เมนู

10. สุมนเถรคาถา



ว่าด้วยคาถาของพระสุมนเถระ


[356] เมื่อครั้งเราบวชใหม่ มีอายุได้ 7 ปีโดยกำเนิด ได้
ชนะพระยานาคผู้มีมหิทธิฤทธิ์ด้วยฤทธิ์ ได้ตักน้ำจาก
สระใหญ่ ชื่อว่าอโนดาต มาถวายพระอุปัชฌาย์ ลำดับนั้น
พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นเราแล้วตรัสว่า ดูก่อน
สารีบุตร เธอจงดูกุมารผู้ถือหม้อน้ำมานี้ มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว
ในภายใน สามเณรนี้มีวัตรอันน่าเลื่อมใส มีอิริยาบถ
งดงาม เป็นศิษย์ของพระอนุรุทธะ แกล้วกล้าด้วยฤทธิ์
เป็นผู้อันพระอนุรุทธะ ผู้เป็นบุรุษอาชาไนยฝึกให้รู้ได้
รวดเร็ว ผู้อันพระอนุรุทธะผู้เป็นคนดี ฝึกให้ดีแล้ว เป็น
ผู้อันพระอนุรุทธะผู้ทำกิจเสร็จแล้ว แนะนำแล้ว ให้ศึกษา
แล้ว สุมนสามเณรนั้น ได้บรรลุสันติธรรมอันยอดเยี่ยม
ทำให้แจ้งซึ่งธรรมอันไม่กำเริบ ปรารถนาอยู่ว่า ใคร ๆ
อย่าพึงรู้จักเรา.

จบสุมนเถรคาถา

อรรถกถาสุมนเถรคาถาที่ 10



คาถาของท่านพระสุมนเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ยทา นโว ปพฺพชิโต.
เรื่องนี้มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อน
ทั้งหลาย สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า

พระนามว่าสิขี บังเกิดในตระกูลของนายมาลาการ รู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่ง
ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าสิขี มีใจเลื่อมใสได้บูชาด้วยดอกมะลิ.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้ถือปฏิสนธิในเรือนของอุบาสกคนหนึ่ง และ
อุบาสกผู้นั้นได้เป็นอุปัฏฐากของท่านพระอนุรุทธเถระ ก็ในกาลก่อนแต่
นั้น พวกเด็กของเขาพอเกิดก็ตายไป ด้วยเหตุนั้น เขาจึงเกิดความคิด
ขึ้นว่า บัดนี้ ถ้าเราจักได้บุตรชายคนเดียว จักให้บวชในสำนักของ
พระผู้เป็นเจ้าอนุรุทธเถระ.
ก็เด็กในครรภ์นั้น พอล่วงไปได้ 10 เดือนก็เกิด เป็นเด็กไม่ป่วยไข้
เจริญเติบโตมาโดยลำดับ มีอายุได้ 7 ขวบ บิดาให้เขาบวชในสำนักของ
พระเถระ ครั้นบวชแล้วแต่นั้น เพราะเป็นผู้มีญาณแก่กล้าท่านจึงบำเพ็ญ
วิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานนักเป็นผู้มีอภิญญา 6 เมื่อจะบำรุงพระเถระ
คิดว่าจักตักน้ำดื่ม จึงได้ถือหม้อน้ำไปยังสระอโนดาตด้วยฤทธิ์.
ลำดับนั้น นาคราชตัวหนึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ เมื่อจะปิดสระอโนดาต
จึงเอาขนดวง 7 รอบ แผ่พังพานใหญ่ไว้เบื้องบน ไม่ให้โอกาสท่าน
สุมนะตักน้ำ. ท่านสุมนะแปลงรูปเป็นครุฑ ชนะนาคราชนั้น แล้วจึง
ตักน้ำเหาะมุ่งไปยังที่อยู่ของพระเถระ.
พระศาสดาประทับนั่งอยู่ในพระเชตวัน ทรงเห็นพระสุมนะนั้นไป
โดยประการอย่างนั้น จึงตรัสเรียกพระธรรมเสนาบดีมาแล้ว ได้ตรัสคุณ
ของเธอด้วยคาถา 6 คาถา โดยนัยมีอาทิว่า สารีบุตร เธอจงดูกุมารผู้นี้
ลำดับนั้น พระสุมนเถระได้กล่าวคาถา1 6 คาถา ด้วยการพยากรณ์พระ-อรหัตผลว่า

ขุ. เถร 26/ ข้อ 356.

เมื่อครั้งเราบวชใหม่ มีอายุได้ 7 ปีโดยกำเนิด ได้ชนะ
พระยานาคผู้มีมหิทธิฤทธิ์ด้วยฤทธิ์ ได้ตักน้ำจากสระใหญ่
ชื่อว่าอโนดาต มาถวายพระอุปัชฌาย์. ลำดับนั้น
พระศาสดาได้ทอดพระเนตรเห็นเราแล้วตรัสว่า ดูก่อน
สารีบุตร เธอจงดูกุมารผู้ถือหม้อน้ำมานี้ มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว
ในภายใน. สามเณรนี้มีวัตรน่าเลื่อมใส มีอิริยาบถงดงาม
เป็นศิษย์ของพระอนุรุทธะ แกล้วกล้าด้วยฤทธิ์ เป็นผู้อัน
พระอนุรุทธะผู้เป็นบุรุษอาชาไนย ฝึกให้รู้ได้รวดเร็ว
ผู้อันพระอนุรุทธะผู้เป็นคนดี ฝึกให้ดีแล้ว เป็นผู้อัน
พระอนุรุทธะผู้ทำกิจเสร็จแล้ว แนะนำแล้ว ให้ศึกษาแล้ว
สุมนสามเณรนั้นได้บรรลุสันติธรรมอันยอดเยี่ยม ทำให้
แจ้งธรรมอันไม่กำเริบแล้ว ปรารถนาอยู่ว่า ใคร ๆ อย่า
พึงรู้จักเรา.

บรรดาคาถาเหล่านั้น คาถา 2 คาถาข้างต้น พระสุมนเถระนั่นแล
กล่าวไว้ อีก 4 คาถา พระศาสดาเมื่อทรงเห็นดังนั้นจึงตรัสไว้. พระสุมนเถระ
รวมคาถาทั้งหมดนั้นเข้าไว้แห่งเดียวกัน แล้วได้กล่าวเนื่องด้วยการพยากรณ์
พระอรหัตผลในชั้นหลัง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปนฺนคินฺทํ แปลว่า พระยานาค.
บทว่า ตโต ได้แก่ ในกาลนั้น อธิบายว่า ในคราวที่เรายังบวช
ใหม่ มีอายุได้ 7 ปีโดยกำเนิด ได้ชนะพระยานาคผู้มีฤทธิ์มาก ด้วย
พลังแห่งฤทธิ์ นำน้ำจากอโนดาตมาถวายพระอุปัชฌาย์.
พระเถระ เมื่อจะแสดงพระดำรัสที่พระศาสดาของเราตรัสเจาะจงเรา
จงกล่าวคำอาทิว่า ดูก่อนสารีบุตร เธอจงดูกุมารนี้ ดังนี้.

บทว่า อชฺฌตฺตํ สุสมาหิตํ ความว่า ผู้มีจิตตั้งมั่นดีแล้วด้วยสมาธิ
อันสัมปยุตด้วยพระอรหัตผลอันเป็นอารมณ์ภายใน.
บทว่า ปาสาทิเกน วตฺเตน ได้แก่ ด้วยอาจารวัตรอันนำความ
เลื่อมใสมาให้แก่ผู้เห็นอยู่. คำว่า ปาสาทิเกน วตฺเตน นี้ เป็นตติยา-
วิภัติใช้ในอรรถแห่งกรณะ แปลว่า ด้วย.
บทว่า กลฺยาณอิริยาปโถ แปลว่า ผู้มีอิริยาบถเรียบร้อย. อีก
อย่างหนึ่ง บทว่า ปาสาทิเกน วตฺเตน นี้ เป็นตติยาวิภัติใช้ในลักษณะ
อิตถัมภูตะ แปลว่า มี. ความเป็นสมณะ ชื่อว่าสามัณยะ อธิบายว่า สามัญญะ.
ชื่อว่าสามเณร ได้แก่ สมณุทเทส เพราะไปคือเป็นไปเพื่อสามัญญะ
ความเป็นสมณะนั้น.
บทว่า อิทฺธิยา จ วิสารโท ได้แก่ เป็นผู้ฉลาด คือฉลาดดี
แม้ในฤทธิ์.
บทว่า อาชานีเยน ได้แก่ บุรุษอาชาไนย. อธิบายว่า ผู้อัน
พระอนุรุทธะผู้กระทำกิจเสร็จแล้ว ผู้ชื่อว่าคนดี เพราะทำประโยชน์ตน
และประโยชน์คนอื่นให้สำเร็จ กระทำคือฝึกให้เป็นคนดี คือให้สำเร็จ
ประโยชน์ทั้งสอง อีกอย่างหนึ่ง ทำคือฝึกให้เป็นผู้รู้รวดเร็วด้วยดี แนะนำ
แล้วด้วยวิชชาอันเลิศ ให้ศึกษาแล้วด้วยการให้บรรลุความเป็นพระอเสกขะ.
สุมนสามเณรนั้น ได้รับความสงบอย่างยิ่ง คือพระนิพพาน บรรลุ
แล้วด้วยการบรรลุพระอรหัตมรรค กระทำให้แจ้ง คือทำให้ประจักษ์แก่ตน
ซึ่งความเป็นธรรมอันไม่กำเริบ ได้แก่พระอรหัตผล เพราะเป็นผู้ถึงความ

มักน้อยอย่างยิ่งยวดจึงปรารถนา คือหวังอยู่ว่า อย่าพึงรู้เรา คือแม้ใคร ๆ
ก็อย่าพึงรู้จักเราว่า ผู้นี้มีอาสวะสิ้นแล้ว หรือว่า มีอภิญญา 6 ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาสุมนเถรคาถาที่ 10

11. นหาตกมุนีเถรคาถา

ว่าด้วยของพระนหาตกมุนีเถระ


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า
[357] ดูก่อนภิกษุ เมื่อเธออยู่ในป่าใหญ่อันปราศจากโคจร
เป็นป่าเศร้าหมอง ถูกโรคลมครอบงำ จักทำอย่างไร.

พระนหาตกมุนีกราบทูลว่า
ข้าพระองค์จักยังปีติและความสุขอันไพบูลย์ให้แผ่ไป
สู่ร่างกาย ครอบงำปัจจัยอันเศร้าหมองอยู่ในป่าใหญ่ และ
จักเจริญโพชฌงค์ 7 อินทรีย์ 5 พละ 5 ถึงพร้อมด้วย
อรูปฌาน จักเป็นผู้หมดอาสวะอยู่ ข้าพระองค์จักพิจารณา
เนือง ๆ ซึ่งจิตอันบริสุทธิ์ หลุดพ้นแล้วจากกิเลส ไม่ขุ่นมัว
เป็นผู้หมดอาสวะอยู่ อาสนะทั้งปวงของข้าพระองค์ ซึ่งมี
อยู่ทั้งภายในและภายนอก ถูกถอนขึ้นหมดแล้ว ไม่เกิด
ขึ้นอีกต่อไป เบญจขันธ์ ข้าพระองค์กำหนดรู้แล้ว มีราก
อันขาดแล้วตั้งอยู่ ธรรมอันเป็นที่สิ้นทุกข์ ข้าพระองค์ได้
บรรลุแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี พระเจ้าข้า.

จบนหาตกมุนีเถรคาถา

อรรถกถานหาตกมุนีเถรคาถาที่ 11



คาถาของท่านพระนหาตกมุนีเถระ มีคำเริ่มต้นว่า วาตโรคาภินีโต
ดังนี้. เรื่องนี้มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?