย่างใหญ่หลวง เปรียบเหมือนช้างฉัททันต์
ได้เห็นผ้ากาสาวะอันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ ที่นาย
โสณุตระพราน นุ่งห่มไปในคราวนั้น ก็ไม่กล้าทำร้าย
ได้กล่าวคาถาอันประกอบด้วยประโยชน์มากมายว่า ผู้ใด
ยังมีกิเลสดุจน้ำฝาด ปราศจากทมะและสัจจะจักนุ่งผ้า
กาสาวะ ผู้นั้นย่อมไม่ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ส่วนผู้ใด
คายกิเลสดุจน้ำฝาดออกแล้ว ตั้งมั่นอยู่ในศีลอย่างมั่นคง
ประกอบด้วยทมะและสัจจะ ผู้นั้นจึงสมควรจะนุ่งห่มผ้า
กาสาวะโดยแท้ ผู้ใดมีศีลวิบัติ มีปัญญาทราม ไม่
สำรวมอินทรีย์ กระทำตามความใคร่อย่างเดียว มีจิต
ฟุ้งซ่าน ไม่ขวนขวายในทางที่ควร ผู้นั้นไม่สมควรจะนุ่ง
ห่มผ้ากาสาวะ ส่วนผู้ใดสมบูรณ์ด้วยศีล ปราศจากราคะ

มีใจตั้งมั่น มีความดำริในใจผ่องใส ผู้นั้นสมควรนุ่งห่ม
ผ้ากาสาวะโดยแท้ ผู้ใดไม่มีศีล ผู้นั้นเป็นคนพาล มี
จิตใจฟุ้งซ่าน มีมานะฟูขึ้นเหมือนไม้อ้อ ย่อมสมควร
จะนุ่งห่มแต่ผ้าขาวเท่านั้น จักควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ
อย่างไร อนึ่ง ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายในอนาคต จัก
เป็นผู้มีจิตใจชั่วร้าย ไม่เอื้อเฟื้อ จักข่มขี่ภิกษุทั้งหลาย
ผู้คงที่ มีเมตตาจิต แม้ภิกษุทั้งหลายที่เป็นคนโง่เขลา มี
ปัญญาทราม ไม่สำรวมอินทรีย์ กระทำตามความใคร่
ถึงพระเถระให้ศึกษาการใช้สอยผ้าจีวร ก็จักไม่เชื่อฟัง
พวกภิกษุที่โง่เขลาเหล่านั้น อันพระเถระทั้งหลายให้การ
ศึกษาแล้วเหมือนอย่างนั้น จักไม่เคารพกันและกัน ไม่
เอื้อเฟื้อนายเพระอุปัชฌายาจารย์ จักเป็นเหมือนม้าพิการ
ไม่เอื้อเฟื้อนายสารถีฉะนั้น ในกาลภายหลังแต่ตติย-
สังคายนา ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายในอนาคต จักปฏิบัติ
อย่างนี้.

ครั้นพระปุสสเถระแสดงมหาภัยอันจะบังเกิดขึ้น ในกาลภายหลัง
อย่างนี้แล้ว เมื่อจะให้โอวาทภิกษุที่ประชุมกัน ณ ที่นั้นอีก จึงได้กล่าว
คาถา 3 คาถา ความว่า
ภัยอย่างใหญ่หลวงที่จะทำอันตรายต่อข้อปฏิบัติ ย่อม
มาในอนาคตอย่างนี้ก่อน ขอท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้ว่า
ง่าย จงพูดแต่ถ้อยคำที่สละสลวย มีความเคารพกันและ

กัน มีจิตเมตตากรุณาต่อกัน จงสำรวมในศีล ปรารภ
ความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวบากบั่นอย่างมั่นเป็นนิตย์ ขอ
ท่านทั้งหลายจงเห็นความประมาท โดยความเป็นภัย
และจงเห็นความไม่ประมาท โดยความเป็นของปลอดภัย
แล้วจงอบรมอัฏฐังคิกมรรค เมื่อทำได้ดังนี้แล้ว ย่อมจะ
บรรลุนิพพานอันเป็นทางไม่เกิดไม่ตาย.


อรรถกถาติงสนิบาต


อรรถกถาปุสสเถรคาถาที่ 1


ใน ติงสนิบาต คาถาของ ท่านพระปุสสเถระ มีคำเริ่มต้นว่า
ปาสาทิเก พหู ทิสฺวา ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
ท่านพระปุสสเถระแม้นี้ เป็นผู้ได้บำเพ็ญบารมีมาแล้วในพระพุทธ-
เจ้าพระองค์ก่อน ๆ ได้สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้แล้ว
ในภพนั้น ๆ ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในพุทธุปบาท-
กาลนี้ บังเกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้ามัณฑลิกะ มีนามว่า ปุสสะ.
เขาถึงความเจริญวัยแล้ว สำเร็จการศึกษาในชั้นที่พวกขัตติยกุมารจะพึง
ได้รับการศึกษา เพราะเขาเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอุปนิสัย จึงไม่มีใจเกี่ยวข้อง
ในกามคุณทั้งหลาย ได้ฟังธรรมในสำนักของพระมหาเถระรูปหนึ่งแล้ว
ได้มีศรัทธา จึงบวชแล้วเรียนกัมมัฏฐานอันเหมาะสมแก่ความพระพฤติ
บำเพ็ญภาวนาอยู่เนือง ๆ ทำฌานให้บังเกิดขึ้น เริ่มตั้งวิปัสสนามีฌาน