เมนู

อรรถกถาโสฬสกนิบาต


อรรถกถาอัญญาโกณฑัญญเถรคาถาที่ 1


ในโสฬสกนิบาต คาถาของท่านพระอัญญาโกณฑัญญเถระ มีคำ
เริ่มต้นว่า เอส ภิญฺโญ ปสีทามิ ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นเป็น
อย่างไร ?
ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ พระเถระแม้นี้
บังเกิดในตระกูลคฤหบดีมหาศาล ในหังสวดีนคร ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสา
แล้ว วันหนึ่ง ฟังธรรมในสำนักพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุ
รูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งอันเลิศ แห่งภิกษุผู้รัตตัญญูในธรรมที่ตนได้ครั้งแรก
ในพระศาสนา แม้ตนเองก็ปรารถนาตำแหน่งนั้น บำเพ็ญมหาทานให้
เป็นไปตลอด 7 วัน แด่พระศาสดาผู้มีภิกษุ 100,000 รูปเป็นบริวาร
แล้วตั้งความปรารถนาไว้. ฝ่ายพระศาสดาทรงเห็นความที่เธอไม่มีอันตราย
จึงพยากรณ์สมบัติอันเป็นเครื่องเจริญ. ท่านบำเพ็ญบุญจนตลอดชีวิต เมื่อ
พระศาสดาปรินิพพานแล้ว เมื่อให้สร้างเจดีย์ สร้างเรือนแก้วไว้ในภายใน
เจดีย์ และให้สร้างเรือนไฟแก้ว มีราคา 1,000 กหาปณะล้อมเจดีย์.
ท่านทำบุญอย่างนี้แล้ว จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ท่องเที่ยวไปใน
เทวโลกและมนุษยโลก ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า วิปัสสี
เป็นกุฎุมพี นามว่ามหากาล จัดแจงข้าวปายาสด้วยน้ำนมไม่ผสมน้ำ ด้วย
ข้าวสารแห่งข้าวสาลีที่ตนฉีกท้องข้าวสาลี ในที่นาประมาณ 8 กรีส จึงใส่
น้ำผึ้ง เนยใส น้ำตาลกรวดเป็นต้นในข้าวปายาสนั้น แล้วได้ถวายสงฆ์มี
พระพุทธเจ้าเป็นประมุข. ที่ ๆ ตนฉีกท้องข้าวสาลีถือแล้ว ๆ ได้เต็มอีก, ใน

กาลที่ข้าวเป็นข้าวเม่า ได้ถวายชื่อภัตอันเลิศคือข้าวเม่า ในกาลเป็นที่เก็บ
เกี่ยวข้าว ได้ถวายภัตอันเลิศในกาลเก็บเกี่ยว ในกาลทำเขน็ด ได้ถวายภัต
อันเลิศในกาลทำเขน็ด ในกาลกระทำฟ่อนเป็นต้น ได้ถวายภัตอันเลิศใน
การทำฟ่อน ถวายภัตอันเลิศในกาลทำลาน เลิศในกาลทำเป็นสิ่งของขาย
เลิศในกาลนับ เลิศในกาลนำเข้าฉาง รวมความว่า ท่านได้ถวายชื่อทานอัน
เลิศ 9 ครั้ง ในกาลข้าวกล้าครั้งเดียวข้าวแม้นั้นได้สมบูรณ์อย่างเหลือเกิน.
ท่านบำเพ็ญบุญตลอดชีวิตด้วยอาการอย่างนี้ จุติจากอัตภาพนั่นแล้ว
บังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก บังเกิดใน
ตระกูลพราหมณ์มหาศาล ในพราหมณคาม ชื่อว่าโทณวัตถุ ไม่ไกลกรุง
กบิลพัสดุ์ ก่อนแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายทรงอุบัตินั่นแล.
ท่านได้มีนามตามโคตรว่า โกณฑัญญะ, ท่านเจริญวัยแล้ว เรียน
เวท 3 ได้ถึงฝั่งในมนต์สำหรับทายลักษณะ. สมัยนั้น พระโพธิสัตว์ของ
เราทั้งหลาย จุติจากดุสิตบุรี บังเกิดในพระตำหนักของพระเจ้าสุทโธทน-
มหาราช ในกรุงกบิลพัสดุ์ ในวันขนานพระนามพระองค์ เมื่อพราหมณ์
108 คนถูกเรียกให้เข้าไปเฝ้า ท่านเป็นผู้ใหม่กว่าเขาทั้งหมดในบรรดา
พราหมณ์ 8 คน ที่ให้นำเข้าไปยังพื้นใหญ่เพื่อกำหนดลักษณะ เห็นความ
สำเร็จพระลักษณะของพระมหาบุรุษ จึงถึงความตกลงว่า ผู้นี้จักเป็นพระ-
พุทธเจ้าโดยส่วนเดียว จึงได้เที่ยวมองเห็นการออกมหาภิเนษกรมณ์ของ
พระมหาสัตว์.
ฝ่ายพระมหาสัตว์แล เจริญด้วยบริขารมาก ถึงความเจริญโดยลำดับ
ถึงความแก่กล้าแห่งพระญาณ ในปีที่ 29 ก็เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์
บรรพชาที่ฝั่งแม่น้ำอโนมานที เสด็จไปอุรุเวลาประเทศโดยลำดับ แล้วเริ่ม

ตั้งความเพียร ในกาลนั้น โกณฑัญญมาณพ ทราบว่าพระมหาสัตว์บวช
แล้ว พร้อมกับวัปปมาณพเป็นต้น ผู้บุตรของพราหมณ์ผู้กำหนดพระ-
ลักษณะ มีตนเป็นที่ 5 บวชแล้วเข้าไปยังสำนักพระโพธิสัตว์โดยลำดับ
อุปัฏฐากพระองค์อยู่ 6 พรรษา เบื่อหน่ายเพราะการที่พระองค์บริโภค
อาหารหยาบ จึงได้หลีกไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน. ครั้งนั้นแล พระ-
โพธิสัตว์ได้กำลังกายเพราะบริโภคอาหารหยาบ ประทับนั่งบนอปราชิต-
บัลลังก์ ณ ควงแห่งโพธิพฤกษ์ ในวันวิสาขบูรณมี ทรงย่ำยีที่สุดแห่ง
มาร 3 ได้เป็นผู้ตรัสรู้ยิ่งเอง ปล่อยให้ 7 สัปดาห์ล่วงไป ณ โพธิมัณฑ์
นั่นเอง ทรงทราบความแก่กล้าแห่งญาณของภิกษุปัญจวัคคีย์ จึงเสด็จ
ไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ในวันอาสาฬหบูรณมี แล้วทรงแสดง
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แก่ภิกษุปัญจวัคคีย์เหล่านั้น ในเวลาจบเทศนา
พระโกณฑัญญเถระ ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลพร้อมด้วยพรหม 18 โกฏิ.
ลำดับนั้น พระอัญญาโกณฑัญญเถระ ก็ได้กระทำให้แจ้งพระอรหัตผล
ด้วยอนัตตลักขณสูตร ในดิถีที่ 5 แห่งปักษ์ ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงกล่าวไว้
ในอปทาน1ว่า
เราได้เห็นพระสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ
เชษฐบุรุษของโลก เป็นนายกอย่างวิเศษ บรรลุพุทธภูมิ
แล้ว เป็นครั้งแรก เทวดาประมาณเท่าไร มาประชุมกัน
ที่ควงไม้โพธิทั้งหมด แวดล้อมพระสัมพุทธเจ้า ประณม
กรอัญชลีไหว้อยู่ เทวดาทั้งปวงมีใจยินดี เที่ยวประกาศ
ไปในอากาศว่า พระพุทธเจ้านี้ ทรงบรรเทาความมืดมน


1. ขุ. เถร. 32/ข้อ 9.

อนธการแล้ว ทรงบรรลุแล้ว เสียงบันลือลั่นของเทวดา
ผู้ประกอบด้วยความร่าเริงเหล่านั้นได้เป็นไปว่า เราจัก
เผากิเลสทั้งหลาย ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เรารู้ (ได้ฟัง) เสียงอันเทวดาเปล่งแล้วด้วยวาจา ร่าเริง
แล้วมีจิตยินดี ได้ถวายภิกษาก่อน พระศาสดาผู้สูงสุด
ในโลก ทรงทราบความดำริของเรา แล้วประทับนั่ง ณ
ท่ามกลางหมู่เทวดา ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
เราออกบวชได้ 7 วันแล้ว จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ
ภัตอันเป็นปฐมของเรานี้ เป็นเครื่องยังชีวิตให้เป็นไปของ
ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เทพบุตรได้จากดุสิตมา ณ ที่นี้
ได้ถวายภิกษาแก่เรา เราจักพยากรณ์เทพบุตรนั้น ท่าน
ทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ผู้นั้นจักเสวยเทวราชสมบัติ อยู่
ประมาณ 3 หมื่นกัป จักครอบครองไตรทิพย์ ครอบงำ
เทวดาทั้งหมด เคลื่อนจากเทวโลกแล้ว จักถึงความเป็น
มนุษย์ จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เสวยราชสมบัติใน
มนุษยโลกนั้นพันครั้ง ในแสนกัป พระศาสดาพระนาม
ว่าโคดมโดยพระโคตร ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกาก-
ราช จักเสด็จอุบัติในโลก ผู้นั้นเคลื่อนจากไตรทศแล้ว
จักถึงความเป็นมนุษย์ จักออกบวชเป็นบรรพชิตอยู่ 6 ปี
แต่นั้นในปีที่ 7 พระพุทธเจ้าจักตรัสจตุราริยสัจ ภิกษุมี
นามชื่อว่าโกณฑัญญะ จักทำให้แจ้งเป็นปฐม เมื่อเรา

ออกบวช ได้บวชตามพระโพธิสัตว์ ความเพียรเราทำดี
แล้ว เราบวชเป็นบรรพชิตเพื่อต้องการจะเผากิเลส พระ-
สัพพัญญูพุทธเจ้าเสด็จมา ตีกลองอมฤตในโลกพร้อม
ทั้งเทวโลกในป่าใหญ่กับด้วยเราได้ บัดนี้ เราบรรลุ
อมตบทอันสงบระงับ อันยอดเยี่ยมนั้นแล้ว เรากำหนดรู้
อาสวะทั้งปวงแล้ว ไม่มีอาสวะอยู่ คุณวิเศษเหล่านี้คือ
ปฏิสัมภิทา 4 วิโมกข์ 8 และอภิญญา 6 เราทำให้แจ้ง
แล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล.
อารมณ์อันวิจิตรมีอยู่ในโลกเป็นอันมาก ชะรอยจะย่ำยี
บุคคลผู้คิดถึงอารมณ์ว่างาม อันประกอบด้วยราคะใน
ปฐพีมณฑลนี้ ฝนตกลงมาในฤดูฝน พึงระงับธุลีที่ถูกลม
พัดไปได้ฉันใด เมื่อใดพระอริยสาวกพิจารณาเห็นด้วย
ปัญญา เมื่อนั้น ความดำริของพระอริยสาวกนั้น ย่อม
ระงับไปฉันนั้น.

ครั้นกาลต่อมา พระศาสดาประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์ ที่เขาจัดไว้
ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ในเชตวันมหาวิหาร เมื่อจะทรงแสดงภาวะที่เธอได้
เป็นครั้งแรก จึงทรงตั้งท่านไว้ในเอตทัคคะว่า ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุ
ผู้รัตตัญญู อัญญาโกณฑัญญะเป็นเลิศ ท่านประสงค์จะหลีกเลี่ยงความเคารพ
อย่างยิ่ง ที่พระอัครสาวกทั้งสองกระทำในตน และการอยู่เกลื่อนกล่นใน
เสนาสนะใกล้บ้าน และประสงค์จะอยู่ด้วยความยินดียิ่งในวิเวก สำคัญ
การเนิ่นช้า อันเป็นการกระทำปฏิสันถารต่อบรรพชิตและคฤหัสถ์ ผู้มา

ยังสำนักตน จึงทูลลาพระศาสดาเข้าไปยังป่าหิมวันต์ อันช้างชื่อว่า ฉัท-
ทันตะ อุปัฏฐากอยู่ จึงได้อยู่ที่ฝั่งสระฉัททันตะสิ้น 12 ปี. วันหนึ่ง
ท้าวสักกเทวราชเสด็จเข้าไปหาพระเถระผู้อยู่ในที่นั้น ด้วยอาการอย่างนั้น
ทรงบังคมแล้วประทับยืนอยู่ จึงตรัสอย่างนี้ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดีละ ขอ
พระผู้เป็นเจ้าจงแสดงธรรมแก่ข้าพเจ้า. พระเถระแสดงธรรม ด้วยพุทธ-
ลีลา อันมีห้องคือสัจจะ 4 อันลักษณะ 3 กระทบแล้ว อันเกี่ยวด้วยภาวะ
ที่ว่างเปล่า วิจิตรด้วยนัยต่าง ๆ อันหยั่งลงในอมตธรรม.
ท้าวสักกเทวราช ทรงสดับดังนั้นแล้ว เมื่อจะทรงประกาศความ
เลื่อมใสของตน จึงตรัสคาถาที่ 1 ว่า
ข้าพเจ้านั้นได้ฟังธรรมมีรสอันประเสริฐ จึงเกิดความ
เลื่อมใสอย่างยิ่ง ธรรมอันคลายความกำหนัด เพราะ
ไม่ยึดถือมั่น โดยประการทั้งปวง พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้แสดงไว้แล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอส ภิยฺโย ปสีทามิ สุตฺวา ธมฺมํ
มหารสํ
ความว่า แม้ถ้าเราฟังธรรมในสำนักพระศาสดาหลายครั้ง แล้ว
เลื่อมใสยิ่งในธรรมนั้น ก็บัดนี้ เรานั้นฟังธรรมที่ท่านแสดงแล้วมีรสมาก
เพราะวิจิตรด้วยนัยต่าง ๆ และเพราะมีการเสพคุ้นโดยมาก จึงเลื่อมใส
อย่างยิ่งกว่านั้น .
บทว่า วิราโค เทสิโต ธมฺโม อนุปาทาย สพฺพโส ความว่า
ชื่อว่า ผู้ปราศจากราคะ เพราะคลายจากสังกิเลสทั้งปวง และสังขารทั้งปวง
ได้แก่ ยังวิราคธรรมให้เกิด. เพราะเหตุนั้นนั่นแล ชื่อว่า แสดงธรรม

เพราะไม่ยึดมั่นโดยประการทั้งปวง เพราะไม่ยึดมั่น คือไม่ยึดถือธรรม
อะไร ๆ ในบรรดาธรรมมีรูปเป็นต้น แล้วเป็นไปด้วยสามารถยิ่งวิมุตติ
ให้สำเร็จเป็นต้น.
ท้าวสักกเทวราช ครั้นทรงชมเชยเทศนาของพระเถระอย่างนี้แล้ว
ทรงอภิวาทพระเถระ แล้วเสด็จไปสู่ที่ประทับของพระองค์ตามเดิม
ภายหลังวันหนึ่ง พระเถระเห็นวาระแห่งจิตของปุถุชนบางพวก
ผู้ถูกมิจฉาวิตกครอบงำ ระลึกถึงลำดับของจิตนั้น อันเป็นปฏิปักษ์ต่อ
มิจฉาวิตกนั้น และนึกถึงความที่ตนมีจิตพ้นจากมิจฉาวิตกนั้นโดยประการ
ทั้งปวง จึงแสดงความนั้นแล้วกล่าว 2 คาถาว่า
อารมณ์วิจิตรมีอยู่ในโลกเป็นอันมาก ชะรอยจะย่ำยี
บุคคลผู้คิดถึงอารมณ์ว่างาม อันประกอบด้วยราคะในปฐพี
มณฑลนี้ ฝนตกลงมาในฤดูฝน พึงระงับธุลีที่ถูกลมพัด
ไปได้ฉันใด เมื่อใดพระอริยสาวกพิจารณาเห็นด้วย
ปัญญา เมื่อนั้นความดำริของพระอริยสาวกนั้น ย่อม
ระงับไปฉันนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหูนิ โลเก จิตฺรานิ ความว่า อารมณ์
อันวิจิตรด้วยจิตมีอยู่ในโลกเป็นอันมาก ด้วยสามารถแห่งรูปารมณ์เป็นต้น
ด้วยอำนาจสีเขียว สีเหลือง เป็นต้นแม้ในอารมณ์นั้น และด้วยสามารถ
แห่งหญิงและชายเป็นต้น. ด้วยบทว่า อสฺมิ ปฐวิมณฺฑเล นี้ ท่านกล่าว
หมายเอามนุษยโลกอันปรากฏชัด. บทว่า มเถนฺติ มญฺเญ สงฺกปฺปํ
ความว่า มิจฉาสังกัปปะ ความดำริผิด อันตบแต่งด้วยอโยนิโสมนสิการ

ชะรอยว่าจะย่ำยี คือตั้งอยู่ เหมือนย่ำยีอารมณ์อันเกิดแต่จิตนั้น คืออารมณ์
อันประกอบด้วยความเพียรของบุรุษ เหมือนไฟประกอบด้วยไม้สีไฟ
ฉะนั้น. เหมือนอะไร ? เหมือนอารมณ์ว่างาม อันประกอบด้วยราคะ
อธิบายว่า กามวิตก. ก็กามวิตกนั้นท่านเรียกว่างาม เพราะถือเอาอาการ
ว่างาม.
ศัพท์ว่า ในบทว่า รชมุหตญฺจ วาเตน นี้ เป็นเพียงนิบาต,
มหาเมฆ (ฝนใหญ่) ตกลง พึงระงับ คือพึงสงบระงับธุลีที่ลมพัดไป
คือให้ตั้งขึ้น ในเดือนสุดท้ายแห่งคิมหันตฤดูฉันใด ความดำริย่อมระงับ
ฉันนั้น. บทว่า ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ ความว่า เมื่อใดพระอริยสาวก
ย่อมพิจารณาเห็นด้วยปัญญาตามความเป็นจริง ซึ่งอารมณ์เหล่านั้นอัน
วิจิตรในโลก โดยการเกิด โดยไม่ยินดี โดยเป็นโทษ และโดยเป็นที่
สลัดออก เมื่อนั้นมิจฉาสังกัปปะแม้ทั้งหมด ย่อมระงับไป เหมือนเมฆฝน
ระงับธุลีที่ลมพัดไปฉะนั้น. เพราะเมื่อสัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นแล้ว มิจฉา-
สังกัปปะทั้งหลายก็ไม่ได้ที่พึ่ง แต่เมื่อแสดงโดยประการที่ตนเห็นด้วย
ปัญญา จึงกล่าวคาถา 3 คาถาว่า
เมื่อใด พระอริยสาวกพิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า
สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เมื่อนั้นพระอริยสาวกนั้น ย่อม
หน่ายในทุกข์ นี้เป็นทางแห่งความหมดจด เมื่อใดพระ-
อริยสาวกพิจารถเาเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงเป็น
ทุกข์ เมื่อนั้นพระอริยสาวกย่อมหน่ายในทุกข์ นี้เป็นทาง
แห่งความหมดจด เมื่อใดพระอริยสาวกพิจารณาเห็น
ด้วยปัญญาว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เมื่อนั้นพระ-

อริยสาวกนั้นย่อมหน่ายในทุกข์ นี้เป็นทางแห่งความ
หมดจด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺเพ สงฺขารา ได้แก่ขันธ์ทั้ง 5 อัน
เป็นไปในภูมิ 3 ทั้งหมดอันสงเคราะห์ด้วยอารมณ์ 6. บทว่า อนิจฺจา
ความว่า เมื่อใดพระอริยสาวกพิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลาย
ชื่อว่าไม่เที่ยง เพราะมีเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด เพราะมีความไม่เที่ยง
เป็นที่สุด เพราะเป็นไปในกาลชั่วคราว เพราะแตกไปในที่นั้น ๆ. บทว่า
อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข ความว่า เมื่อนั้นพระอริยสาวกนั้น ย่อมเบื่อหน่าย
ในวัฏทุกข์ เมื่อเบื่อหน่ายย่อมแทงตลอดสัจจะ โดยวิธีกำหนดรู้ทุกข์
เป็นต้น. บทว่า เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา ความว่า วิปัสสนาวิธีที่กล่าวแล้ว
นั้น ย่อมเป็นทางคือเป็นอุบายเครื่องบรรลุญาณทัสสนวิสุทธิ และอัจจันต-
วิสุทธิ ความหมดจดโดยส่วนเดียว.
บทว่า ทุกฺขา ความว่า ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะเป็นไปกับด้วยภัย
เกิดขึ้นเฉพาะหน้า เพราะถูกความเกิดขึ้นและดับไปบีบคั้นเสมอ เพราะ
ทนได้ยาก และเพราะขัดต่อสุข. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
บทว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ความว่า ธรรมอันเป็นไปในภูมิ 4
แม้ทั้งหมดเป็นอนัตตา แต่ในที่นี้ควรถือเอาเฉพาะธรรมอันเป็นไปในภูมิ 3
จริงอยู่ ธรรมเหล่านั้นพึงพิจารณาเห็นว่าเป็นสุญญตะ ว่างเปล่า เพราะ
ไม่มีแก่นสาร เพราะไม่เป็นไปในอำนาจ และชื่อว่าเป็นอนัตตา เพราะ
ปฏิเสธอัตตา. คำที่เหลือเช่นกับคำมีในก่อนนั่นแล.
ครั้นแสดงวิปัสสนาวิธีอย่างนี้แล้ว เมื่อจะแสดงกิจที่ตนทำด้วยวิธี
นั้น ทำคนให้เหมือนผู้อื่น จึงกล่าว 2 คาถาว่า

พระอัญญาโกณฑัญญเถระใด เป็นผู้ตรัสรู้ตามพระ-
พุทธเจ้า เป็นผู้มีความบากบั่นอย่างแรงกล้า ละความเกิด
และความตายได้แล้ว เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยพรหมจรรย์
พระอัญญาโกณฑัญญเถระนั้น ได้ตัดบ่วงคือโอฆะ ถอน
ตะปูตรึงจิตอันมั่นคง และทำลายภูเขาที่ได้ยากแล้ว
ข้ามไปถึงฝั่งคือนิพพาน เป็นผู้เพ่งฌาน หลุดพ้นจาก
เครื่องผูกแห่งมาร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พุทฺธานุพุทฺโธ ได้แก่ ผู้ตรัสรู้ตาม
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย. อธิบายว่า ตรัสรู้สัจจะ 4 ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ตรัสรู้แล้ว ตามกระแสเทศนาแห่งพระพุทธเจ้าเหล่านั้น. ชื่อว่าเถระ
เพราะประกอบด้วยสาระมีศีลสาระเป็นต้น อันเป็นอเสกขะ มั่นคง.
บทว่า โกณฺฑญฺโญ ได้แก่ การระบุถึงโคตร. บทว่า ติพฺพนิกกฺโม
ได้แก่ผู้มีความเพียรอันมั่นคง คือมีความบากบั่นมั่นคง. ชื่อว่าผู้มีชาติ
และมรณะอันละแล้ว เพราะเหตุแห่งชาติและมรณะอันละได้แล้ว. บทว่า
พฺรหฺมจริยสฺส เกวลี ความว่า มรรคพรหมจรรย์ไม่มีส่วนเหลือ หรือ
มรรคพรหมจรรย์บริบูรณ์โดยไม่มีส่วนเหลือ, อีกอย่างหนึ่ง มรรคญาณ
และผลญาณ ชื่อว่า เกวลี เพราะไม่เจือด้วยกิเลส มรรคญาณและ
ผลญาณนั้น มีอยู่ในมรรคพรหมจรรย์นี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เกวลี
ก็เพราะเหตุที่มรรคญาณและผลญาณทั้งสองอย่างนั้น ย่อมมีอยู่ในมรรค-
พรหมจรรย์นี้ เพราะเหตุนั้น มรรคพรหมจรรย์นี้จึงชื่อว่า เกวลี. และ
เพราะมรรคญาณและผลญาณแม้ทั้งสองนั้น ย่อมมีด้วยอำนาจของมรรค-

พรหมจรรย์ หามีโดยประการอื่นไม่. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
พฺรหฺมจริยสฺส เกวลี ดังนี้.
โอฆะ 4 ที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า โอฆะคือกาม โอฆะคือภพ
โอฆะคือทิฏฐิ โอฆะคืออวิชชา และบ่วงที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า บ่วงที่
เที่ยวไปในอากาศคือมานัส, ตะปูตรึงจิต 5 อย่างอันมั่นคง ที่ท่านกล่าว
ไว้อย่างนี้ว่า ย่อมสงสัยในพระศาสดา ย่อมสงสัยในพระธรรม ย่อมสงสัย
ในพระสงฆ์ ย่อมสงสัยในสิกขา เป็นผู้วุ่นวายในพระสงฆ์ ไม่มีใจเป็น
ของ ๆ ตน มีจิตถูกอารมณ์กระทบแล้ว เป็นดังเสาเขื่อน ความไม่รู้ในทุกข์
เป็นต้นที่ทำลายได้ยาก เพราะชนผู้เจริญไม่สามารถจะทำลายได้ เพราะ
เหตุนั้นนั่นแล จึงถึงการนับว่า ปพฺพโต เพราะเป็นเสมือนภูเขา และ
ประเภทแห่งการไม่มีญาณ (ปัญญา) ที่ท่านกล่าวไว้โดยนัยมีอาทิว่า ความ
ไม่รู้ในทุกข์.
ผู้ใดใช้ดาบคืออริยมรรคญาณตัดตะปูตรึงจิตและบ่วงในธรรม คือ
สังกิเลส 4 อย่างนี้ ที่ท่านกล่าวไว้ว่า เฉตฺวา ขิลญฺจ ปาสญฺจ ทั้งหมด
นี้ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า เสลํ เภตฺวา น ทุพฺภิทํ ความว่า ใช้ญาณอันเปรียบด้วยเพชร
ตัดภูเขาอันล้วนแล้วแต่หิน คือความไม่รู้ อันใคร ๆ ไม่สามารถจะตัดได้
ด้วยญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วข้ามโอฆะทั้ง 4 ชื่อว่าข้ามได้แล้ว คือ
ถึงฝั่งแล้ว เพราะตั้งอยู่ในพระนิพพาน อันเป็นฝั่งโน้นแห่งโอฆะทั้ง 4
นั้น ชื่อว่าผู้เพ่งฌาน ด้วยฌานทั้งสอง คือฌานเข้าไปเพ่งอารมณ์เป็น
ลักษณะ 1 ฌานเข้าไปเพ่งลักษณะเป็นลักษณะ 1. บทว่า ปุตฺโต โส
มารพนฺธนา
ความว่า พระขีณาสพนั้น คือเห็นปานนั้น พ้นแล้ว พ้น

ขาดแล้ว ปราศจากแล้ว จากเครื่องผูกคือกิเลสมารแม้ทั้งหมด เพราะ
เหตุนั้น พระเถระกล่าวหมายเอาตนนั่นเอง.
ภายหลังวันหนึ่ง พระเถระเห็นภิกษุรูปหนึ่ง ผู้สัทธิวิหาริกของตน
เป็นคนเกียจคร้าน มีความเพียรเลว มีจิตฟุ้งซ่าน มีจิตดังไม้อ้ออันยกขึ้น
อยู่ด้วยการคลุกคลีด้วยบุคคลผู้ไม่เป็นกัลยาณมิตร จึงไปในที่นั้นด้วยฤทธิ์
แล้วโอวาทภิกษุนั้นว่า อย่ากระทำอย่างนี้เลยอาวุโส จงละบุคคลผู้ไม่เป็น
กัลยาณมิตร คบหาบุคคลผู้เป็นกัลยาณมิตรทั้งหลาย. ภิกษุนั้นไม่เอื้อเฟื้อ
คำของพระเถระ. พระเถระถึงธรรมสังเวช ด้วยการไม่เอื้อเฟื้อของภิกษุ
นั้น จึงติเตียนการปฏิบัติผิด ด้วยถ้อยคำเป็นบุคลาธิษฐาน เมื่อจะ
สรรเสริญการปฏิบัติชอบ และการอยู่ด้วยความสงัด จึงได้กล่าวคาถา
เหล่านี้ว่า
ภิกษุมีใจฟุ้งซ่าน กลับกลอก คบหาแต่มิตรที่เลว-
ทราม ถูกคลื่นซัดให้จมอยู่ในห้วงน้ำคือสงสาร ส่วนภิกษุ
ผู้มีใจไม่ฟุ้งซ่าน ไม่กลับกลอก มีปัญญารักษาตัวรอด
สำรวมอินทรีย์ คบหากัลยาณมิตร เป็นนักปราชญ์ พึง
ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ นรชนผู้ซูบผอม มีตัวสะพรั่งไปด้วย
เส้นเอ็นดังเถาหญ้านาง เป็นผู้รู้จักประมาณในข้าวและน้ำ
มีใจไม่ย่อท้อ ถูกเหลือบยุงทั้งหลายกัดอยู่ในป่าใหญ่
ย่อมมีสติอดกลั้นได้อยู่ในป่านั้น เหมือนช้างที่อดทนต่อ
ศาตราวุธในยุทธสงครามฉะนั้น เราไม่ยินดีความตาย
ไม่เพลิดเพลินความเป็นอยู่ เรารอเวลาตาย เหมือน

ลูกจ้างรอให้หมดเวลาทำงานฉะนั้น เราไม่ยินดีความตาย
ไม่เพลิดเพลินความเป็นอยู่ แต่เรามีสติสัมปชัญญะรอ
เวลาตาย พระศาสดาเราได้คุ้นเคยแล้ว เราทำคำสั่งสอน
ของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว ปลงภาระอันหนักลงแล้ว ถอน
ตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพขึ้นแล้ว ได้บรรลุถึงประโยชน์ที่
กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกบวชเป็นบรรพชิตต้องการแล้ว
เพราะฉะนั้น จะมีประโยชน์อะไร ด้วยสัทธิวิหาริกผู้ว่า
ยากแก่เรา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุทฺธโต ความว่า ประกอบด้วยความ
ฟุ้งซ่าน คือมีจิตไม่ตั้งมั่น มีจิตฟุ้งซ่าน.
บทว่า จปโล ความว่า ประกอบด้วยความโยกโคลง มีการตบแต่ง
บาตรและจีวรเป็นต้น คือเป็นผู้มีจิตโลเลเป็นปกติ.
บทว่า มิตฺเต อาคมฺม ปาปเก ความว่า อาศัยบุคคลไม่เป็น
กัลยาณมิตรแล้วไม่กระทำสมณธรรม. บทว่า สํสีทติ มโหฆสฺมึ อูมิยา
ปฏิกุชฺชิโต
ความว่า บุรุษผู้ตกไปในมหาสมุทร อันคลื่นในมหาสมุทร
ท่วมทับ เมื่อไม่สามารถจะยกศีรษะขึ้นได้ ก็จมไปในมหาสมุทรนั่นเอง
ฉันใด บุคคลผู้วนเวียนอยู่ในโอฆะใหญ่ ในสงสารก็ฉันนั้น ถูกคลื่นคือ
โกธะและอุปายาสครอบงำ คือท่วมทับ เมื่อไม่สามารถเพื่อจะยกศีรษะคือ
ปัญญาขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนา จึงจมลงไปในโอฆะใหญ่คือสงสารนั้น
นั่นเอง.
บทว่า นิปโก ได้แก่ ผู้ละเอียดอ่อน คือเป็นผู้ฉลาดในประโยชน์
คนและประโยชน์ผู้อื่น. บทว่า สํวุตินฺทฺริโย ความว่า ผู้มีอินทรีย์อันปิด

แล้ว ด้วยการปิดอินทรีย์มีใจเป็นที่ 6. บทว่า กลฺยาณมิตฺโต ได้แก่
ผู้ประกอบด้วยกัลยาณมิตรทั้งหลาย.
บทว่า เมธาวี ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยปัญญา มีโอชะอันเกิดแต่ธรรม
บทว่า ทุกฺขสฺสนฺตกโร สิยา ความว่า บุคคลเช่นนั้น พึงกระทำที่สุด
แห่งวัฏทุกข์ทั้งสิ้น.
บทว่า กาลปพฺพงฺคสงฺกาโส เป็นต้น เป็นบทระบุถึงความยินดี
ในวิเวก. ส่วนบทว่า นาภินนฺทามิ เป็นต้น เป็นบทแสดงภาวะแห่งกิจ
ที่ทำเสร็จแล้ว. คำทั้งหมดมีอรรถดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล ก็ในที่สุด
ท่านกล่าวหมายเอาสัทธิวิหาริกของตนด้วยคำว่า กึ เม สทฺธิวิหารินา.
เพราะฉะนั้น จะประโยชน์อะไรแก่เรา ด้วยสัทธิวิหาริกผู้ว่ายาก ผู้ไม่
เอื้อเฟื้อเช่นนั้น อธิบายว่า เราชอบใจการอยู่โดดเดี่ยวเท่านั้น.
ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ได้ไปสู่สระฉันทันตะนั่นแล. ท่านอยู่
ในที่นั้นสิ้น 12 ปี เมื่อจวนปรินิพพาน จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว จึงไปปรินิพพานในที่นั้นนั่นเอง
จบอรรถกถาอัญญาโกณฑัญญเถรคาถาที่ 1

2. อุทายีเถรคาถา



ว่าด้วยคาถาของพระอุทายีเถระ


[384] เราเคยได้ฟังมาจากพระอรหันต์ทั้งหลายว่า มนุษย์ทั้ง
หลายย่อมนอบน้อมบุคคลใด ผู้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นพระ-
พุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เอง มีตนอันได้ฝึกฝนแล้ว มีจิตตั้งมั่น
ดำเนินไปในทางของพรหม ยินดีในการสงบระงับจิต ถึง
ฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง แม้เทวดาทั้งหลายก็พากันนอบน้อม
บุคคลนั้น เทวดาและมนุษย์ย่อมนอบน้อมพระสัมมาสัม-
พุทธเจ้าพระองค์ใด ผู้ก้าวล่วงสังโยชน์ทั้งปวง ออกจาก
ป่า คือกิเลสมาสู่นิพพาน ออกจากกามมายินดีในเนก-
ขัมมะ เหมือนทองคำอันพ้นแล้วจากหินฉะนั้น พระ-
สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้นแลเป็นนาค รุ่งเรืองพ้น
โลกนี้กับทั้งเทวโลก เหมือนขุนเขาหิมวันต์รุ่งเรืองล่วง
ภูเขาเหล่านั้น เราจักแสดงช้างตัวประเสริฐ ซึ่งเป็นนาค
นี้ชื่อโดยแท้จริง เป็นเยี่ยมกว่าบรรดาผู้มีชื่อว่านาคทั้ง
หมด แก่ท่านทั้งหลาย เพราะผู้ใดไม่ทำบาป ผู้นั้นชื่อ
ว่า นาค ความสงบเสงี่ยมและการไม่เบียดเบียน 2 อย่าง
นี้ เป็นเท้าหน้าทั้งสองของนาค สติสัมปชัญญะเป็นเท้า
หลัง ช้างตัวประเสริฐควรบูชา มีศรัทธาเป็นงวง มี
อุเบกขาเป็นงาอันขาว มีสติเป็นคอ มีปัญญาเครื่อง
พิจารณาค้นคว้าธรรมเป็นศีรษะ มีธรรม คือสมาวาสะเป็น