เมนู

11. โสณกุฏีกัณณเถรคาถา



ว่าด้วยคาถาของพระโสณกุฏีกัณณเถระ


[345] เราได้อุปสมบทแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลส ไม่มี
อาสวะ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า และได้อยู่ร่วมกับ
พระองค์ในวิหารเดียวกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่
ในที่แจ้งตลอดราตรีเป็นอันมากทีเดียว พระศาสดาผู้
ฉลาดในธรรมเป็นเครื่องอยู่ ได้เสด็จเข้าไปสู่พระวิหาร
เมื่อนั้นพระโคดมทรงลาดผ้าสังฆาฏิแล้ว สำเร็จสีหไสยา
ทรงละความขลาดกลัวเสียแล้ว เหมือนราชสีห์อยู่ในถ้ำ
ภูเขา ลำดับนั้น ท่านโสณะผู้เป็นสาวกของพระสัมมา-
สัมพุทธเจ้า ผู้กล่าววาจาไพเราะ ได้ภาษิตสัทธรรมในที่
เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ท่านโสณะ
กำหนดรู้เบญจขันธ์แล้ว อบรมอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐ
พึงได้บรรลุความสงบอย่างยิ่ง จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะ
ปรินิพพาน.

จบโสณกุฏิกัณณเถรคาถา

อรรถกถาโสณกุฏิกัณณเถรคาถาที่ 11



คาถาของท่านพระโสณกุฏิกัณณเถระ มีคำเริ่มต้นว่า อุปสมฺปทา
จ เม ลทฺธา
ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?

ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่าปทุมุตตระ
เป็นเศรษฐีสมบูรณ์ด้วยสมบัติในหังสวดีนคร ดำรงอยู่ด้วยอิสรสมบัติอัน
โอฬาร วันหนึ่งเห็นพระศาสดาแวดล้อมไปด้วยพระขีณาสพ 100,000
องค์ เสด็จเข้าไปสู่นครด้วยพุทธานุภาพใหญ่ ด้วยพุทธลีลาใหญ่ มีจิต
เลื่อมใส ถวายบังคมแล้วได้ยืนประคองอัญชลีอยู่ ในปัจฉาภัต ท่านพร้อม
ด้วยอุบาสกทั้งหลาย ไปยังวิหาร ฟังธรรมอยู่ในสำนักของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเป็นผู้เลิศ แห่ง
ภิกษุผู้กล่าวถ้อยคำอันไพเราะ แม้ตนเองก็ปรารถนาตำแหน่งนั้น จึงได้
ถวายมหาทาน ได้ตั้งความปรารถนาไว้. พระศาสดาทรงทราบความที่ความ
ปรารถนาของท่านไม่มีอันตราย จึงทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตเธอจักได้
เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้กล่าวถ้อยคำอันไพเราะ ในศาสนาของพระสัมมาสัม-
พุทธเจ้าพระนามว่าโคดม.
ท่านบำเพ็ญบุญในนครนั้นตลอดชีวิต ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและ
มนุษยโลก ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าวิปัสสี บวชใน
ศาสนา บำเพ็ญวัตรปฏิวัตรให้บริบูรณ์ ได้เย็บจีวรถวายแก่ภิกษุรูปหนึ่ง.
เมื่อโลกว่างจากพระพุทธเจ้าอีก เป็นช่างหูกในกรุงสาวัตถี ได้ต่อคันกลด
ที่ขาดถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่ง, ท่านได้บำเพ็ญบุญในภพนั้นๆ
ด้วยอาการอย่างนี้ ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดเป็นบุตรเศรษฐีมีสมบัติ
มาก ในกุลฆรนคร1 ในอวันตีรัฐ พวกญาติได้ตั้งชื่อท่านว่า โสณะ.
เพราะท่านทรงเครื่องประดับหูมีราคาโกฏิ เมื่อควรจะเรียกว่าโกฏิกัณณะ
กลับปรากฏชื่อว่า กุฏิกัณณะ.

1. บาลีเป็น กุรรฆร.

ท่านเจริญโดยลำดับ เก็บรวบรวมทรัพย์ เมื่อท่านพระมหากัจจายนะ
อาศัยเรือนมีตระกูลอยู่ในปวัตตบรรพต ฟังธรรมในสำนักของท่าน ตั้งอยู่
ในสรณะและศีล อุปัฏฐากท่านด้วยปัจจัย 4.
ครั้นจำเนียรกาลนานมา ท่านเกิดความสังเวช บรรพชาในสำนัก
ของพระเถระ ให้ประชุมสงฆ์ทสวรรคได้โดยาก โดยฝืดเคือง อุปสมบท
แล้วอยู่ในสำนักพระเถระสิ้นกาลเล็กน้อย ลาพระเถระเข้าไปยังกรุงสาวัตถี
เพื่อถวายบังคมพระศาสดา ได้อยู่ในคันธกุฎีเดียวกัน กับพระศาสดา ถูก
พระองค์เชื้อเชิญในเวลาใกล้รุ่ง ในที่สุดแห่งคาถาอุทานว่า เห็นโทษใน
โลกดังนี้ ที่พระองค์ให้สาธุการกล่าวไว้ ด้วยการกล่าวพระสูตร 16 สูตร
ในอัฏฐกวรรค1แล้ว เจริญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัต ด้วยเหตุนั้น ท่านจึง
กล่าวไว้ในอปทาน2ว่า
ครั้งนั้น พระพิชิตมารผู้สมควรรับเครื่องบูชา พระ-
นามว่า ปทุมุตตระ ได้เสด็จเข้ารูปยังพระนคร พร้อมทั้ง
ภิกษุสงฆ์ผู้มีอินทรีย์อันสำรวมแล้วแสนรูป ขณะนั้น ได้
มีเสียงสนั่นก้องไพเราะ รับเสด็จพระพุทธเจ้าผู้สงบระงับ
ผู้คงที่ ซึ่งกำลังเสด็จเข้าพระนคร โดยทางรถด้วยพุทธา-
นุภาพ พิณที่ไม่ถูกทำเพลง ไม่ลูกเคาะ ก็บรรเลงขึ้นได้
เอง ในเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่บุรี เรานมัสการพระ
พุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด พระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้เป็น
พระมหามุนี และเห็นปาฏิหาริย์แล้ว ได้ยังจิตให้เลื่อมใส
ในปาฏิหาริย์นั้น โอ พระพุทธเจ้า โอ พระธรรม โอ


1. ข. สุ. 25/อัฏฐกวรรคที่ 4 มี 16 สูตร ตั้งแต่ข้อ 408 ถึงข้อ 423.
2. ขุ. อ. 33/ข้อ 23.

สมบัติแห่งพระศาสดาของเรา ดนตรีถึงไม่มีเจตนาก็ยัง
บรรเลงได้เองเทียว ในกัปที่แสนกัปแต่ภัทรกัปนี้ เราได้
สัญญาใดในกาลนั้น ด้วยการได้สัญญานั้น เราไม่รู้จัก
ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งสัญญาในพระพุทธเจ้า เราเผา
กิเลสทั้งหลายแล้ว . . . ฯลฯ. . . พระพุทธศาสนาเราได้
ทำเสร็จแล้ว
ดังนี้.
ก็ท่านดำรงอยู่ในพระอรหัตแล้ว ขอพร 5 ประการ คือ การ
อุปสมบทด้วยคณะ มีพระวินัยธรเป็นที่ 5 ในชนบทปลายแดน โดย
ทำนองที่พระอุปัชฌาย์ของท่านได้บอกไว้ การอยู่ประจำ การลาดแผ่น
หนัง การสวมรองเท้าเป็นชั้น ๆ การไม่อยู่ปราศจากจีวร ได้พรเหล่านั้น
จากพระศาสดาแล้ว ไปยังที่ตนอยู่อีก บอกความนั้นแก่พระอุปัชฌาย์
ในเรื่องนี้มีความสังเขปเพียงเท่านี้. ส่วนความพิสดารพึงทราบโดยนัยที่มา
แล้วในอรรถกถา. แต่ในอรรถกถาอังคุตตรนิกาย ท่านกล่าวไว้ว่า ท่าน
ได้อุปสมบทแล้ว เรียนพระกรรมฐานในสำนักพระอุปัชฌาย์ของตน เจริญ
วิปัสสนาแล้วบรรลุพระอรหัต.
ครั้นกาลต่อมา ท่านอยู่ด้วยสุขอันเกิดแต่วิมุตติ พิจารณาข้อปฏิบัติ
ของตน เกิดโสมนัส ได้กล่าวคาถา 5 คาถา ด้วยอำนาจอุทาน1ว่า
เราได้อุปสมบทแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลส ไม่มี
อาสวะ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า และได้อยู่ร่วมกับ
พระองค์ในวิหารเดียวกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่
ในที่แจ้งตลอดราตรีเป็นอันมากทีเดียว พระศาสดาผู้


1. ขุ. เถร. 26/ข้อ 345.

ฉลาดในธรรมเป็นเครื่องอยู่ ได้เสด็จเข้าไปสู่พระวิหาร
เมื่อนั้นพระโคดมทรงลาดผ้าสังฆาฏิแล้ว สำเร็จสีหไสยา
ทรงละความขลาดกลัวเสียแล้ว เหมือนราชสีห์อยู่ในถ้ำ
ภูเขา ลำดับนั้น ท่านโสณะผู้เป็นสาวกของพระสัมมา-
สัมพุทธเจ้า ผู้กล่าววาจาไพเราะ ได้ภาษิตสัทธรรมในที่
เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ท่านโสณะ
กำหนดรู้เบญจขันธ์แล้ว อบรมอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐ
พึงได้บรรลุความสงบอย่างยิ่ง จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะ
ปรินิพพาน
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปสมฺปทา ต เม ลทฺธา ความว่า
อุปสัมปทานั้นใด ที่ตนประชุมภิกษุสงฆ์ทสวรรคได้โดยยาก ก็แลอุปสัม-
ปทาใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตด้วยคณะ มีพระวินัยธรเป็นที่ 5
ในชนบทปลายแดนทั้งหมด ด้วยอำนาจการประทานพร, กล่าวหมายเอา
อุปสัมปทาทั้งสองนั้น. ศัพท์ เป็นสมุจจยัตถะ. ด้วย ศัพท์นั้น ท่าน
สงเคราะห์เอาพรที่ได้จากสำนักพระศาสดา แม้นอกนี้.
บทว่า วิมุตฺโต จมฺหิ อนาสโว ความว่า และเราเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว
ด้วยการหลุดพ้นจากวัตถุคือกิเลสทั้งสิ้น ด้วยอรหัตมรรค. ประกอบ
ความว่า เราเป็นผู้ไม่มีอาสวะด้วยกามาสวะเป็นต้นนั้นนั่นแล.
บทว่า โส จ เม ภควา ทิฏฺโฐ ความว่า เราจากรัฐอวันตีไปยัง
กรุงสาวัตถี เพื่อประโยชน์แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าใด ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นั้น ที่เราไม่เคยเห็น เราได้เห็นแล้ว.

บทว่า วิหาเร จ สหาวสึ ความว่า เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
นั้นอย่างเดียวเท่านั้นก็หาไม่ โดยที่แท้เราได้อยู่ร่วมกับพระศาสดาผู้กำหนด
เหตุการณ์ ประทับอยู่ในพระคันธกุฎีของพระศาสดาในวิหาร. อาจารย์
บางพวกกล่าวว่า บทว่า วิหาเร แปลว่า ในที่ใกล้วิหาร.
บทว่า พหุเทว รตฺตํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับยับยั้ง
ในโอกาสกลางแจ้ง ตลอดราตรีเป็นอันมากทีเดียว ด้วยการแสดงธรรม
แก่ภิกษุทั้งหลาย และด้วยการชำระพระกรรมฐานให้หมดจดตลอดปฐมยาม
และด้วยอำนาจตัดความสงสัย ของเทวดาและพรหมตลอดมัชฌิมยาม.
บทว่า วิหารกุสโล ได้แก่ เป็นผู้ฉลาดในทิพยวิหาร พรหมวิหาร
อาเนญชวิหารและอริยวิหาร.
บทว่า วิหารํ ปาวิสิ ความว่า เข้าไปสู่พระคันธกุฎี เพื่อบรรเทา
ความกระวนกระวายที่เกิดขึ้น เพราะการนั่งและการจงกรมเกินเวลา.
บทว่า สนฺถริตฺวาน สงฺฆาฏึ เสยฺยํ กปฺเปติ ความว่า ปูลาดสังฆาฏิ
4 ชั้น แล้วทรงสำเร็จสีหไสยา. ด้วยเหตุนั้นจึงกล่าวว่า พระโคดมเป็น
ประดุจสีหะในถ้ำศิลา เป็นผู้ละความขลาดกลัวเสียได้.
พระเถระระบุพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยพระโคตรว่า โคตมะ ใน
พระคาถานั้น. บทว่า สีโห เสลคุหายํว ได้แก่ ในถ้ำแห่งภูเขาอันล้วน
แล้วแต่หิน สีหมิคราชละความขลาดกลัวเสียได้ เพราะเป็นสัตว์มีเดชสูง
สำเร็จการนอนเหลื่อมเท้าโดยข้างขวา ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้โคดม
ก็ฉันนั้น เป็นผู้ละความขลาดกลัว เพราะตัดกิเลสอันเป็นเหตุให้หวาดเสียว
ขนพอง สยอง สะดุ้งแห่งจิต ทรงสำเร็จสีหไสยา.

บทว่า ตโต แปลว่า ในภายหลัง, อธิบายว่า สำเร็จสีหไสยาแล้ว
ลุกขึ้นจากที่นั้น ถูกพระศาสดาเชิญว่า ภิกษุ พระธรรมจงแจ่มแจ้งกะเธอ
เพื่อจะกล่าว.
บทว่า กลฺยาณวากฺกรโณ แปลว่า ผู้กล่าววาจาอันไพเราะ อธิบาย
ว่า ลำดับแห่งถ้อยคำเพียบพร้อมด้วยความงาม.
บทว่า โสโณ อภาสิ สทฺธมฺมํ ความว่า ท่านโสณกุฏิกัณณะ
ได้กล่าวพระสูตรในอัฏฐกวรรค 16 สูตร โดยประจักษ์ เฉพาะพระพุทธ-
เจ้าผู้ประเสริฐ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุนั้นพระเถระจึงกล่าว
สอนตนนั่นแหละเหมือนผู้อื่น.
บทว่า ปญฺจกฺขนฺเธ ปริญฺญาย ความว่า กำหนดรู้อุปาทานขันธ์ 5
ด้วยปริญญาทั้ง 3 แล้ว เมื่อกำหนดรู้อุปาทานขันธ์ 5 นั่นแหละ ทำ
หนทางคือ อริยมรรคมีองค์ 8 ให้เกิดแล้ว บรรลุความสงบอย่างยิ่ง คือ
พระนิพพานดำรงอยู่ เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จากนั้นนั่นแหละ จักปรินิพพาน
ณ บัดนี้ คือจักปรินิพพานด้วยอำนาจอนุปาทิเสสนิพพาน ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาโสณกุฏิกัณณเถรคาถาที่ 11

12. โกสิยเถรคาถา



ว่าด้วยคาถาของพระโกสิยเถระ


[346] ผู้ใดเป็นธีรชน เป็นผู้รู้ถ้อยคำของครูทั้งหลาย อยู่ใน
โอวาทของครูนั้น และยังความเคารพให้เกิดในโอวาท
ของครูนั้น ผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้มีภักดี และชื่อว่าเป็นบัณฑิต
และพึงเป็นผู้วิเศษ เพราะรู้ธรรมทั้งหลาย อันตราย
อันร้ายแรงเกิดขึ้นแล้ว ไม่ครอบงำบุคคลใดผู้พิจารณาอยู่
บุคคลนั้นย่อมชื่อว่ามีกำลัง ชื่อว่าเป็นบัณฑิต และพึงเป็น
ผู้วิเศษเพราะรู้ธรรมทั้งหลาย ผู้ใดแลตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
เหมือนมหาสมุทร มีปัญญาลึกซึ้ง เห็นเหตุผลอันละเอียด
ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน ชื่อว่าเป็นบัณฑิต
และพึงเป็นผู้วิเศษเพราะรู้ธรรมทั้งหลาย ผู้ใดเป็นพหูสูต
ทรงธรรมและประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้นั้นชื่อว่า
ผู้คงที่ เป็นบัณฑิต และพึงเป็นผู้วิเศษเพราะรู้ธรรม
ทั้งหลาย ผู้ใดรู้เนื้อความแห่งสุภาษิต ครั้นรู้แล้วทำตาม
ที่รู้ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นบัณฑิต อยู่ในอำนาจเหตุผล และ
พึงเป็นผู้วิเศษเพราะรู้ธรรมทั้งหลาย.

จบโกสิยเถรคาถา

พระเถระ 12 รูป กล่าวคาถารูปละ 5 คาถา รวมเป็น 60 คาถา
คือ