เมนู

2. สุภูตเถรคาถา



ว่าด้วยคาถาของพระสุภูตเถระ


[336] บุรุษผู้ประสงค์จะทำธุรกิจ เมื่อประกอบตนในกิจที่
ไม่ควรประกอบ ถ้าเมื่อขึ้นประพฤติอยู่อย่างนั้น ก็ไม่พึง
ได้สำเร็จผล การประกอบในกิจที่ไม่ควรประกอบนั้น มิใช่
ลักษณะบุญ ถ้าบุคคลใด ไม่ถอนความเป็นอยู่อย่าง
ลำบาก แล้วมาสละธรรมอันเอกเสีย บุคคลนั้นก็พึงเป็น
ดังคนกาลี ถ้าสละทิ้งคุณธรรมแม้ทั้งปวง ผู้นั้นก็พึงเป็น
เหมือนคนตาบอด เพราะไม่เห็นธรรมที่สงบและธรรมไม่
สงบ บุคคลพึงทำอย่างใด พึงพูดอย่างนั้นแล ไม่พึงทำ
อย่างใด ไม่พึงพูดอย่างนั้น บัณฑิตทั้งหลายย่อมกำหนด
รู้ว่า บุคคลผู้ไม่ทำ ดีแต่พูดนั้นมีมาก ดอกไม้งาม มีสี
แต่ไม่มีกลิ่น ฉันใด วาจาอันเป็นสุภาษิต ย่อมไม่มีผลแก่
บุคคลผู้ไม่ทำอยู่ ก็ฉันนั้น ดอกไม้งาม มีสี มีกลิ่นฉันใด
วาจาอันเป็นสุภาษิตย่อมมีผลแก่บุคคลผู้ทำอยู่ฉะนั้น.

จบสุภูตเถรคาถา

อรรถกถาสุภูตเถรคาถาที่ 2



คาถาของท่านพระสุภูตเถระ มีคำเริ่มต้นว่า อโยเค ดังนี้. เรื่อง
นั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?

พระเถระแม้นี้ ได้ทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน
สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ
บังเกิดในตระกูลคหบดีมหาศาล ในกรุงพาราณสี ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสา
แล้ว วันหนึ่ง ฟังธรรมในสำนักของพระศาสดามีจิตเลื่อมใส ตั้งอยู่ใน
สรณะและศีล ได้ให้เช็ดทาพระคันธกุฎีของพระศาสดา ด้วยของหอม 4
อย่าง (จันทน์แดง, กานพลู, กฤษณา, กำยาน) เดือนละ 8 ครั้งทุก
เดือน.
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านเป็นผู้มีร่างกายหอมตลบในที่เกิดแล้ว ๆ
ในพุทธุปบาทกาลนี้บังเกิดในตระกูลคฤหบดีในมคธรัฐ ได้นามว่า สุภูตะ
เจริญวัยแล้วละฆราวาส เพราะความที่ตนเป็นผู้มีอัธยาศัยในการสลัดออก
จึงบวชในเดียรถีย์ เมื่อไม่ได้สิ่งอันเป็นสาระในที่นั้น เห็นสมณพราหมณ์
เป็นอันมาก มีอุปติสสะโกสิตะและเสละเป็นต้น บวชในสำนักของพระ-
ศาสดาเสวยความสุขในความเป็นสมณะ ได้ศรัทธาในพระศาสนา จึงบวช
แล้วให้อาจารย์และอุปัชฌาย์ยินดี เรียนพระกรรมฐาน อยู่โดยวิเวก เจริญ
วิปัสสนาบรรลุพระอรหัต. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน1ว่า
ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้ามีพระนามว่า กัสสป ผู้เป็น
พงศ์พันธุ์พรหม ทรงยศใหญ่ ประเสริฐกว่านักปราชญ์
ทั้งหลาย ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระองค์สมบูรณ์ด้วย
อนุพยัญชนะ มีพระลักษณะอันประเสริฐ 32 ประการ
มีพระรัศมีล้อมรอบข้างละวา ประกอบด้วยข่ายรัศมี ทรง


1. ขุ. อ 33/ข้อ 140.

ยังสัตว์ให้ยินดีได้เหมือนพระจันทร์ แผดแสงเหมือน
พระอาทิตย์ ทำให้เยือกเย็นเหมือนเมฆ เป็นบ่อเกิดแห่ง
คุณเหมือนสาคร มีศีลเหมือนแผ่นดิน มีสมาธิเหมือน
ขุนเขาหิมวันต์ มีปัญญาเหมือนอากาศ ไม่ข้องเหมือน
กับลม ครั้งนั้น เราเกิดในสกุลใหญ่ มีทรัพย์และธัญญา-
หารมากมาย เป็นที่สั่งสมแห่งรัตนะต่าง ๆ ในพระนคร
พาราณสี เราได้เข้าเฝ้าพระองค์ผู้เป็นนายกของโลก ซึ่ง
ประทับนั่งอยู่กับบริวารมากมาย ได้สดับอมตธรรมอันนำ
มาซึ่งความยินดีแห่งจิต พระพุทธองค์ทรงพระมหาปุริส-
ลักษณะ 32 ประการ มีนักขัตฤกษ์ดีเหมือนพระจันทร์
ทรงสมบูรณ์ด้วยอนุพยัญชนะ บานเหมือนต้นพญารัง
อันข่ายคือพระรัศมีแวดวง มีพระรัศมีรุ่งเรื่อง เหมือน
ภูเขาทอง มีพระรัศมีล้อมรอบด้านละวา มีรัศมีนับด้วย
ร้อยเหมือนอาทิตย์ มีพระพักตร์เหมือนทองคำ เป็นพระ-
พิชิตมารผู้ประเสริฐ เป็นเหมือนภูเขาอันให้เกิดความ
ยินดี มีพระหฤทัยเต็มด้วยพระกรุณา มีพระคุณปานดัง
สาคร มีพระเกียรติปรากฏแก่โลก เหมือนเขาสิเนรุซึ่ง
เป็นภูเขาสูงสุด มีพระยศ เป็นที่ปลื้มใจ เป็นผู้ประกอบ
ด้วยปัญญาเช่นเดียวกับอากาศ เป็นนักปราชญ์ มีพระทัย
ไม่ข้องในที่ทั้งปวงเหมือนลม เป็นผู้นำ เป็นที่พึ่งของ
สรรพสัตว์ เหมือนแผ่นดิน เป็นมุนีผู้สูงสุด อันโลกไม่

เข้าไปฉาบทาได้ เหมือนปทุมไม่คิดน้ำฉะนั้น เป็นผู้เช่น
กับกองไฟเผาหญ้าคือวาทะลวงโลก พระองค์เป็นเสมือน
ยาบำบัดโรค ทำให้ยาพิษคือกิเลสพินาศ ประดับด้วย
กลิ่นคือคุณเหมือนภูเขาคันธมาทน์ เป็นนักปราชญ์ที่เป็น
บ่อเกิดแห่งคุณ ดุจดังสาครเป็นบ่อเกิดแห่งรัตนะทั้งหลาย
ฉะนั้น และเป็นเหมือนม้าสินธพอาชาไนย เป็นผู้นำไป
ซึ่งมลทินคือกิเลส ทรงย่ำยีมารและเสนามารเสียได้
เหมือนนายทหารใหญ่ผู้มีชัยโดยพิเศษ ทรงเป็นใหญ่
เพราะรัตนะคือโพชฌงค์ เหมือนพระเจ้าจักรพรรดิ ทรง
เป็นผู้เยียวยาพยาธิคือโทสะเหมือนกับหมอใหญ่ ทรง
เป็นหมอผ่าฝีคือทิฏฐิ เหมือนศัลยแพทย์ผู้ประเสริฐสุด
ครั้งนั้น พระองค์ทรงส่องโลกให้โชติช่วง อันมนุษย์และ
ทวยเทพสักการะ เป็นดังพระอาทิตย์ส่องแสงสว่างให้แก่
นรชน ทรงแสดงปฐมเทศนาในบริษัททั้งหลาย พระ-
องค์ทรงพร่ำสอนอย่างนี้ว่า บุคคลจะมีโภคทรัพย์มาก
ได้เพราะทำงาน จะเข้าถึงสุคติก็เพราะศีล จะดับกิเลส
ได้เพราะภาวนา ดังนี้ บริษัททั้งหลายฟังเทศนานั้น อัน
ให้เกิดความแช่มชื่นมาก ไพเราะทั้งเบื้องต้นท่ามกลาง
และที่สุด มีรสใหญ่ประหนึ่งน้ำอมฤต เราได้สดับพระ-
ธรรมเทศนาอันไพเราะดี ก็เลื่อมใสในพระศาสนาของ
พระพิชิตมาร จึงถึงพระสุคตเจ้าเป็นสรณะ นอบน้อม

ตราบเท่าสิ้นชีวิต ครั้งนั้นเราได้เอาของหอมมีชาติ 4 ทา
พื้นพระคันธกุฎีของพระมหามุนีเดือนหนึ่ง 8 วัน โดยตั้ง
ปณิธานให้สรีระที่ปราศจากกลิ่นหอมได้มีกลิ่นหอม ครั้ง
นั้นพระพิชิตมาร ได้พยากรณ์เราผู้อยากได้กายมีกลิ่นหอม
ว่า นระใดเอาของหอมทาพื้นพระคันธกุฎีคราวเดียว ด้วย
ผลของกรรมนั้น นระนั้นเกิดในชาติใด ๆ จักเป็นผู้มีตัว
หอมทุกชาติไป จักเป็นผู้เจริญด้วยกลิ่นคือคุณ จักเป็นผู้
ไม่มีอาสวะปรินิพพาน เพราะกรรมที่ทำไว้ดีนั้น และ
เพราะการตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไป
สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็ในภพสุดท้ายในบัดนี้ เราเกิดใน
สกุลอันมั่นคง เมื่อเรายังอยู่ในครรภ์มารดา มารดาเป็น
หญิงมีกลิ่นตัวหอม และในเวลาที่เราคลอดจากครรภ์
มารดานั้น พระนครสาวัตถีหอมฟุ้งเหมือนกับถูกอบด้วย
กลิ่นหอมทุกอย่าง ขณะนั้นฝนดอกได้อันหอมหวล กลิ่น
ทิพย์อันน่ารื่นรมย์ใจ และธุปมีค่ามาก หอมฟุ้งไป เรา
เกิดในเรือนหลังใด เรือนหลังนั้นเทวดาได้เอาธูปและ
ดอกไม้ ล้วนแต่มีกลิ่นหอม และเครื่องหอมมาอบ ก็ใน
เวลาที่เรายังเยาว์ ตั้งอยู่ในปฐมวัย พระศาสดาผู้เป็น
สารถีฝึกนระ ทรงแนะนำบริษัทของพระองค์ที่เหลือแล้ว
เสด็จมายังพระนครสาวัตถี พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์
เหล่านั้นทั้งหมด ครั้งนั้น เราได้พบพุทธานุภาพจึงออก

บวช เราเจริญธรรม 4 ประการคือ ศีล สมาธิ ปัญญา
และวิมุตติอันยอดเยี่ยม แล้วบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะ
ในคราวที่เราออกบวช ในคราวที่เราเป็นพระอรหันต์ และ
ในคราวที่เราจักนิพพาน ได้มีฝนกลิ่นหอมตกลงมา ก็กลิ่น
สรีระอันประเสริฐสุดของเราครอบงำจันทน์อันมีค่า ดอก
จำปาและดอกอุบลเสีย และเราไปในที่ใด ก็ย่อมข่มขี่
กลิ่นเหล่านี้เสียโดยประการทั้งปวง ฟุ้งไปเช่นนั้นเหมือน
กัน เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว . . . ฯลฯ . . . พระพุทธ-
ศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว
ดังนี้.
ก็แลครั้นท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว คิดถึงทุกข์ คือ อัตตกิลม-
ถานุโยค ที่คนบวชในพวกเดียรถีย์ได้รับมา และสุขอันเกิดแต่ฌานเป็นต้น
ที่ตนบวชในพระศาสนาได้มา เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล โดยยกเอา
การพิจารณาข้อปฏิบัติของตน จึงได้กล่าวคาถา 5 คาถา1เหล่านี้ว่า
บุรุษผู้ประสงค์จะทำธุรกิจ เมื่อประกอบตนในกิจที่
ไม่ควรประกอบ ถ้าเมื่อขึ้นประพฤติอยู่อย่างนั้น ก็ไม่พึงได้
สำเร็จผล การประกอบในกิจที่ไม่ควรประกอบนั้น มิใช่
ลักษณะบุญ ถ้าบุคคลใด ไม่ถอนความเป็นอยู่อย่างลำบาก
แล้วมาสละธรรมอันเอกเสีย บุคคลนั้นก็พึงเป็นดังคน
กาลี ถ้าสละทิ้งคุณธรรมแม้ทั้งปวง ผู้นั้นก็พึงเป็นเหมือน
คนตาบอด เพราะไม่เห็นธรรมที่สงบและเห็นธรรมไม่


1. ขุ. เถร. 26/ข้อ 336.

สงบ บุคคลพึงทำอย่างใด พึงพูดอย่างนั้นแล ไม่พึงทำ
อย่างใด ไม่พึงพูดอย่างนั้น บัณฑิตทั้งหลายย่อมกำหนด
รู้ว่า บุคคลผู้ไม่ต่ำ ดีแต่พูดนั้นมีมาก ดอกไม้งาม มีสี
แต่ไม่มีกลิ่นฉันใด วาจาอันเป็นสุภาษิต ย่อมไม่มีผล
แก่บุคคลผู้ไม่ทำอยู่ ก็ฉันนั้น ดอกไม้งามมีสี มีกลิ่น
ฉันใด วาจาอันเป็นสุภาษิต ย่อมมีผลแก่บุคคลผู้ทำอยู่
ฉันนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อโยเค ได้แก่ในที่สุด 2 อย่าง ที่ไม่
ควรประกอบ คือไม่ควรเสพ. แต่ในที่นี้พึงทราบความ ด้วยสามารถแห่ง
อัตตกิลมถานุโยค ประกอบเนือง ๆ ในการทรมานตน.
บทว่า ยุญฺชํ ความว่า ประกอบตนในที่สุด 2 อย่างนั้น คือปฏิบัติ
เหมือนอย่างนั้น.
บทว่า กิจฺจมิจฺฉโก ความว่า ปรารถนากิจที่นำประโยชน์ทั้งสองมา,
หากว่าพึงประพฤติอยู่ในกิจไม่ควรประกอบ โดยเป็นปฎิปักษ์ต่อกิจที่ควร
ประกอบนั้นไซร้.
บทว่า นาธิคจฺเฉยฺย ความว่า ชื่อว่า ญายะ เพราะไม่พึงบรรลุ
หิตสุขตามที่ประสงค์ เพราะฉะนั้น เราถูกหลอกลวงด้วยมติของพวก
เดียรถีย์ จึงประกอบในสิ่งไม่ควรประกอบ นั่นไม่ใช่ลักษณะบุญคือไม่ใช่
สภาวะแห่งบุญของเรา. ท่านแสดงว่า เราหลงเพราะกรรมเก่า จึงประกอบ
ในสิ่งไม่ควรประกอบ.
บทว่า อพฺพูฬฺหํ อฆคตํ วิชิตํ ความว่า กิเลสมีราคะเป็นต้น
ชื่อว่า อฆา เพราะมีการเบียดเบียนเป็นสภาวะ, ความเป็นอันลำบาก คือ

อฆา ความเป็นอยู่แห่งกิเลสที่ลำบาก คือความเป็นไปในสงสาร ความ
เป็นอยู่แห่งกิเลสที่ลำบากเหล่านั้น ได้แก่ความครอบงำกุศลธรรม. ท่าน
กล่าว อฆคตํ วิชิตํ เพราะไม่ลบนิคคหิต. อธิบายว่า ผู้ใดยังละความ
เป็นอยู่อันลำบากไม่ได้ ผู้นั้นก็เป็นอยู่อย่างนั้น เพราะทำการเป็นอยู่ลำบาก
ที่ยังถอนไม่ได้นั้นให้เป็นแว่นแคว้น คือยังถอนกิเลสขึ้นไม่ได้.
บทว่า เอกญฺเจ โอสฺสเชยฺย ความว่า หากพึงละ คือพึงสละ
ความไม่ประมาทอันหนึ่ง และความประกอบชอบ ด้วยเป็นผู้ไม่มีเพื่อน 2
และด้วยความเป็นผู้มีความเพียร. บุคคลนั้นเหมือนกาลี คือพึ่งเป็นเหมือน
คนกาลกิณี.
บทว่า สพฺพานิปิ เจ โอสฺสเชยฺย ความว่า หากบุคคลนั้น พึง
สละ. สัทธินทรีย์ วีริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ และปัญญินทรีย์
อันบ่มด้วยวิมุตติแม้ทั้งหมด, คือหากพึงทิ้งเสียด้วยการไม่อบรม, คนนั้น
ก็พึงเป็นเหมือนคนบอด เพราะไม่เห็นธรรมที่สงบและธรรมที่ไม่สงบ.
ศัพท์ว่า ยถา เป็นนิบาต ใช้ในอรรถเปรียบเทียบโดยอุปมา.
บทว่า วณฺณวนฺตํ แปลว่า สมบูรณ์ด้วยสีและสัณฐาน.
บทว่า อคนฺธกํ ได้แก่ เว้นจากกลิ่น อันต่างด้วยดอกทองกวาว
ดอกอัญชันเขียว ดอกชัยพฤกษ์เป็นต้น.
บทว่า เอวํ สุภาสิตา วาจา ความว่า พุทธพจน์คือปิฎก 3 อัน
เสมือนกับดอกไม้อันสมบูรณ์ด้วยสีและสัณฐาน ชื่อว่าวาจาสุภาษิต เหมือน
อย่างว่า กลิ่นย่อมไม่แผ่ไปในสรีระของผู้ทัดทรงดอกไม้ที่ไม่มีกลิ่น ฉันใด
พระพุทธพจน์ก็ฉันนั้น ผู้ใดไม่ประพฤติให้สม่ำเสมอด้วยกิจ มีการฟังโดย

เคารพเป็นต้น ย่อมไม่นำมาซึ่งกลิ่นคือสุตะ และกลิ่นคือการปฏิบัติ คือ
ไม่มีผลแก่ผู้นั้น ผู้ไม่ประพฤติโดยเคารพ ชื่อว่า แก่ผู้ไม่กระทำกิจที่พึง
กระทำในพระพุทธพจน์นั้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า วาจาอันเป็น
สุภาษิต ย่อมไม่มีผลแก่ผู้กระทำ ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า สุคนฺธกํ ได้แก่ ดอกไม้หอมต่างด้วยดอกมะลิ ดอกจำปา
และดอกอุบลเขียวเป็นต้น.
บทว่า เอวํ ความว่า กลิ่นย่อมแผ่ไปในสรีระของบุคคลผู้ทัดทรง
ดอกไม้ฉันใด แม้วาจาอันเป็นสุภาษิตกล่าวคือพระพุทธพจน์ คือปิฎก 3
ก็ฉันนั้น ย่อมมีผลคือย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก แก่บุคคลผู้การทำกิจ
ที่ควรกระทำในพระพุทธพจน์นั้น ด้วยกิจมีการฟังโดยเคารพเป็นต้น.
เพราะฉะนั้น พึงปฏิบัติในโอวาท คือพึงทำอย่างไร พึงกล่าวอย่างนั้น
คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วแล.
อรรถกถาสุภูตเถรคาถาที่ 2

3. คิริมานันทเถรคาถา



ว่าด้วยคาถาของพระคิริมานันทเถระ


[337] ฝนตกเสียงไพเราะเหมือนเพลงขับ กุฎีของเรามุงดี
แล้ว มีประตูหน้าต่างมิดชิดดี เราเป็นผู้สงบอยู่ในกุฎีนั้น
ถ้าประสงค์จะตกก็ตกลงมาเถิดฝน ฝนตกไพเราะเหมือน
เพลงขับ กุฎีของเรามุงดีแล้ว มีประตูหน้าต่างมิดชิดดี
เราเป็นผู้มีจิตสงบอยู่ในกุฎีนั้น ถ้าประสงค์จะก็ตกลง
มาเถิดฝน ฯลฯ เราเป็นผู้ปราศจากราคะอยู่ในกุฏี
นั้น ฯลฯ เราเป็นผู้ปราศจากโทสะอยู่ในกุฎีนั้น ฯลฯ เรา
เป็นผู้ปราศจากโมหะอยู่ในกุฎีนั้น ถ้าประสงค์จะตกก็ตก
ลงมาเถิดฝน.

จบคิริมานันทเถรคาถา

อรรถกถาคิริมานันทเถรคาถาที่ 3



คาถาของท่านพระคิริมานันทเถระ มีคำเริ่มต้นว่า วสฺสติ เทโว
ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระเถระแม้นี้ ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน
สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าสุเมธ
บังเกิดในเรือนมีตระกูล เจริญวัยแล้วอยู่ครองฆราวาส เมื่อภรรยาและบุตร
ของคนทำกาละแล้ว เพียบพร้อมไปด้วยลูกศรคือความโศก เข้าไปสู่ป่า
เมื่อพระศาสดาเสด็จไปในที่นั้นแสดงธรรม ถอนลูกศรคือความโศกได้แล้ว