เมนู

อรรถกถาฉักกนิบาต



อรรถกถาอุรุเวลกัสสปเถรคาถาที่ 1



ในฉักกนิบาต คาถาของท่านพระอุรุเวลกัสสปเถระ มีคำเริ่มต้น
ว่า ทิสฺวาน ปาฏิหีรานิ ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร.
แม้พระเถระนี้ก็เป็นผู้มีบุญญาธิการ อันได้กระทำไว้ในพระพุทธเจ้า
ในปางก่อนทั้งหลาย ก่อสร้างกุศลอันเป็นอุปนิสัยแก่พระนิพพาน
ในภพนั้น ๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าปทุมุตตระ ได้
บังเกิดในเรือนของตระกูล ถึงความเจริญวัย ฟังธรรมในสำนักของพระ-
ศาสดา ได้เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งผู้เลิศแห่ง
บริษัทใหญ่ แม้ตนเองก็ปรารถนาฐานันดรนั้น จึงได้ถวายมหาทานแล้ว
กระทำความปรารถนาไว้. ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นว่าความ
ปรารถนาของเขาไม่มีอันตราย จึงทรงพยากรณ์ว่าในอนาคตกาล เขาจัก
เป็นเลิศแห่งบริษัทหมู่ใหญ่ในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้า.
เขากระทำบุญในชาตินั้นจนตลอดอายุ จุติจากชาตินั้นแล้วท่องเที่ยว
ไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในที่สุด 92 กัปแต่ภัทรกัปนี้ บังเกิด
เป็นน้องชายต่างมารดากันกับพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปุสสะ เขามี
น้องชายแม้อื่นอีก 2 คน พี่น้องแม้ทั้ง 3 คนนั้น บูชาพระสงฆ์มีพระพุทธ-
เจ้าเป็นประธานด้วยการบูชาอย่างยิ่ง การทำกุศลตลอดชั่วอายุ ท่องเที่ยว
ไปในเทวดาและมนุษย์ ก่อนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายจะอุบัติ
(เขา) เกิดเป็นพี่น้องชายกันโดยลำดับ ในตระกูลพราหมณ์ในกรุงสาวัตถี
แม้ทั้ง 3 คนก็มีนามว่ากัสสปทั้งนั้นเนื่องด้วยโคตร.

พี่น้องทั้ง 3 นั้นเติบโตแล้วก็เล่าเรียนไตรเพท. บรรดาพี่น้องชาย
ทั้ง 3 นั้น พี่ชายคนโตมีมาณพเป็นบริวาร 500 คนกลาง 300 คน
เล็ก 200. พี่น้องทั้ง 3 นั้น ตรวจดูสาระในคัมภีร์ของตน เห็นแต่
ประโยชน์ปัจจุบันเท่านั้น จึงชอบการบวช. บรรดาพี่น้องทั้ง 3 นั้น
พี่ชายคนโตพร้อมกับบริวารของตน ไปยังตำบลอุรุเวลาบวชเป็นฤๅษี จึง
มีชื่อว่า อุรุเวลากัสสป น้องชายที่บวชอยู่ ณ โค้งแม่น้ำมหาคงคา จึงมี
ชื่อว่า นทีกัสสป น้องชายผู้ที่บวชอยู่ ณ คยาสีสประเทศ จึงมีชื่อว่า
คยากัสสป.
เมื่อพี่น้องทั้ง 3 นั้นบวชเป็นฤาษี อยู่ในที่นั้น ๆ อย่างนี้แล้ว เมื่อ
วันเวลาล่วงไปเป็นอันมาก พระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลายเสด็จออกมหา-
ภิเนษกรมณ์ ทรงรู้แจ้งแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ ทรงประกาศพระ-
ธรรมจักรไปโดยลำดับ ทรงให้พระเบญจวัคคีย์เถระดำรงอยู่ในพระอรหัต
ทรงแนะนำสหาย 55 คนมียสะเป็นประธาน แล้วทรงส่งพระอรหันต์ 60
องค์ ไปด้วยพระดำรัสมีว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวจาริกไป ดังนี้
เป็นต้น แล้วทรงแนะนำภัตทวัคคียกุมาร แล้วเสด็จไปยังที่อยู่ของอุรุเวล-
กัสสป เสด็จเข้าไปยังโรงบูชาไฟเพื่อจะประทับอยู่ ทรงแนะนำอุรุเวล-
กัสสปพร้อมทั้งบริษัท ด้วยปาฏิหาริย์ 3,500 ประการ มีการทรมาน
พระยานาคที่อยู่ในที่นั้นเป็นต้น แล้วทรงให้บรรพชา. ฝ่ายน้องชายทั้งสอง
รู้ว่าอุรุเวลกัสสปนั้นบวชแล้วพร้อมทั้งบริวาร พากันมาบวชในสำนักของ
พระศาสดา. ทั้งหมดนั่นแหละได้เป็นเอหิภิกขุ ทรงบาตรและจีวรอัน
สำเร็จด้วยฤทธิ์.
พระศาสดาทรงพาสมณะ 1,000 รูปนั้น ไปยังคยาสีสประเทศ แล้ว

ประทับนั่งบนหินดาด ให้สมณะทั้งหมดดำรงอยู่ในพระอรหัต ด้วยอาทิตต-
ปริยายสูตรเทศนา. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน1ว่า
ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระพิชิตมารนามว่า ปทุมุตตระ
ผู้รู้แจ้งโลกทั้งปวง เป็นนักปราชญ์มีจักษุ ได้เสด็จอุบัติ
ขึ้นแล้ว พระองค์เป็นผู้ตรัสสอน ทรงแสดงให้สัตว์
รู้ชัด ได้ยังสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นวัฏสงสาร ฉลาดใน
เทศนา เป็นผู้เบิกบาน ทรงช่วยประชุมชนให้ข้ามพ้นไป
เป็นอันมาก พระองค์เป็นผู้อนุเคราะห์ ประกอบด้วย
พระกรุณาแสวงหาประโยชน์ให้สรรพสัตว์ ยังเดียรถีย์ที่
มาเฝ้าให้ดำรงอยู่ในเบญจศีลได้ทุกคน เมื่อเป็นเช่นนี้
พระศาสนาจึงไม่มีความอากูล ว่างสูญจากเดียรถีย์ วิจิตร
ด้วยพระอรหันต์ผู้คงที่ มีความชำนิชำนาญ พระมหามุนี
พระองค์นั้น สูงประมาณ 58 ศอก มีพระฉวีวรรณงามดุจ
ทองคำอันล้ำค่า มีพระลักษณะอันประเสริฐ 32 ประการ
ครั้งนั้น อายุของสัตว์แสนปี พระชินสีห์พระองค์นั้น
เมื่อดำรงพระชนม์อยู่โดยกาลประมาณเท่านั้น ได้ทรงยัง
ประชุมชนเป็นอันมากให้ข้ามพ้นวัฏสงสารเป็นอันมาก
ครั้งนั้นเราเป็นพราหมณ์ชาวเมืองหังสวดี อันชนสมมติว่า
เป็นคนประเสริฐ ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ส่องโลก
แล้วสดับพระธรรมเทศนา ครั้งนั้นเราได้ฟังพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงตั้งสาวกของพระองค์ในตำแหน่งเอต-
ทัคคะในที่ประชุมใหญ่ ก็ชอบใจ จึงนิมนต์พระมหาชินเจ้า


1. ขุ. อ. 33/ข้อ 128.

กับบริวารเป็นอันมากแล้ว ได้ถวายทานพร้อมกันกับ
พราหมณ์อีก 1,000 คน ครั้นแล้วเราได้ถวายบังคมพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าผู้นายก แล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
เป็นผู้ร่าเริง ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า ด้วย
ความเชื่อในพระองค์และด้วยอธิการคุณ ขอให้ข้าพระ-
องค์ผู้เกิดในภพนั้น ๆ มีบริษัทมากเถิด ครั้งนั้นพระศาสดา
ผู้มีพระสุรเสียงเหมือนคชสารคำรน มีพระสำเนียง
เหมือนนกการเวก ได้ตรัสกะบริษัทว่า จงดูพราหมณ์ผู้นี้
ผู้มีวรรณะเหมือนทองคำ แขนใหญ่ ปากและตาเหมือน
ดอกบัว มีกายและใจสูงเพราะปีติ ร่าเริง มีความเชื่อใน
คุณของเรา เขาปรารถนาตำแหน่งแห่งภิกษุผู้มีเสียงก้อง
ดุจเสียงราชสีห์ในอนาคตกาล เขาจักได้ตำแหน่งนี้สม
ความปรารถนา ในกัปนับแต่นี้ขึ้นไป 1 แสน พระศาสดามี
พระนามว่าโคดมซึ่งสมภพในวงศ์ของพระเจ้าโอกกากราช
จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พราหมณ์นี้จักเป็นธรรมทายาท
ของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรมเนรมิตจัก
เป็นสาวกของพระศาสดา มีนามว่ากัสสป พระอัครนายก
ของโลกพระนามว่าผุสสะ ผู้เป็นพระศาสดาอย่างยอด-
เยี่ยม หาผู้เปรียบมิได้ ไม่มีใครจะเสมอเหมือน ได้เสด็จ
อุบัติขึ้นแล้ว ในกัปที่ 92 แต่ภัทรกัปนี้ พระศาสดา
พระนามว่า ผุสสะ พระองค์นั้นแล ทรงกำจัดความมืด
ทั้งปวง ทรงสางรกชัฏใหญ่ ทรงยังฝนคืออมตธรรมให้

ตกลง ให้มนุษย์และทวยเทพอิ่มหนำ ครั้งนั้นเราสาม
คนพี่น้องเป็นราชอำมาตย์ในพระนครพาราณสี ล้วนแต่
เป็นที่ไว้วางพระทัยของพระมหากษัตริย์ รูปร่างองอาจ
แกล้วกล้า สมบูรณ์ด้วยกำลังไม่แพ้ใครเลยในสงคราม
ครั้งนั้น พระเจ้าแผ่นดินผู้มีเมืองชายแดนก่อการกำเริบ
ได้ตรัสสั่งเราว่า ท่านทั้งหลายจงไปชนบทชายแดน พวก
ท่านจงยังกำลังของแผ่นดินให้เรียบร้อย ทำแว่นแค้วน
ของเราให้เกษม แล้วกลับมา ลำดับนั้น เราได้กราบทูล
ว่า ถ้าพระองค์จะพึงพระราชทานพระนายกเจ้า เพื่อให้
ข้าพระองค์อุปัฏฐากไซร้ ข้าพระองค์ทั้งหลายก็จักทำกิจ
ของพระองค์ให้สำเร็จ ลำดับนั้น เราผู้รับพระราชทานพร
สมเด็จพระภูมิบาลส่งไปทำชนบทชายแดนให้วางอาวุธ
แล้วกลับมายังพระนครนั้น เราทูลขอการอุปัฏฐากพระ-
ศาสดาแด่พระราชา ได้พระศาสดาผู้เป็นนายกของโลก
ผู้ประเสริฐกว่ามุนี แล้วได้บูชาพระองค์ตราบเท่าสิ้นชีวิต
เราทั้งหลายเป็นผู้มีศีลประกอบด้วยกรุณา มีใจประกอบ
ด้วยภาวนา ได้ถวายผ้ามีค่ามาก รสอันประณีต เสนาสนะ
อันน่ารื่นรมย์ และเภสัชที่เป็นประโยชน์ที่ตนให้เกิดขึ้น
โดยชอบธรรม แก่พระมุนีพร้อมทั้งพระสงฆ์ อุปัฏฐาก
พระองค์ด้วยจิตเมตตาตลอดกาล ครั้นพระศาสดาผู้เลิศ
พระองค์นั้นนิพพานแล้ว ได้ทำการบูชาตามกำลัง เรา
ทุกคนจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

เสวยมหันตสุขในดาวดึงส์นั้น นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา
เมื่อเราท่องเที่ยวอยู่ในภพ เป็นเหมือนนายช่างดอกไม้
ได้ดอกไม้แล้วแสดงชนิดแห่งดอกไม้แปลก ๆ มากมาย
ฉะนั้น ได้เกิดเป็นพระเจ้าวิเทหราช เพราะถ้อยคำของ
คุณะอเจลก เราจึงมีอัธยาศัยอันมิจฉาทิฏฐิกำจัดแล้ว จึง
ขึ้นสู่ทางนรก ไม่เอื้อเฟื้อโอวาทของธิดาเราผู้ชื่อว่ารุจา
เมื่อถูกนารทพรหมสั่งสอนเสียมากมาย จึงละความเห็น
ที่ชั่วช้าเสียได้ บำเพ็ญกุศลธรรมบถ 10 ให้บริบูรณ์โดย
พิเศษ ละทิ้งร่างกายแล้วได้ไปสวรรค์ เหมือนไปที่อยู่
ของตัวเองฉะนั้น เมื่อถึงภพสุดท้าย เราเป็นบุตรของ
พราหมณ์ เกิดในสกุลที่สมบูรณ์ ในกรุงพาราณสี เรา
กลัวต่อความตาย ความป่วยไข้และความแก่ชรา จึงเข้า
ป่าใหญ่แสวงหาหนทางนิพพาน ได้บวชในสำนักของชฎิล
ครั้งนั้น น้องชายทั้งสองของเราก็ได้บวชพร้อมกับเรา เรา
ได้สร้างอาศรม อาศัยอยู่ที่ตำบลอุรุเวลา เรานี้นามตาม
โคตรว่ากัสสป แต่เพราะอาศัยอยู่ที่ตำบลอุรุเวลา เราจึง
มีนามบัญญัติว่า อุรุเวลกัสสป เพราะน้องชายของเรา
อาศัยอยู่ที่ชายแม่น้ำ เขาจึงได้นามว่า นทีกัสสป และ
เพราะน้องชายของเราอีกคนหนึ่ง อาศัยอยู่ที่ตำบลคยา
เขาจึงถูกประกาศนามว่า คยากัสสป น้องชายคนเล็กมี
ศิษย์ 200 คน น้องชายคนกลางมี 300 คน เรามี 500 คน
ถ้วน ศิษย์ทุกคนล้วนแต่ประพฤติตามเรา ครั้งนั้นพระ-

พุทธเจ้าผู้เลิศในโลก เป็นสารถีฝึกนรชน ได้เสด็จมา
หาเรา ทรงทำปาฏิหาริย์ต่าง ๆ แก่เราแล้ว ทรงแนะนำ
เรากับบริวารพันหนึ่งได้อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุ ได้บรรลุ
พระอรหัตพร้อมกับภิกษุเหล่านั้นทุกองค์ ภิกษุเหล่านั้น
และภิกษุพวกอื่นเป็นอันมากแวดล้อมเราเป็นยศบริวาร
และเราก็สามารถที่จะสั่งสอนได้ เพราะฉะนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าผู้สูงสุด จึงทรงตั้งเราไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ
ในความเป็นผู้มีบริวารมาก โอ สักการะที่ได้ทำไว้ในพระ-
พุทธเจ้าได้ก่อให้เกิดสิ่งที่มีผลแก่เราแล้ว เราเผากิเลสทั้ง-
หลายแล้ว...ฯลฯ... พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว.

ก็ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว จึงพิจารณาการปฏิบัติของตน เมื่อจะ
บันลือสีหนาท จึงได้กล่าวคาถา 6 คาถาเหล่านี้ว่า
เรายังไม่เห็นปาฏิหาริย์ของพระโคดม ผู้เรืองยศ
เพียงใด เราก็ยังเป็นคนลวงโลกด้วยความริษยาและมานะ
ไม่นอบน้อมอยู่เพียงนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นสารถี
ฝึกนรชน ทรงทราบความดำริของเรา ทรงตักเตือนเรา
ลำดับนั้น ความสลดใจได้เกิดแก่เรา เกิดความอัศจรรย์ใจ
ขนลุกชูชัน ความสำเร็จเล็กน้อยของเราผู้เป็นชฎิลเคยมี
อยู่ในกาลก่อน เราได้สละความสำเร็จนั้นเสีย บวช
ในศาสนาของพระชินเจ้า เมื่อก่อนเรายินดีการบูชายัญ
ห้อมล้อมด้วยกามารมณ์ ภายหลังเราถอนราคะ โทสะ
และโมหะได้แล้ว เรารู้บุพเพนิวาสญาณ ชำระทิพยจักษุ

หมดจด เป็นผู้มีฤทธิ์รู้จิตของผู้อื่นแล บรรลุทิพโสต อนึ่ง
เราออกบวชเป็นบรรพชิตเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้น
เราได้บรรลุแล้ว ความสิ้นสังโยชน์ทั้งปวง เราได้บรรลุ
แล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิสฺวาน ปาฏิหีรานิ ความว่า ได้เห็น
ปาฏิหาริย์ 3,500 ประการ มีการทรมานพระยานาคเป็นต้น. จริงอยู่
บทว่าปาฏิหีรํ, ปาฏิเหรํ, ปาฏิหาริยํ. โดยใจความ เป็นอย่างเดียวกัน
ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
บทว่า ยสสฺสิโน ได้แก่ ผู้มีพระกิตติศัพท์แพร่ไปในโลกพร้อม
ทั้งเทวโลก โดยนัยมีอาทิว่า อิติปิ โส ภควา ดังนี้.
บทว่า น ตาวาหํ ปณิปตึ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ายังมิได้
ทรงกำราบเราเพียงใดว่า ดูก่อนกัสสป เธอยังไม่เป็นพระอรหันต์ ทั้งยัง
ไม่บรรลุพระอรหัตมรรค ทั้งเธอก็ยังไม่มีปฏิปทาเครื่องเป็นพระอรหันต์
หรือเครื่องบรรลุพระอรหัตมรรค ดังนี้ เราก็ยังไม่กระทำการนอบน้อม
เพียงนั้น. เพราะเหตุไร ? เพราะเราลวงด้วยความริษยาและมานะ.
อธิบายว่า เป็นผู้ลวง คือหลอกลวงด้วยความริษยาอันมีลักษณะไม่อดทน
คือสมบัติของผู้อื่นอย่างนี้ว่า เมื่อเรายอมเข้าเป็นสาวกของท่านผู้นี้ เราก็จัก
เสื่อมลาภสักการะ ลาภสักการะจักเพิ่มพูนแก่ท่านผู้นี้ และด้วยมานะมี
ลักษณะยกตนอย่างนี้ว่า เราเป็นผู้อันชนจำนวนมากสมมติให้เป็นหัวหน้า
คณะ.
บทว่า มยฺหํ สงฺกปฺปมญฺญาย ความว่า ทรงทราบความดำริผิด
ของเรา คือ แม้ทรงทราบความดำริผิดซึ่งเราได้เห็นปาฏิหาริย์ที่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงแสดงจากอุตริมนุสธรรม แม้คิดว่า มหาสมณะมีฤทธิ์มาก

มีอานุภาพมาก ก็ยัง (มีมิจฉาวิตก) เป็นไปอย่างนี้ว่า ยังไม่เป็นพระ-
อรหันต์เหมือนเรา ก็ทรงรอความแก่กล้าของญาณจึงทรงวางเฉย ภายหลัง
ทรงทำน้ำให้แห้งโดยรอบ ๆ ตรงกลางแม่น้ำเนรัญชรา เสด็จจงกรมที่พื้น
อันฟุ้งด้วยละอองธุลี แล้วประทับยืนในเรือที่ชฎิลนั้นนำมา แม้ในกาลนั้น
ก็ทรงรู้ความดำริผิดที่เราคิดมีอาทิว่า เป็นผู้มีฤทธิ์ ดังนี้ ก็ยังประกาศว่า
ยังไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา.
บทว่า โจเทสิ นรสารถี ความว่า ในกาลนั้น พระศาสดาผู้เป็น
สารถีฝึกบุรุษทรงทราบความแก่กล้าแห่งญาณของเราแล้ว จึงทรงทักท้วง
คือข่มเรา โดยนัยมีอาทิว่า ท่านยังไม่เป็นพระอรหันต์เลย ดังนี้.
บทว่า ตโต เม อาสิ สํเวโค อพฺภุโต โลมหํสโน ความว่า
แต่นั้น คือเพราะการทักท้วงตามที่กล่าวแล้ว เป็นเหตุเกิดความสลดใจ คือ
เกิดญาณความรู้พร้อมทั้งความเกรงกลัวบาปอันชื่อว่าไม่เคยเป็น เพราะไม่
เคยมีมาก่อนตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ชื่อว่าชนลุกชูชัน เพราะเป็นไป
โดยอำนาจขนพองสยองเกล้า ได้มีแก่เราว่า เราไม่ได้เป็นพระอรหันต์เลย
สำคัญว่าเป็นพระอรหันต์.
บทว่า ชฏิลสฺส แปลว่า เป็นดาบส.
บทว่า สิทฺธิ ได้แก่ มั่งคั่งด้วยลาภสักการะ.
บทว่า ปริตฺติกา แปลว่า มีประมาณน้อย.
บทว่า ตาหํ ตัดเป็น ตํ อหํ.
บทว่า ตทา ได้แก่ ในเวลาเกิดความสลดใจ ด้วยการทักท้วง
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.

บทว่า นิรากตฺวา ได้แก่ นำออกไป คือทิ้งไป อธิบายว่า เป็น
ผู้ไม่ห่วงใย.
บางอาจารย์กล่าวว่า บทว่า อิทฺธิ ได้แก่ ฤทธิ์อัน สำเร็จด้วยการ
เจริญภาวนา. คำนั้นไม่ถูก เพราะในเวลานั้นอุรุเวลกัสสปยังไม่ได้ฌาน.
จริงอย่างนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ห้อมล้อมด้วยกามารมณ์.
บทว่า ยญฺเญน สนฺตุฏฺโฐ ความว่า ยินดี คือสำคัญกิจที่เสร็จ
แล้ว ด้วยการบูชายัญ โดยเข้าใจว่า เราบูชายัญแล้วจักได้เสวยสุขใน
สวรรค์ ได้การละด้วยการบูชายัญมีประมาณเท่านี้.
บทว่า กามธาตุปุรกฺขโต ความว่า ผู้มีความอยากอันปรารภกาม-
สุคติเกิดขึ้น คือมุ่งกามโลก อยู่ด้วยการบูชายัญ. หากว่ายัญนั้นประกอบ
พร้อมด้วยปาณาติบาต ใคร ๆ ไม่อาจได้สุคติด้วยยัญนั้น จริงอยู่ อกุศล
ไม่บังเกิดผลอันน่าปรารถนา น่าพึงใจ แต่เมื่อกุศลเจตนามีทานเป็นต้นมี
อยู่ในยัญนั้น บุคคลพึงไปสู่สุคติได้ เพราะปัจจัยประชุมกัน.
บทว่า ปจฺฉา ได้แก่ ในกาลภายหลังจากการบวชเป็นดาบส คือ
ในกาลที่ละลัทธิดาบสแล้ว ประกอบกรรมฐานอันสัมปยุตด้วยสัจจะ 4
ตามพระโอวาทของพระศาสดา.
บทว่า สมูหนึ ความว่า เราบำเพ็ญวิปัสสนาแล้วถอนได้สิ้นเชิง.
ฟังราคะ โทสะ โมหะ โดยลำดับมรรค.
ก็เพราะเหตุที่พระเถระนี้ ถอนราคะเป็นต้นได้ด้วยอริยมรรคนั่น
แหละ. ได้เป็นผู้มีอภิญญา 6 ฉะนั้น เมื่อจะแสดงว่าตนมีอภิญญา 6 จึง
กล่าวคำว่า ปุพฺเพนิวาสํ ชานามิ ดังนี้เป็นต้น .
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุพฺเพนิวาสํ ชานามิ ความว่า เรารู้

คือตรัสรู้โดยประจักษ์ ซึ่งขันธปัญจกที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนของตนและ
ของคนอื่น คือขันธ์ที่บังเกิดแล้วและสภาวะที่เนื่องด้วยขันธ์ในอดีตชาติ
ทั้งหลาย ด้วยปุพเพนิวาสญาณ เหมือนรู้ผลมะขามป้อมบนฝ่ามือ.
บทว่า ทิพฺพจกฺขุ วิโสธิตํ ความว่า เราชำระทิพยจักษุญาณให้
หมดจด คือเราได้ญาณอันสามารถทำรูปทั้งเป็นของทิพย์ทั้งเป็นของมนุษย์
ซึ่งอยู่ไกล อยู่ภายนอกฝา และอันละเอียดยิ่ง ให้เเจ่มแจ้ง ดุจรูปตาม
ปกติอันประจวบเข้า ด้วยนัยน์ตาตามปกติ โดยทำให้บริสุทธิ์ด้วยการ
เจริญภาวนา.
บทว่า อิทฺธิมา ได้แก่ ผู้มีฤทธิ์ด้วยฤทธิ์ทั้งหลายมีอธิษฐานฤทธิ์
และวิกุพพนฤทธิ์ (การแผลงฤทธิ์) เป็นต้น อธิบายว่า เป็นผู้ได้ญาณอัน
แสดงฤทธิ์ได้ต่าง ๆ. ชื่อว่าผู้รู้จิตของคนอื่น เพราะรู้จิตของคนอื่นอัน
ต่างด้วยจิตมีราคะเป็นต้น ท่านอธิบายไว้ว่า เป็นผู้ได้เจโตปริยญาณ ญาณ
กำหนดรู้จิตของผู้อื่น.
บทว่า ทิพฺพโสตญฺจ ปาปุณึ ความว่า และได้ทิพโสตญาณ.
บทว่า โส เม อตฺโถ อนุปฺปตโต สพฺพสํโยชนกฺขโย ความว่า
ประโยชน์อันเป็นตัวสิ้นไป หรือจะพึงได้ด้วยความสิ้นไปแห่งสังโยชน์
ทั้งปวง คือทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ของตนอื่น เราได้บรรลุแล้ว
ด้วยการบรรลุอริยมรรค. พึงทราบว่า พระเถระพยากรณ์พระอรหัตด้วย
คาถานี้ ด้วยประการอย่างนี้.
จบอรรถกถาอุรุเวลกัสสปเถรคาถาที่ 1

2. เตกิจฉกานิเถร1คาถา



ว่าด้วยคาถาของพระเตกิจฉกานิเถระ


มารกล่าวว่า
[348] ข้าวเปลือกเขาเก็บเข้ายุ้งฉางเสียแล้ว ข้าวสาลียังอยู่
ในลาน เราไม่พึงได้แม้ก้อนข้าว บัดนี้ จักทำอย่างไร.

พระเถระกล่าวว่า
ท่านจงระลึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้มีพระคุณหาประมาณ
มิได้ จักมีใจเลื่อมใส เป็นผู้มีสรีระอันปีติถูกต้องแล้ว มี
จิตเบิกบานแล้วเนือง ๆ ท่านจงระลึกถึงพระธรรม อันมี
คุณหาประมาณมิได้ จักมีใจเลื่อมใส เป็นผู้มีสรีระอันปีติ
ถูกต้องแล้ว มีจิตเบิกบานแล้วเนือง ๆ ท่านจงระลึกถึง
พระสงฆ์ผู้มีคุณหาประมาณมิได้ จักมีใจเลื่อมใส เป็น
ผู้มีสรีระอันปีติถูกต้องแล้ว มีจิตเบิกบานแล้วเนือง ๆ.

มารกล่าวว่า
ท่านอยู่ในที่แจ้ง ฤดูนี้เป็นฤดูหนาว ท่านอย่าถูก
ความหนาวครอบงำลำบากเลย นิมนต์ท่านเข้าไปสู่ที่อยู่
อันมีบานประตูและหน้าต่างมิดชิดเถิด.

ลำดับนั้น พระเถระกล่าวว่า
เราจักเจริญอัปปมัญญา 4 และจักมีความสุขอยู่ด้วย
อัปปมัญญาเหล่านั้น เราจักเป็นผู้ไม่หวั่นไหวไม่ลำบาก
ด้วยความหนาว.

จบเตกิจฉกานิเถรคาถา

1. อรรถกถาว่า เตกิจฉการีเถระ.