เมนู

3. คิริมานันทเถรคาถา



ว่าด้วยคาถาของพระคิริมานันทเถระ


[337] ฝนตกเสียงไพเราะเหมือนเพลงขับ กุฎีของเรามุงดี
แล้ว มีประตูหน้าต่างมิดชิดดี เราเป็นผู้สงบอยู่ในกุฎีนั้น
ถ้าประสงค์จะตกก็ตกลงมาเถิดฝน ฝนตกไพเราะเหมือน
เพลงขับ กุฎีของเรามุงดีแล้ว มีประตูหน้าต่างมิดชิดดี
เราเป็นผู้มีจิตสงบอยู่ในกุฎีนั้น ถ้าประสงค์จะก็ตกลง
มาเถิดฝน ฯลฯ เราเป็นผู้ปราศจากราคะอยู่ในกุฏี
นั้น ฯลฯ เราเป็นผู้ปราศจากโทสะอยู่ในกุฎีนั้น ฯลฯ เรา
เป็นผู้ปราศจากโมหะอยู่ในกุฎีนั้น ถ้าประสงค์จะตกก็ตก
ลงมาเถิดฝน.

จบคิริมานันทเถรคาถา

อรรถกถาคิริมานันทเถรคาถาที่ 3



คาถาของท่านพระคิริมานันทเถระ มีคำเริ่มต้นว่า วสฺสติ เทโว
ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระเถระแม้นี้ ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน
สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าสุเมธ
บังเกิดในเรือนมีตระกูล เจริญวัยแล้วอยู่ครองฆราวาส เมื่อภรรยาและบุตร
ของคนทำกาละแล้ว เพียบพร้อมไปด้วยลูกศรคือความโศก เข้าไปสู่ป่า
เมื่อพระศาสดาเสด็จไปในที่นั้นแสดงธรรม ถอนลูกศรคือความโศกได้แล้ว

มีจิตเลื่อมใสบูชาด้วยของหอมและดอกไม้ ถวายบังคมด้วยเบญจางค-
ประดิษฐ์ ประคองอัญชลีขึ้นเหนือเศียรแล้วกล่าวชมเชย.
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ใน
พุทธุปบาทกาลนี้ เกิดเป็นบุตรแห่งปุโรหิตของพระเจ้าพิมพิสารในกรุง
ราชคฤห์, ท่านได้นามว่าคิริมานันทะ, ท่านถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว
เห็นอานุภาพของพระพุทธเจ้าในการเสด็จไปกรุงราชคฤห์แห่งพระศาสดา
ได้ศรัทธาบรรพชา กระทำสมณธรรมอยู่ในหมู่บ้านสิ้น 2-3 วัน แล้ว
ได้ไปยังกรุงราชคฤห์เพื่อถวายบังคมพระศาสดา.
พระเจ้าพิมพิสารมหาราช ทรงทราบการมาของท่าน จึงเสด็จเข้า
ไปหา ทรงปวารณาว่า ท่านขอรับ ขอท่านจงอยู่ในที่นี้แหละ ข้าพเจ้า
จะอุปัฏฐากด้วยปัจจัย 4 ดังนี้แล้วเสด็จไปไม่ทรงระลึกถึงความที่พระองค์
มีกิจมาก เทวดาทั้งหลายคิดว่า พระเถระย่อมอยู่ในโอกาสกลางแจ้งจึงห้าม
ฝน เพราะกลัวพระเถรจะเปียก. พระราชาทรงกำหนดถึงเหตุที่ฝนไม่ตก
จึงให้สร้างกระท่อมสำหรับพระเถระ. พระเถระอยู่ในกระท่อมได้ทำความ
เพียรชอบ โดยได้เสนาสนะเป็นสัปปายะ ประกอบความเพียรสม่ำเสมอ
บำเพ็ญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัต. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน1ว่า
ภริยาของเราทำกาละแล้ว บุตรของเราก็ไปสู่ป่าช้า
มารดา บิดา และพี่ชายของเราเผาที่เชิงตะกอนเดียวกัน
เพราะความเศร้าโศกนั้น เราเป็นผู้เร่าร้อน เป็นผู้ผอม
เหลือง จิตเราฟุ้งซ่าน เพราะเราประกอบด้วยความเศร้า-
โศกนั้น เรามากด้วยลูกศรคือความโศก จึงเข้าไปสู่ชาย


1. ขุ. อ. 32/ข้อ 399.

ป่า บริโภคผลไม้ที่หล่นเองอยู่ที่โคนต้นไม้ พระสัมพุทธ-
ชินเจ้าพระนามว่าสุเมธ ผู้กระทำที่สุดทุกข์ พระองค์
ประสงค์จะช่วยเหลือเรา จึงเสด็จมาในสำนักของเรา เรา
ได้ยินเสียงพระบาทของพระพุทธเจ้าพระนามว่าสุเมธ ผู้
แสวงหาคุณอันใหญ่ยิ่ง จึงชะเง้อศีรษะดูพระมหามุนี
พระมหาวีรเจ้าเสด็จเข้ามา ปีติเกิดขึ้นแก่เรา ในกาลนั้น
เราได้เห็นพระองค์ผู้เป็นนายกของโลก แล้วมีใจไม่ฟุ้ง-
ซ่านกลับได้สติ แล้วได้ถวายใบไม้กำมือหนึ่ง พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าผู้มีจักษุประทับนั่งบนใบไม้นั้นด้วยความอนุเคราะห์
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสุเมธ ผู้เป็นนายของโลก
ผู้ตรัสรู้แล้ว ครั้นประทับนั่งบนใบไม้นั้นแล้ว ทรงแสดง
ธรรมเครื่องบรรเทาลูกศรคือความโศกแก่เราว่า ชนเหล่า-
นั้น ใครไม่ได้เชื้อเชิญให้มาก็มาจากปรโลกนั้นเอง ใคร
ไม่ได้อนุญาตให้ไปก็ไปจากมนุษยโลกนี้แล้ว เขามาแล้ว
ฉันใด ก็ไปฉันนั้น จะปริเทวนาไปทำไมในการตายของ
เขานั้น สัตว์มีเท้า เมื่อฝนตกลงมา เขาก็เข้าไปอาศัย
ในโรงเพราะฝนตก เมื่อฝนหายแล้วเขาก็ไปตามปรารถนา
ฉันใด มารดาบิดาของท่านก็ฉันนั้น จะปริเทวนาไปทำไม
ในการตายของเขานั้น แขกผู้จรไปมา เป็นผู้สั่นหวั่น-
ไหวฉันใด มารดาบิดาของท่านก็ฉันนั้น จะปริเทวนาไป
ทำไมในการตายของเขานั้น งูละคราบเก่าแล้ว ย่อมไปสู่
กายเดิมฉันใด มารดาบิดาของท่านก็ฉันนั้น จะปริเทวนา

ไปทำไมในการตายของเขานั้น เราได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัส
แล้ว เว้นลูกศรคือความโศกได้ ยังความปราโมทย์ให้
เกิดแล้ว ได้ถวายบังคมพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ครั้น
ถวายบังคมแล้ว ได้บูชาพระพุทธเจ้าผู้ล่วงพ้นภูเขาคือ
กิเลส เป็นพระมหานาค ทรงสมบูรณ์ด้วยกลิ่นหอมอันเป็น
ทิพย์ พระนานว่าสุเมธ เป็นนายกของโลก ครั้นบูชา
พระสัมพุทธเจ้าแล้ว ประนมกรอัญชลีขึ้นเหนือเศียร
อนุสรณ์ถึงคุณอันเลิศแล้ว ได้สรรเสริญพระองค์ผู้เป็น
นายกของโลกว่า ข้าแต่พระมุนีมหาวีรเจ้า พระองค์เป็น
สัพพัญญู เป็นนายกของโลก ทรงข้ามพ้นแล้วยังทรงรื้อ
ขนสรรพสัตว์ด้วยพระญาณอีก ข้าแต่พระมหามุนีผู้มีจักษุ
พระองค์ตัดความเคลือบแคลงสงสัยแล้ว ได้ทรงยังมรรค
ให้เกิดแก่ข้าพระองค์ ด้วยพระญาณของพระองค์ พระ-
อรหันต์ผู้ถึงความสำเร็จ ได้อภิญญา 6 มีฤทธิ์มากเที่ยว
ไปในอากาศได้ เป็นนักปราชญ์ ห้อมล้อมอยู่ทุกขณะ
พระเสขะผู้กำลังปฏิบัติ และผู้ตั้งอยู่ในผลเป็นสาวกของ
พระองค์ สาวกทั้งหลายของพระองค์ย่อมบาน เหมือน
ดอกปทุมเมื่ออาทิตย์อุทัย มหาสมุทรประมาณไม่ได้ ไม่มี
อะไรเหมือน ยากที่จะข้ามได้ฉันใด แต่ข้าพระองค์ผู้มี
จักษุ พระองค์สมบูรณ์ด้วยพระญาณก็ประมาณไม่ได้ฉันนั้น
เราถวายบังคมพระพุทธเจ้าผู้ชนะโลกมีจักษุ มียศมาก
นมัสการทั่ว 4 ทิศแล้วได้กลับไป เราเคลื่อนจากเทวโลก

แล้วรู้สึกตัว กลับมีสติ ท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยใหญ่ลงสู่
ครรภ์มารดาออกจากเรือนแล้วบวชเป็นบรรพชิต เป็นผู้มี
ความเพียร มีปัญญา มีการหลีกเร้นอยู่เป็นอารมณ์ ตั้ง
ความเพียร ยังพระมหามุนีให้ทรงโปรดปราน พ้นแล้วจาก
กิเลส ดังพระจันทร์พ้นแล้วจากกลีบเมฆอยู่ทุกเมื่อ เรา
เป็นผู้ขวนขวายในวิเวก สงบระงับ ไม่มีอุปธิ กำหนดรู้
อาสวะทั้งปวงแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ ในกัปที่ 3 หมื่น
แต่กัปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าใด ด้วยการบูชานั้น เรา
ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา เราเผากิเลส
ทั้งหลายแล้ว ...ฯลฯ... พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จ
แล้ว
ดังนี้.
ครั้น เมื่อพระเถระบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อฝนตกอยู่ดุจมีเสียงร่าเริง
ยินดี เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผลนั้น โดยประกอบข้อที่ฝนหลั่งลงมาแต่
เบื้องบน จึงได้กล่าวคาถา 5 คาถา1นี้ว่า
ฝนตกเสียงไพเราะเหมือนเพลงขับ กุฎีของเรามุงดี
แล้ว มีประตูหน้าต่างมิดชิดดี เราเป็นผู้สงบอยู่ในกุฎีนั้น
ถ้าประสงค์จะตกก็ตกลงนาเถิดฝน ฝนตกไพเราะเหมือน
เพลงขับ กุฎีของเรามุงดีแล้ว มีประตูหน้าต่างมิดชิดดี
เราเป็นผู้มีจิตสงบอยู่ในกุฎีนั้น ถ้าประสงค์จะตกก็ตกลงมา
เถิดฝน. ฯลฯ เราเป็นผู้ปราศจากราคะอยู่ในกุฎีนั้น ฯลฯ


1. ขุ. เถร. 26/ข้อ 337.

เราเป็นผู้ปราศจากโทสะอยู่ในกุฎีนั้น ฯลฯ เราเป็นผู้
ปราศจากโมหะอยู่ในกุฎีนั้น ถ้าประสงค์จะตกก็ตกลงมา
เถิดฝน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยถาสุคีตํ แปลว่า สมควรแก่เพลงขับ
ที่ไพเราะ, อธิบายว่า สมควรแก่เพลงขับแห่งเมฆฝนอันดีนั่นเอง. จริง
อยู่ เมฆเมื่อตั้งขึ้นโดยชั้นพันชั้นแล้วคำรนร้องกระหึ่ม แม้แลบอกจาก
สายฟ้าไม่ตกลงย่อมงาม เหมือนเมื่อไม่ร้องกระหึ่มตกลงอย่างเดียว ย่อม
ไม่งามฉะนั้น แต่เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วตกลงย่อมงาม เพราะฉะนั้น ท่าน
จึงกล่าวว่า วสฺสติ เทโว ยถาสุคีตํ ฝนตกลงเหมือนเสียงเพลงขับ. เพราะ
เหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เมฆที่เปล่งเสียงน่าชมเชยยิ่ง และว่าคำรามร้อง
และตกลง.
บทว่า ตสฺสํ วิหรามิ ความว่า ย่อมอยู่ในกระท่อมนั้น โดยห้อง
อริยวิหารธรรม คือโดยอิริยาบถวิหาร.
บทว่า วูปสนฺตจิตฺโต ได้แก่มีจิตสงบโดยชอบด้วยสมาธิอันสัมปยุต
ด้วยอรหัตผล.
วลาหกเทวบุตร รับการขวนขวายที่พระเถระกระทำหลายครั้งด้วย
เศียรเกล้าอย่างนี้ ยังที่ลุ่มและที่ดอนให้เต็ม ยังฝนใหญ่ให้ตก.
จบอรรถกถาคิริมานันทเถรคาถาที่ 3

4. สุมนเถรคาถา



ว่าด้วยคาถาของพระสุมนเถระ


[338] ท่านพระอุปัชฌายะปรารถนาธรรมใด ในบรรดาธรรม
ทั้งหลายเพื่อเรา อนุเคราะห์เราผู้จำนงหวังอมตนิพพาน
กิจที่ควรทำในธรรมนั้นเราทำเสร็จแล้ว ธรรมที่มิใช่สิ่งที่
อ้างว่า ท่านกล่าวมาอย่างนี้ เราได้บรรลุแล้ว ทำให้แจ้ง
แล้วด้วยตนเอง เรามีญาณอันบริสุทธิ์ หมดความสงสัย
จึงได้พยากรณ์ในสำนักของท่าน เรารู้จักขันธ์ที่เคยอยู่
อาศัยในก่อน ทิพยจักษุเราได้ชำระแล้ว ประโยชน์ของตน
เราได้บรรลุแล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเราได้ทำแล้ว
สิกขา 3 อันเราผู้ไม่ประมาทได้ฟังดีแล้ว ในสำนักของ
ท่าน อาสวะทั้งปวงของเราสิ้นแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี
ท่านเป็นผู้มีความเอ็นดู อนุเคราะห์สั่งสอนเราด้วยวัตรอัน
ประเสริฐ โอวาทของท่านไม่ไร้ประโยชน์ เราได้ศึกษา
อยู่ในสำนักของท่าน.

จบสมุนเถรคาถา

อรรถกถาสุมนเถรคาถาที่ 4



คาถาของท่านพระสุมนเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ยํ ปตฺถยมาโน ดังนี้.
เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?