เมนู

3. มหานาคเถรคาถา



ว่าด้วยคาถาของพระมหานาคเถระ


[349] ผู้ใดไม่มีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ผู้
นั้นย่อมเสื่อมจากสัทธรรม เหมือนปลาในน้ำน้อยฉะนั้น
ผู้ใดไม่มีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้น
ย่อมไม่งอกงามในสัทธรรม เหมือนพืชที่เน่าในไร่นาฉะนั้น
ผู้ใดไม่มีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้น
เป็นผู้ไกลจากพระนิพพานในศาสนาของพระผู้มีพระภาค-
เจ้า ผู้เป็นพระธรรมราชา ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อน
สพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมไม่เสื่อมจากสัทธรรม
เหมือนปลาในน้ำมากฉะนั้น ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อน
สพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมงอกงามในสัทธรรม
เหมือนพืชที่ดีในไร่นาฉะนั้น ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อน
สพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมอยู่ใกล้พระนิพพานใน
ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นพระธรรมราชา.

จบมหานาคเถรคาถา

อรรถกถามหานาคเถรคาถาที่ 3



คาถาของท่านพระมหานาคเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ยสฺส สพฺรหฺม-
จารีสุ
ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?

แม้พระเถระนี้ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าอันมีในกาล
ก่อน ก่อสร้างกุศลอันเป็นอุปนิสัยแก่พระนิพพานในภพนั้นๆ ในกาล
แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กกุสันธะ ได้บังเกิดในเรือนของตระกูล
รู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่ง ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้ากกุสันธะหยั่งลงยังป่า
ประทับนั่งอยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่ง ด้วยความสุขในฌาน จึงมีใจเลื่อมใส ได้
ถวายผลทับทิมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาเละมนุษย์ทั้งหลาย ใน
พุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์ นามว่า มธุวาเสฏฐะ
ในเมืองสาเกต เขาได้มีชื่อว่า มหานาค มหานาคนั้นรู้เดียงสาแล้ว เมื่อ
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในป่าอัญชนวัน ใกล้เมืองสาเกต ได้เห็น
ปาฏิหาริย์ของท่านพระควัมปติเถระ ได้ศรัทธา จึงบวชในสำนักของ
พระเถระนั่นแหละ ตั้งอยู่ในโอวาทของท่าน จึงบรรลุพระอรหัต. ด้วย
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน1ว่า
พระกกุสันธะพระองค์นั้นผู้แกล้วกล้าใหญ่ ถึงฝั่งแห่ง
ธรรมทั้งปวง หลีกออกจากหมู่ ได้ไปยังระหว่างป่า เรา
ถือเอาเยื่อของพืชแล้วเอาเครือเถาร้อยไว้. สมัยนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าฌานอยู่ในระหว่างภูเขา ครั้นเราได้
เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นเทพของเทพ มีเลื่อมใส
ได้ถวายเยื่อของพืชแล้วพระวีรเจ้าผู้เป็นทักขิไณยบุคคล
ในกัปนี้แหละ เราได้ถวายเยื่อพืชใดในกาลนั้น ด้วยการ
คล้ายเยื่อพืชนั้น เราจึงไม่รู้จักทุคตินี้ เป็นผลแห่งเยื่อ


1. ขุ. อ. 33/ข้อ 31.

พืช เราเผากิเลสได้แล้ว ...ฯลฯ... เราได้กระทำตาม
คำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว.

ก็พระเถระครั้นได้บรรลุพระอรหัตแล้ว จึงอยู่ด้วยสุขอันเกิดแต่
วิมุตติ เห็นภิกษุฉัพพัคคีย์ไม่กระทำความเคารพในเพื่อนสพรหมจารีทั้ง-
หลาย จึงกล่าวคาถา 6 คาถานี้ เนื่องด้วยการให้โอวาทแก่ภิกษุฉัพพัคคีย์
นั้นว่า
ผู้ใดไม่มีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารี ผู้นั้นย่อม
เสื่อมจากพระสัทธรรม เหมือนปลาในน้ำน้อย ผู้ใดไม่มี
มีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารี ผู้นั้นย่อมไม่งอกงาม
ในพระสัทธรรม เหมือนพืชที่เน่าในไร่นา ผู้ใดไม่มีความ
เคารพในเพื่อนสพรหมจารี ผู้นั้นย่อมอยู่ไกลจากพระ-
นิพพาน ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นพระ-
ธรรมราชา. ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารี ผู้นั้น
ย่อมไม่เสื่อมจากพระสัทธรรม เหมือนปลาในน้ำมาก
ฉะนั้น ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย
ผู้นั้นย่อมงอกงามในพระสัทธรรม เหมือนพืชดีในไร่นา
ฉะนั้น ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารี ผู้นั้นย่อม
อยู่ใกล้พระนิพพาน ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้เป็นพระธรรมราชา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺรหฺมจารีสุ ความว่า ชื่อว่า เพื่อน
สพรหมจารี เพราะประพฤติธรรมอันประเสริฐมีศีลเป็นต้นที่มีอยู่, ผู้ที่ถึง
ความเสมอกันด้วยศีลและทิฏฐิ ชื่อว่า สหธรรมิก, ในเพื่อนสพรหมจารี
และสหธรรมิกเหล่านั้น.

บทว่า คารโว ได้แก่ ความเป็นผู้มีความเคารพ คือกระทำความ
เคารพอันมีคุณมีศีลเป็นต้นเป็นเหตุ.
บทว่า นูปลพฺภติ ได้แก่ ไม่มี คือไม่เป็นไป อธิบายว่า ไม่เข้า
ไปตั้งอยู่.
บทว่า นิพฺพานา ได้แก่จากการทำกิเลสให้ดับ คือจากความสิ้น
กิเลส.
บทว่า ธมฺมราชสฺส ได้แก่ พระศาสดา. จริงอยู่ พระศาสดาชื่อว่า
พระธรรมราชา เพราะยังโลกพร้อมทั้งเทวโลก ให้ยินดีด้วยธรรมอันเป็น
โลกิยะ และโลกุตระ ตามสมควร.
ก็ด้วยคำว่า ในศาสนาของพระธรรมราชา นี้ ในคาถานั้น ชื่อว่า
พระนิพพานย่อมมีในศาสนาของพระธรรมราชาเท่านั้น ไม่มีในศาสนาอื่น.
ในคาถานั้น ท่านแสดงว่า ผู้ใดเว้นความเคารพในเพื่อนสพรหม-
จารี ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ห่างไกลแม้จากศาสนาของพระธรรมราชา เหมือน
อยู่ห่างไกลจากพระนิพพานฉะนั้น.
บทว่า พโหฺวทเก ได้แก่ ในน้ำมาก.
บทว่า สนฺติเก โหติ นิพฺพานํ ความว่า พระนิพพานย่อมมีอยู่ใน
สำนัก คือในที่ใกล้บุคคลนั้น คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ. ก็
คาถาเหล่านี้แหละ เป็นคาถาพยากรณ์พระอรหัตผลของพระเถระ.
จบอรรถกถามหานาคเถรคาถาที่ 3

4. กุลลเถรคาถา



ว่าด้วยคาถาของพระกุลลเถระ


[350] เราผู้ชื่อว่ากุลละ ไปที่ป่าช้าผีดิบ ได้เห็นซากศพ
หญิงคนหนึ่ง เขาทิ้งไว้ในป่าช้า มีหมู่หนอนฟอนกัดอยู่
ดูก่อนกุลละ ท่านจงดูร่างกายอันกระสับกระส่าย ไม่สะอาด
เป็นของเปื่อยเน่า มีของโสโครกไหลเข้าไหลออกอยู่
อันหมู่คนพาลพากันชื่นชมนัก. เราได้ถือเอาแว่นธรรม
แล้ว ส่องดูร่างกายอันไร้ประโยชน์ทั้งภายในและภาย
นอกนี้ ด้วยการบรรลุญาณทัสสนะ. สรีระเรานี้ฉันใด
ซากศพนั่นก็ฉันนั้น ซากศพนั้นฉันใด สรีระเรานี้ฉันนั้น
ร่างกายเบื้องต่ำฉันใด ร่างกายเบื้องบนก็ฉันนั้น ร่างกาย
เบื้องบนฉันใด ร่างกายเบื้องต่ำก็ฉันนั้น. กลางวันฉันใด
กลางคืนก็ฉันนั้น กลางคืนฉันใด กลางวันก็ฉันนั้น เมื่อ
ก่อนฉันใด ภายหลังก็ฉันนั้น ภายหลังฉันใด เมื่อก่อน
ก็ฉันนั้น. ความยินดีด้วยดนตรีเครื่อง 5 เช่นนั้น ย่อม
ไม่มีแก่เรา ผู้มีจิตแน่วแน่ พิจารณาเห็นธรรมแจ่มแจ้ง
โดยชอบ.

จบกุลลเถรคาถา