เมนู

10. ยสทัตตเถรคาถา



ว่าด้วยคาถาของพระยสทัตตเถระ


[344] คนมีปัญญาทราม มีจิตคิดจะยกโทษ ฟังคำสอนของ
ท่านผู้ชนะมาร ย่อมเป็นผู้ไกลจากสัทธรรม เหมือนฟ้า
กับดินฉะนั้น คนมีปัญญาทราม มีจิตคิดจะยกโทษ ฟังคำ
สอนของท่านผู้ชนะมาร ย่อมเสื่อมจากสัทธรรม เหมือน
พระจันทร์ข้างแรมฉะนั้น คนมีปัญญาทราม มีจิตคิด
จะยกโทษ ฟังคำสอนของท่านผู้ชนะมาร ย่อมเหี่ยวแห้ง
ในสัทธรรม เหมือนปลาในน้ำน้อยฉะนั้น คนมีปัญญา
ทราม มีจิตคิดจะยกโทษ ฟังคำสอนของท่านผู้ชนะมาร
ย่อมไม่งอกงามในสัทธรรม เหมือนพืชเน่าในไร่นา
ฉะนั้น ส่วนผู้ใดมีจิตอันคุ้มครองแล้ว ฟังคำสอนของ
ท่านผู้ชนะมาร ผู้นั้นทำอาสวะทั้งปวงให้สิ้นไป ทำให้
แจ้งซึ่งธรรมอันไม่กำเริบ ฟังได้บรรลุความสงบอย่าง
ยอดเยี่ยม เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ย่อมปรินิพพาน.

จบยสทัตตเถรคาถา

อรรถกถายสทัตตเถรคาถาที่ 10



คาถาของท่านพระยสทัตตเถระ มีคำเริ่มต้นว่า อุปารมฺภจิตฺโต
ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?

พระเถระแม้นี้ ได้ทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน
ก่อสร้างกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานในภพนั้นๆ. จริงอย่าง
นั้น ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าปทุมุตตระ ท่านบังเกิด
ในตระกูลพราหมณ์ ถึงความสำเร็จในศิลปวิชาของพวกพราหมณ์ ละกาม
ทั้งหลายบวชเป็นฤาษีอยู่ในป่า. วันหนึ่ง ท่านเห็นพระศาสดา มีจิตเลื่อมใส
ประคองอัญชลีชมเชย. ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปในเทวโลก
และมนุษยโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในตระกูลแห่งเจ้ามัลละ ใน
มัลลรัฐ ได้นามว่ายสทัตตะ ไปยังเมืองตักกศิลา ศึกษาศิลปะทั้งปวง
เที่ยวจาริกไปกับปริพาชกชื่อว่าสภิยะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าในกรุง
สาวัตถีโดยลำดับ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแก้ปัญหาที่สภิยปริพาชกถาม
ตนเองก็นั่งฟังมุ่งเพ่งโทษว่า เราจักแสดงโทษในวาทะของพระสมณโคดม.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบวาระแห่งจิตของเขา เมื่อจะ
ประทานโอวาทในเวลาจบสภิยสุตต1เทศนา จึงได้ตรัส 5 คาถา2เหล่านี้ว่า
คนมีปัญญาทราม มีจิตคิดจะยกโทษ ฟังคำสอน
ของท่านผู้ชนะมาร ย่อมเป็นผู้ไกลจากสัทธรรม เหมือน
ฟ้ากับดินฉะนั้น. คนมีปัญญาทราม มีจิตคิดจะยกโทษ
ฟังคำสอนของท่านผู้ชนะมาร ย่อมเสื่อมจากสัทธรรม
เหมือนพระจันทร์ข้างแรมฉะนั้น. คนมีปัญญาทราม มีจิต
คิดจะยกโทษ ฟังคำสอนของท่านผู้ชนะมาร ย่อมเหี่ยว
แห้งในสัทธรรม เหมือนปลาในน้ำน้อยฉะนั้น. คนมี


1. ขุ. สุ. 25/ข้อ 364. 2. ขุ. เถร. 26/ข้อ 344.

ปัญญาทราม มีจิตคิดจะยกโทษ ฟังคำสอนของท่านผู้ชนะ
มาร ย่อมไม่งอกงามในสัทธรรม เหมือนพืชเน่าในไร่นา
ฉะนั้น. ส่วนผู้ใดมีจิตอันคุ้มครองแล้ว ฟังคำสอนของ
ท่านผู้ชนะมาร ผู้นั้นทำอาสวะทั้งปวงให้สิ้นไป ทำให้
แจ้งซึ่งธรรมอันไม่กำเริบ พึงบรรลุความสงบอย่างยอด
เยี่ยม เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ย่อมปรินิพพาน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปารมฺภจิตฺโต ได้แก่ มีจิตคิดจะยก
โทษ อธิบายว่า มีความประสงค์จะยกโทษ.
บทว่า ทุมฺเมโธ แปลว่า ผู้มีปัญญาทราม.
บทว่า อารกา โหติ สทฺธมฺมา ความว่า บุคคลนั้นคือผู้เช่นนั้น
ย่อมเป็นผู้อยู่ในที่ไกลจากสัทธรรม คือการปฏิบัติ เหมือนปฐพีไกลจาก
ฟ้าฉะนั้น. จะป่วยกล่าวไปไยถึงปฏิเวธสัทธรรมเล่า เมื่อท่านประกอบ
ถ้อยคำที่ขัดแย้งกัน โดยนัยมีอาทิว่า ท่านไม่รู้ธรรมวินัยนี้ สัทธรรมคือ
การปฏิบัติอันสงบละเอียด จักมีแต่ที่ไหน ?
บทว่า ปริหายติ สทฺธมฺมา ความว่า ท่านเสื่อมจากโลกุตรธรรม 9
ทั้งจากสัทธรรมมีศรัทธาเป็นต้น.
บทว่า ปริสุสฺสติ ความว่า ย่อมเหี่ยวแห้งจากความไม่มีธรรมอัน
เป็นกุศล มีปีติและปราโมทย์เป็นต้น ของตนผู้อิ่มกายอิ่มใจ.
บทว่า น วิรูหติ ความว่า ย่อมไม่ถึงความเจริญงอกงาม.
บทว่า ปูติกํ ความว่า ถึงความเป็นของเน่า เพราะไม่มีการให้การ
ฉาบทาด้วยโคมัย.

บทว่า ตุฏฺเฐน จิตฺเต เป็นตติยาวิภัตติใช้ในลักษณะแห่งอิตถัมภูตะ,
อธิบายว่า เป็นผู้มีใจยินดี เบิกบาน.
บทว่า เขเปตฺวา ได้แก่ ตัดขาดแล้ว.
บทว่า อกุปฺปตํ แปลว่า ไม่กำเริบ (พระอรหัต).
บทว่า ปปฺปุยฺย แปลว่า ถึงแล้ว. บทว่า ปรมํ สนฺตึ ได้แก่
อนุปาทิเสสนิพพาน. ก็การบรรลุอนุปาทิเสสนิพพานนั้น คือการรอกาละ
(ตาย) อย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่กาลไร ๆ เพราะฉะนั้น เพื่อจะแสดง
อนุปาทิเสสนิพพานนั้น ท่านจึงกล่าวว่าผู้ไม่มีอาสวะย่อมปรินิพพาน.
ท่านอันพระศาสดาทรงโอวาทอย่างนี้แล้ว ก็เกิดความสังเวช บวช
เจริญวิปัสสนา ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัต, เพราะเหตุนั้น ท่านจึง
กล่าวไว้ในอปทาน1ว่า
เราได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่าสัตว์ ผู้รุ่งเรื่อง
เหมือนต้นกรรณิการ์ โชติช่วงดังดวงประทีป ไพโรจน์
ดุจทองคำ เราวางคณโฑน้ำ ผ้าเปลือกไม้กรองธมกรก ทำ
หนังเสือเฉวียงบ่า แล้วก็สดุดีพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด
ว่า ข้าแต่พระมุนี พระองค์ทรงขจัดความมืดมิด ซึ่ง
อากูลไปด้วยข่ายคือโมหะ ทรงแสดงแสงสว่างแห่งพระ-
ญาณแล้ว เสด็จข้ามไป พระองค์ได้ยกโลกนี้ขึ้นได้แล้ว
สิ่งที่ยอดเยี่ยมซึ่งมีอยู่ทั้งหมด จะเปรียบปานกับพระญาณ
เป็นประมาณเครื่องไปจากโลกของพระองค์ไม่มี ด้วย


1. ขุ. อ. 33/ข้อ 24.

พระญาณนั้น โลกจึงขนานนามพระองค์ว่าสัพพัญญู ข้า-
พระองค์ ขอถวายบังคมพระองค์ผู้มีเพียรใหญ่ ทรงทราบ
ธรรมทั้งปวง ไม่มีอาสวะ ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ได้ เรา
สดุดีพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ด้วยการสดุดีนั้น เรา
ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการสดุดีพระญาณ เรา
เผากิเลสทั้งหลายแล้ว. . . ฯลฯ . . . พระพุทธศาสนาเรา
ได้ทำเสร็จแล้ว
ดังนี้.
ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว แม้เมื่อพยากรณ์พระอรหัตผล
ก็ได้กล่าวคาถาเหล่านี้เหมือนกัน.
จบอรรถกถายสทัตตเถรคาถาที่ 10

11. โสณกุฏีกัณณเถรคาถา



ว่าด้วยคาถาของพระโสณกุฏีกัณณเถระ


[345] เราได้อุปสมบทแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลส ไม่มี
อาสวะ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า และได้อยู่ร่วมกับ
พระองค์ในวิหารเดียวกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่
ในที่แจ้งตลอดราตรีเป็นอันมากทีเดียว พระศาสดาผู้
ฉลาดในธรรมเป็นเครื่องอยู่ ได้เสด็จเข้าไปสู่พระวิหาร
เมื่อนั้นพระโคดมทรงลาดผ้าสังฆาฏิแล้ว สำเร็จสีหไสยา
ทรงละความขลาดกลัวเสียแล้ว เหมือนราชสีห์อยู่ในถ้ำ
ภูเขา ลำดับนั้น ท่านโสณะผู้เป็นสาวกของพระสัมมา-
สัมพุทธเจ้า ผู้กล่าววาจาไพเราะ ได้ภาษิตสัทธรรมในที่
เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ท่านโสณะ
กำหนดรู้เบญจขันธ์แล้ว อบรมอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐ
พึงได้บรรลุความสงบอย่างยิ่ง จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะ
ปรินิพพาน.

จบโสณกุฏิกัณณเถรคาถา

อรรถกถาโสณกุฏิกัณณเถรคาถาที่ 11



คาถาของท่านพระโสณกุฏิกัณณเถระ มีคำเริ่มต้นว่า อุปสมฺปทา
จ เม ลทฺธา
ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?