เมนู

11. นหาตกมุนีเถรคาถา

ว่าด้วยของพระนหาตกมุนีเถระ


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า
[357] ดูก่อนภิกษุ เมื่อเธออยู่ในป่าใหญ่อันปราศจากโคจร
เป็นป่าเศร้าหมอง ถูกโรคลมครอบงำ จักทำอย่างไร.

พระนหาตกมุนีกราบทูลว่า
ข้าพระองค์จักยังปีติและความสุขอันไพบูลย์ให้แผ่ไป
สู่ร่างกาย ครอบงำปัจจัยอันเศร้าหมองอยู่ในป่าใหญ่ และ
จักเจริญโพชฌงค์ 7 อินทรีย์ 5 พละ 5 ถึงพร้อมด้วย
อรูปฌาน จักเป็นผู้หมดอาสวะอยู่ ข้าพระองค์จักพิจารณา
เนือง ๆ ซึ่งจิตอันบริสุทธิ์ หลุดพ้นแล้วจากกิเลส ไม่ขุ่นมัว
เป็นผู้หมดอาสวะอยู่ อาสนะทั้งปวงของข้าพระองค์ ซึ่งมี
อยู่ทั้งภายในและภายนอก ถูกถอนขึ้นหมดแล้ว ไม่เกิด
ขึ้นอีกต่อไป เบญจขันธ์ ข้าพระองค์กำหนดรู้แล้ว มีราก
อันขาดแล้วตั้งอยู่ ธรรมอันเป็นที่สิ้นทุกข์ ข้าพระองค์ได้
บรรลุแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี พระเจ้าข้า.

จบนหาตกมุนีเถรคาถา

อรรถกถานหาตกมุนีเถรคาถาที่ 11



คาถาของท่านพระนหาตกมุนีเถระ มีคำเริ่มต้นว่า วาตโรคาภินีโต
ดังนี้. เรื่องนี้มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?

แม้พระเถระนี้ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อน
ทั้งหลาย สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในตระกูล
พราหมณ์ในนครราชคฤห์ เติบใหญ่ขึ้นได้ถึงความสำเร็จในที่ตั้งแห่งวิชชา
เป็นต้น เขารู้กันทั่วว่า นหาตกะ เพราะประกอบด้วยลักษณะของผู้อาบ
แล้ว (คือหมดกิเลส).
ท่านนหาตกะนั้น บวชเป็นดาบสยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยลูกเดือย
ในราวป่าในที่ประมาณ 3 โยชน์จากนครราชคฤห์ บำเรอไฟอยู่. พระ-
ศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัตของท่านอันโพลงอยู่ในภายในหทัย
เหมือนประทีปลุกโพลงอยู่ในหม้อ จงได้เสด็จไปยังอาศรมบทของท่าน.
ท่านได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ร่าเริงดีใจ จึงน้อมนำอาหาร
เข้าไปถวายโดยทำนองที่สำเร็จแก่ตน. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยอาหาร
นั้น ถวายในวันที่ 2 ที่ 3 ก็อย่างนั้น ในวันที่ 4 จึงกราบทูลว่า ข้าแต่
พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์เป็นผู้ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง ไฉนจึงยังอัตภาพ
ให้เป็นไปด้วยอาหารนี้ได้. พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศคุณแห่งอริย-
สันโดษแก่ท่าน จึงทรงแสดงธรรม.
ดาบสได้ฟังธรรมนั้นแล้ว เป็นพระโสดาบัน บวชแล้วบรรลุพระ-
อรหัต. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทำดาบสนั้นให้ดำรงอยู่ในพระอรหัต
แล้วก็เสด็จไป. ฝ่ายดาบสนั้นอยู่ในที่นั้นแหละ ต่อมาถูกโรคลมเบียดเบียน.
พระศาสดาได้เสด็จไปในที่นั้น เมื่อจะตรัสถามธรรมเครื่องอยู่ของท่าน
โดยทางปฏิสันถาร จึงตรัสพระคาถาว่า
ดูก่อนภิกษุ เมื่อเธออยู่ในป่าใหญ่ อันปราศจากโคจร
เป็นป่าเศร้าหมอง ถูกโรคลมครอบงำจักทำอย่างไร.

ลำดับนั้น พระเถระจึงประกาศธรรมเครื่องอยู่ของตนแด่พระศาสดา
ด้วยคาถา1เหล่านี้ว่า
ข้าพระองค์จักยังปีติและสุขให้แผ่ไปสู่ร่างกาย ครอบ
งำปัจจัยอันเศร้าหมองอยู่ในป่าใหญ่ และจักเจริญโพช-
ฌงค์ 7 อินทรีย์ 5 พละ 5 ถึงพร้อมด้วยฌานโสขุมมะ
คืออรูปฌาน จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ ข้าพระองค์จัก
พิจารณาเนือง ๆ ถึงจิตอันบริสุทธิ์ หลุดพ้นจากกิเลสแล้ว
ไม่ขุ่นมัว ไม่มีอาสวะอยู่. อาสวะทั้งปวงของข้าพระองค์
ซึ่งมีอยู่ทั้งภายในและภายนอก ถูกถอนขึ้นหมดแล้ว ไม่
เกิดขึ้นต่อไป เบญจขันธ์ข้าพระองค์กำหนดรู้แล้ว มีราก
ขาดแล้วตั้งอยู่ ธรรมอันเป็นที่สิ้นทุกข์ ข้าพระองค์ได้
บรรลุแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มีพระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ณานโสขุมฺมสมฺปนฺโน ได้แก่ ผู้ประกอบ
ด้วยภาวะอันละเอียดอ่อนแห่งฌาน. อรูปฌาน ชื่อว่า ฌานสุขุมะ. เพราะ-
ฉะนั้น ท่านจึงอธิบายไว้ว่า เราเป็นผู้ได้สมาบัติ 8. ด้วยบทว่า ฌาน-
โสขุมฺมสมฺปนฺโน
นั้น ท่านพระดาบสแสดงถึงความที่ตนเป็นอุภโตภาค-
วิมุตติ. ส่วนอาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า ด้วยบทว่า โสขุมฺมํ นี้ ท่าน
ประสงค์เอาอธิปัญญาสิกขาในอรหัตมรรคและอรหัตผล. แต่นั้น ท่าน
ประกาศถึงความที่ตนเป็นอุภโตภาควิมุตติ ด้วย ฌาน ศัพท์.
บทว่า วิปฺปมุตฺตํ กิเลเสหิ ความว่า ชื่อว่าหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง
เพราะปฏิปัสสัทธิวิมุตติ ชื่อว่าจิตบริสุทธิ์ เพราะหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง

1. ขุ. เถร. 26/ข้อ 357.

นั้นนั่นแหละ ชื่อว่าไม่ขุ่นมัว เพราะความเป็นผู้มีความดำริอันไม่ขุ่นมัว
ด้วยบททั้ง 3 ท่านกล่าวถึงจิตอันสัมปยุตด้วยอรหัตผลนั่นเอง.
คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล และพระเถระได้มีการ
พยากรณ์พระอรหัตผลดังกล่าวมาฉะนี้แล.
จบอรรถกถานหาตกเถรคาถาที่ 11

12. พรหมทัตตเถรคาถา



ว่าด้วยคาถาของพระพรหมทัตเถระ


[358] ที่ไหนความโกรธจะพึงเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ไม่โกรธ ผู้
ฝึกตนแล้ว เลี้ยงชีพโดยชอบ ผู้หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดย
ชอบ ผู้สงบ ผู้คงที่ บุคคลโกรธตอบบุคคลผู้โกรธ จัด
ว่าเป็นคนเลวกว่าบุคคลผู้โกรธ เพราะความโกรธตอบนั้น
บุคคลผู้ไม่โกรธตอบบุคคลผู้โกรธ ชื่อว่าชนะสงครามที่
ชนะได้ยาก บุคคลใดรู้ว่าบุคคลอื่นโกรธแล้ว มีสติสงบ
ใจได้ บุคคลนั้นชื่อว่าประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย
คือแก่ตนและบุคคลอื่น ชนทั้งหลายผู้ไม่ฉลาดในธรรม
ย่อมสำคัญบุคคลผู้รักษาคนทั้งสองฝ่าย คือตนและบุคคล
อื่นว่า เป็นคนโง่เขลา ถ้าความโกรธเกิดขึ้น จงระลึกถึง
พระโอวาทอันอุปมาด้วยเลื่อย ถ้าตัณหาในรสเกิดขึ้น จง
ระลึกถึงพระโอวาทอันอุปมาด้วยเนื้อบุตร ถ้าจิตของท่าน
แล่นไปในกามและภพทั้งหลาย จงรีบข่มเสียด้วยสติ
เหมือนบุคคลห้ามสัตว์เลี้ยงโกงที่ชอบกินข้าวกล้าฉะนั้น.

จบพรหมทัตตเถรคาถา

อรรถกถาพรหมทัตตเถรคาถาที่ 12



คาถาของท่านพระพรหมทัตตเถระ มีคำเริ่มต้นว่า อกฺโกธสฺส
ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?