เมนู

6. เสนกเถรคาถา



ว่าด้วยคาถาของพระเสนกเถระ


[328] การที่เราได้มา ณ ที่ใกล้ท่าคยาในเดือนผัคคุณ1มาสนี้
เป็นการมาดีแล้วหนอ เพราะได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ผู้แสดงธรรมอันสูงสุด มี
พระรัศมีมาก เป็นพระคณาจารย์ ถึงความเป็นผู้เลิศ
เป็นนายกวิเศษของมนุษยโลก พร้อมทั้งเทวโลก ผู้ชนะ
มาร ผู้มีการเห็นหาสิ่งจะเปรียบมิได้ มีอานุภาพมาก
เป็นมหาวีรบุรุษผู้รุ่งเรื่องใหญ่ ไม่มีอาสวะ สิ้นอาสวะ
ทั้งปวง เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ ไม่มีภัยแต่
ที่ไหน พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงปลดเปลื้องเรา
ผู้มีนามว่าเสนกะ ผู้เศร้าหมองมาแล้วนาน มีสันดาน
ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ จากกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งปวง.

จบเสนกเถรคาถา

อรรถกถาเสนกเถรคาถาที่ 6



คาถาของท่านพระเสนกเถระ มีคำเริ่มต้นว่า สฺวาคตํ วต ดังนี้.
เรื่องนั้น มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระเถระแม้นี้ ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน
สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า สิขี
1. ผัคคุณมาส เดือน 4 มีนาคม.

บังเกิดในเรือนมีตระกูล ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่งเห็นพระ-
ศาสดา มีจิตเลื่อมใส บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยกำหางนกยูง.
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษยโลก ใน
พุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ บังเกิดในท้องของน้องสาว
ของพระอุรุเวลกัสสปเถระ ท่านได้นามว่าเสนกะ ท่านเจริญวัยแล้วถึง
ความสำเร็จในศิลปวิชาของพวกพราหมณ์ อยู่ครองฆราวาส.
ก็สมัยนั้น มหาชนพากันเล่นมหรสพในอุตตรผัคคุณีนักขัตฤกษ์ปลาย
เดือน 4 ทุก ๆ ปี กระทำพิธีสรงน้ำที่ท่าใกล้แม่น้ำคยา, ด้วยเหตุนั้น
ชนทั้งหลายพากันเรียกมหรสพนั้นว่า คยาผัคคุณี ดังนี้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ใกล้ท่าแห่งแม่น้ำคยา
เพื่ออนุเคราะห์แก่เวไนยสัตว์ ในวันมหรสพเช่นนั้น, ฝ่ายมหาชนจากที่
นั้น ๆ เข้าไปยังที่นั้น ๆ ด้วยความประสงค์จะสรงสนานที่ท่าน้ำ. ในขณะ
นั้น แม้ท่านเสนกะเข้าไปยังที่นั้นเพื่อสรงสนานที่ท่าน้ำ เห็นพระศาสดา
กำลังทรงแสดงธรรม ฟังธรรมแล้วกลับได้ศรัทธาบวช เมื่อกระทำกรรม
เพื่อวิปัสสนา ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัต ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวไว้ใน
อปทาน1ว่า
เราถือกำหางนกยูงเข้าไปเฝ้าพระโลกนายก เรามีจิต
เลื่อมใส ได้ถวายกำหางนกยูง ด้วยกำหางนกยูงนี้และ
ด้วยการตั้งเจตนาไว้ ไฟ 3 กองของเราจึงดับสนิทแล้ว เรา
ได้สุขอันไพบูลย์ โอ พระพุทธเจ้า โอ พระธรรม โอ
สัมปทาแห่งพระศาสดาของเรา เราถวายกำหางนกยูงแล้ว
เราได้ความสุขอันไพบูลย์ ไฟ 3 กองของเราดับสนิทแล้ว


1. ขุ. อ. 33/ข้อ 42.

เราถอนภพขึ้นได้ทั้งหมดแล้ว อาสวะทั้งปวงหมดสิ้นไป
แล้ว บัดนี้ภพใหม่มิได้มี ในกัปที่ 31 แต่ภัทรกัปนี้ เรา
ถวายทานใดในกาลนั้น ด้วยทานนั้นเราไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายกำหางนกยูง เราเผากิเลสทั้งหมด
แล้ว...ฯลฯ... พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว
ดังนี้.
ก็แลครั้นท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว ได้พิจารณาการปฏิบัติของตน
เกิดโสมนัส ได้กล่าว 8 คาถา ด้วยอำนาจอุทาน1ว่า
การที่เราได้มา ณ ที่ใกล้ท่าคยาในเดือนผัคคุณมาสนี้
เป็นการมาดีแล้วหนอ เพราะได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ผู้แสดงธรรมอันสูงสุด มี
พระรัศมีมาก เป็นพระคณาจารย์ ถึงความเป็นผู้เลิศ
เป็นนายกวิเศษของมนุษยโลก พร้อมทั้งเทวโลก ผู้ชนะ
มาร ผู้มีการเห็นหาสิ่งจะเปรียบมิได้ มีอานุภาพมาก
เป็นมหาวีรบุรุษผู้รุ่งเรื่องใหญ่ ไม่มีอาสวะ สิ้นอาสวะทั้ง-
ปวง เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ ไม่มีภัยแต่ที่ไหน
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงปลดเปลื้องเรา ผู้มี
นามว่าเสนกะ ผู้เศร้าหมองมานานแล้ว มีสันดานประกอบ
ด้วยมิจฉาทิฏฐิ จากกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งปวง
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สฺวาคตํ วต เม อาสิ ความว่า การที่
เราได้มา ณ ที่ใกล้ท่าคยาในเดือนผัคคุณมาสนี้ เป็นการมาดีแล้วหนอ
หรือการมาของเราเป็นการดีหนอ.

1. ขุ. เถร. 26/ข้อ 328.

บทว่า คยายํ ได้แก่ ที่ใกล้แห่งท่าคยา,
บทว่า คยผคฺคุยา ความว่า ในอุตตรผัคคุณีนักขัตฤกษ์ปลายเดือน 4
อันได้โวหารว่า คยาผัคคุ.
บทว่า ยํ เป็นต้น เป็นบทแสดงเหตุแห่งความเป็นผู้มาดี. บรรดา
บทเหล่านั้น บทว่า ํ แก้เป็น ยสฺมา แปลว่า เพราะเหตุใด.
บทว่า อทสฺสาสึ แปลว่า ได้เห็นแล้ว.
บทว่า สมฺพุทฺธํ ความว่า ซึ่งว่า สัมพุทธะ เพราะตรัสรู้ธรรม
ทั้งปวงโดยชอบและด้วยพระองค์เอง.
บทว่า ทสฺเสนฺตํ ธมฺมมุตฺตมํ ความว่า ผู้ตรัสรู้ธรรมสูงสุด คือเลิศ
ประเสริฐกว่าธรรมทั้งปวง ได้แก่ ธรรมเป็นเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์โดย
แท้จริง ควรแก่อัธยาศัยของเวไนยสัตว์.
บทว่า มหปฺปภํ ได้แก่ ประกอบด้วยรัศมีแห่งสรีระ. และด้วยรัศมี
แห่งญาณอันใหญ่.
บทว่า คณาจริยํ ความว่า ชื่อว่า คณาจริยะ เพราะให้คณะมีภิกษุ
บริษัทเป็นต้นศึกษาอาจาระโดยการฝึกอย่างสูงสุด. ซึ่งว่า ถึงความเลิศ
เพราะบรรลุคุณมีศีลเป็นต้นอันเป็นคุณสูงสุด. ซึ่งว่า เป็นผู้นำอันวิเศษ
เพราะฝึกเทวดาและมนุษย์เป็นต้นด้วยการฝึกอย่างยอดเยี่ยม และเพราะ
พระองค์เว้นจากผู้แนะนำ. เป็นผู้อันใคร ๆ ไม่ครอบงำ เพราะพระองค์
ครอบงำสัตว์โลกทั้งสิ้นดำรงอยู่ และชื่อว่า เป็นชินะแห่งโลกพร้อมด้วย
เทวโลก
คือเป็นชินะผู้เลิศในโลกพร้อมด้วยเทวโลก เพราะพระองค์
ทรงชำนะมารทั้ง 5, ชื่อว่า ผู้ทรงมีการเห็นหาผู้เปรียบปานมิได้ เพราะ
มีพระรูปกายอันประดับด้วย มหาปุริสลักษณะอันประเสริฐ 32 และ

อนุพยัญชนะ 80 เป็นต้น แลเพราะมีพระธรรมกายอันประดับด้วยคุณ มี
ทศพลญาณ และจตุเวสารัชญาณเป็นต้น และมีทัสสนะอันชาวโลกทั้งสิ้น
จะพึงประมาณมิได้ และเพราะมีทัสสนะหาผู้เสมอเหมือนมิได้.
ชื่อว่า มหานาคะ เพราะเป็นผู้เสมือนกุญชรเชือกประเสริฐใหญ่
เหตุเพียบพร้อมด้วยทุคติ กำลังและความบากบั่น และเพราะมีอานุภาพมาก
แม้ในบรรดาท่านผู้ประเสริฐคือพระขีณาสพ. ชื่อว่า มหาวีระ เพราะย่ำยี
มารและเสนามารเสียได้ และเพราะมีความกล้าหาญอย่างใหญ่หลวง.
บทว่า มหาชุตึ ความว่า ผู้มีเดชเกิดจากมีคลังทรัพย์จับจ่ายมาก
คือผู้มีเดชมาก. ชื่อว่า อนาสวะ ไม่มีอาสวะ เพราะท่านไม่มีอาสวะทั้ง 4.
ชื่อว่า สิ้นอาสวะทั้งปวง เพราะอาสวะทั้งปวงพร้อมด้วยวาสนาของท่าน
หมดสิ้นแล้ว. เพราะจะแสดงว่า สาวกพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธะ
เป็นผู้ชื่อว่าสิ้นอาสวะโดยแท้ ถึงอย่างนั้น เฉพาะพระสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย
ย่อมชื่อว่าย่อมทำอาสวะพร้อมด้วยวาสนาให้สิ้นไป ท่านจึงกล่าวว่า อนาสวํ
แล้วกล่าวอีกว่า สพฺพาสวปริกฺขีณํ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ชื่อว่าผู้สิ้นอาสวะทั้งปวง เพราะท่านสิ้นอาสวะทั้งปวงพร้อมทั้งวาสนาสิ้น
แล้ว. มีวาจาประกอบความว่า ชื่อว่าเป็นศาสดา เพราะทรงพร่ำสอน
เวไนยสัตว์ตามสมควร ด้วยประโยชน์ในปัจจุบัน และด้วยประโยชน์ใน
สมัยปรายภพ ชื่อว่าผู้ไม่มีภัยแต่ที่ไหน ๆ เพราะไม่มีภัยแม้แต่ที่ไหน ๆ
เหตุเป็นผู้แกล้วกล้าด้วยเวสารัชญาณ 4 เพราะเหตุได้เห็นพระสัมมา-
สัมพุทธเจ้าเห็นปานนั้น ฉะนั้น เราจึงเป็นผู้ชื่อว่ามาดีแล้ว.
บัดนี้ เมื่อจะแสดงคุณที่ตนได้แล้ว เพราะได้เห็นพระศาสดา จึง
ได้กล่าวคาถาที่ 4

คำอันเป็นคาถามีอธิบายดังนี้ว่า ท่านเสนกะประกาศความเลื่อมใส
ยิ่งในพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นศาสดา
ของเรา เมื่อจะปลดเปลื้องเรา ผู้เศร้าหมองมาตลอดกาลนาน ในสงสาร
อันหาเบื้องต้นและที่สุดตามรู้ไม่ได้ด้วยวัตถุ คือสังกิเลส เครื่องเศร้าหมอง
เหมือนน้ำเต้า เต็มด้วยน้ำข้าวฉะนั้น เหมือนตุ่มเต็มด้วยเปรียง และ
เหมือนท่อนผ้าเก่าอันน้ำมันเหลวดื่มแล้วฉะนั้น ผู้ถูกเครื่องผูกคือทิฏฐิผูก
ไว้ที่เสาคือสักกายทิฏฐิ เหมือนสุนัขถูกผูกไว้ที่เสาไม้มะสังฉะนั้น ให้พ้น
จากเครื่องผูกนั้น จึงปลดเปลื้องเราผู้ชื่อว่าเสนกะ จากเครื่องร้อยรัดทั้งปวง
มีอภิชฌาเป็นต้น ด้วยมือคืออริยมรรค.
จบอรรถกถาเสนกเถรคาถาที่ 6

7. สัมภูตเถรคาถา



ว่าด้วยคาถาของพระสัมภูตเถระ


[329] ผู้ใดรีบด่วนในเวลาที่ควรช้า และช้าในเวลาที่ควรรีบ
ด่วน ผู้นั้นเป็นพาลย่อมประสพทุกข์ เพราะไม่จัดแจงโดย
อุบายอันชอบ ประโยชน์ของผู้นั้นย่อมเสื่อมไป เหมือน
พระจันทร์ข้างแรม เขาย่อมถึงความเสื่อมยศ และแตก
จากมิตรทั้งหลาย ผู้ใดช้า ในเวลาที่ควรช้า รีบด่วนในเวลา
ที่ควรรีบด่วน ผู้นั้นเป็นบัณฑิตถึงความสุข เพราะได้
จัดแจงโดยอุบายอันชอบ ประโยชน์ของผู้นั้นย่อมบริบูรณ์
เหมือนพระจันทร์ข้างขึ้น เขาย่อมได้ยศ ได้เกียรติคุณ
และไม่แตกจากมิตรทั้งหลาย.

จบสัมภูตเถรคาถา

อรรถกถาสัมภูตเถรคาถาที่ 7



คาถาของท่านพระสัมภูตเถระ มีคำเริ่มต้นว่า โย ทนฺธกาเล ดังนี้
เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระเถระแม้นี้ ได้ทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน
บำเพ็ญบุญในภพนั้น ๆ เมื่อโลกว่างพระพุทธเจ้า บังเกิดในกำเนิดกินนร
ที่ฝั่งแม่น้ำจันทภาคา วันหนึ่งเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งมีจิตเลื่อมใส
ไหว้แล้ว กระทำอัญชลีได้กระทำการบูชาด้วยดอกอัญชัน.
ด้วยบุญกรรมนั้น เธอท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ใน
พุทธุปบาทกาลนี้ ฟังธรรมในสำนักของพระธรรมภัณฑาคาริกภายหลัง