เมนู

เถรคาถา ทุกนิบาต วรรคที่ 3


1. อุตตรเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระอุตตรเถระ


[278] ได้ยินว่า พระอุตตเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ขันธ์ทั้งหลาย เรากำหนดรู้แล้ว ตัณหาเราถอน
ขึ้นแล้ว โพชฌงค์เราเจริญแล้ว ความสิ้นไปแห่ง
อาสวะเราบรรลุแล้ว ครั้นเรากำหนดรู้ขันธ์ทั้งหลาย
แล้ว ถอนข่ายคือตัณหาได้แล้ว ยังโพชฌงค์ให้เจริญ
แล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพาน.


วรรควรรณนาที่ 3


อรรถกถาอุตตรเถรคาถา


คาถาของท่านพระอุตตรเถระเริ่มต้นว่า ขนฺธา มยา ปริญฺญาตา.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้ว ในพระพุทธเจ้า
องค์ก่อน ๆ เข้าไปสั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น ๆ
เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า

สิทธัตถะ ในกัปที่ 94 แต่ภัตรกัปนี้ บรรลุความเป็นผู้รู้แล้ว ได้เป็นผู้มีความ
เลื่อมใสในพระศาสดา ประกาศตนเป็นอุบาสกแล้ว เรียกบรรดาผู้เป็นญาติของ
ตนมาประชุมกัน รวบรวมบูชาสักการะเป็นอันมาก กระทำการบูชาพระ
ธาตุแล้ว.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิด
ในตระกูลพราหมณ์ เมืองสาเกต ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้นามว่า อุตตระ
เจริญวัยแล้ว ไปสู่พระนครสาวัตถี ด้วยกรณียกิจบางประการเห็นยมกปาฎิหาริย์
อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำแล้ว ที่โคนไม้คัณฑามพฤกษ์ (ต้นมะม่วง)
เลื่อมใสแล้ว เป็นผู้เจริญศรัทธายิ่งขึ้น ด้วยเทศนากาฬการามสูตร บวชแล้ว
ไปสู่พระนครราชคฤห์กับพระศาสดา อยู่ที่พระนครราชคฤห์นั่นแหละ เริ่มตั้ง
วิปัสสนา ได้เป็นผู้มีอภิญญา 6 ต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์ที่
ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เมื่อพระโลกนาถผู้นำของโลก ทรงพระนามว่า
สิทธัตถะ ปรินิพพานแล้ว เราได้นำพวกญาติของเรา
มาทำการบูชาพระธาตุ. ในกัปที่ 94 แต่ภัทรกัปนี้
เราได้บูชาพระธาตุใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จัก
ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระธาตุ. เราเผากิเลส
ทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรา
กระทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.
ก็พระเถระเป็นผู้มีอภิญญา 6 แล้ว เมื่อพระศาสดาเสด็จประทับอยู่
ในพระนครสาวัตถี ก็ออกจากกรุงราชคฤห์ไปพระนครสาวัตถี เพื่อจะทำพุทธ-
อุปัฏฐาก อันภิกษุทั้งหลายถามว่า ดูก่อนอาวุโส กิจแห่งบรรพชิตอันท่านให้
ถึงที่สุดแล้วหรือ ? เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล ได้กล่าวคาถา 2 คาถา
ความว่า

ขันธ์ทั้งหลายเรากำหนดรู้แล้ว ตัณหาเราถอน
ขึ้นแล้ว โพชฌงค์เราเจริญแล้ว ความสิ้นไปแห่ง
อาสวะเราบรรลุแล้ว ครั้นเรากำหนดรู้ขันธ์ทั้งหลาย
แล้ว ถอนข่าย คือตัณหาได้แล้ว ยังโพชฌงค์ให้เจริญ
แล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพาน
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขนฺธา ได้แก่ อุปาทานขันธ์ 5. บทว่า
ปริญฺญาตา ความว่า กำหนดรู้ คือยังทุกขสัจให้เจริญแล้วว่า นี้ทุกข์ ทุกข์
ยิ่งไปกว่านี้ไม่มี ดังนี้. ด้วยบทว่า ปริญฺญาตา นั้น ท่านกล่าวหมายถึงการ
ตรัสรู้ โดยการกำหนดรู้ทุกขอริยสัจ.
บทว่า ตณฺหา ความว่า กิเลสชาติ ชื่อว่าตัณหา เพราะอรรถว่า
สะดุ้ง คือหวั่นไหว. บทว่า สุสมูหตา แปลว่า อันเราเพิกถอนขึ้นแล้ว
พระเถระกล่าวถึงการตรัสรู้ ด้วยการละสมุทัยสัจด้วยบทว่า สุสมูหตา นั้น.
บทว่า ภาวิตา มม โพชฺฌงฺคา ความว่า ธรรม 7 ประการชื่อว่า
โพชฌงค์ เพราะเป็นองค์แห่งธรรมสามัคคี มีสติเป็นต้น กล่าวคือธรรมเป็น
เครื่องตรัสรู้ หรือเพราะเป็นองค์แห่งพระอริยบุคคล ผู้พร้อมเพรียงด้วยธรรม
สามัคคีนั้น คือที่ท่านกล่าวว่าธรรมเป็นเครื่องตรัสรู้. ธรรมทั้งหลายอันนับ
เนื่องแล้วในมรรคกล่าวคือ สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิและ
อุเบกขา อันเราเจริญแล้ว คือให้เกิดแล้ว ได้แก่ เพิ่มพูนแล้ว. ก็ในคาถานี้
พึงทราบว่า ธรรมในองค์มรรคทั้งปวงก็ดี โพธิปักขิยธรรมทั้งหมดก็ดี พึง
ทราบว่า ท่านถือเอาแล้ว ด้วยศัพท์ว่าโพชฌังคะ เพราะเป็นประเภทธรรมที่
ไปร่วมกับโพชฌงค์นั้น. พระเถระแสดงความถึงพร้อมเฉพาะซึ่งภาวนา แห่ง
มรรคสัจด้วยบทว่า ภาวิตา มม โพชฺฌงฺคา นี้เหมือนกัน.

บทว่า ปตฺโต เม อาสวกฺขโย ความว่า อสังขตธรรม อันได้
นามว่า อาสวักขยะ เพราะเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย มีกามาสวะเป็นต้น
อันเราถึงแล้ว คือบรรลุแล้ว. พระเถระกล่าวความถึงพร้อมเฉพาะ ซึ่งการ
ทำให้แจ้งนิโรธสัจ ด้วยบทว่า ปตฺโต เม อาสวกฺขโย นี้. พระเถระ
แสดงสมบัติคือ สอุปาทิเสสนิพพานของตน ด้วยคำมีประมาณเท่านี้.
ก็บัดนี้ พระเถระ เมื่อจะแสดงสมบัติคืออนุปาทิเสสนิพพาน จึงกล่าว
คาถาที่ 2 ด้วยคำมีอาทิว่า โสหํ ดังนี้.
คาถาที่ 2 นั้น มีอธิบายดังนี้ เรานั้น รู้แล้ว คือ กำหนดรู้ขันธ์
ทั้งหลาย โดยนัยดังกล่าวแล้วอย่างนี้ และเมื่อกำหนดรู้อย่างนั้นแล้ว จึงถอน
คือยกขึ้นซึ่งตัณหาอันได้นามว่า ชาลินี เพราะมีข่ายกล่าวคือความเกิดบ่อย ๆ
มีอาการร้อยรัดเหล่าสัตว์ไว้ ในอัตภาพของตนและอัตภาพของคนอื่น ใน
อายตนะภายในและอายตนะภายนอก อันต่างโดยประเภทมีอดีตเป็นต้น จาก
จิตสันดานของเรา เมื่อยกข่ายคือตัณหานั้นขึ้นได้อย่างนั้น ก็ยังโพชฌงค์มี
ประเภทดังกล่าวแล้วให้เจริญ คือยังโพชฌงค์เหล่านั้นให้ถึงความบริบูรณ์ด้วย
ภาวนา ต่อแต่นั้นไป จึงเป็นผู้ไม่มีอาสวะตั้งอยู่แล้ว บัดนี้ เราจักนิพพาน
คือจักดับรอบ ด้วยการดับแห่งจิตดวงสุดท้าย เหมือนเปลวไฟหมดเชื้อดับไป
ฉะนั้น.
จบอรรถกถาอุตตรเถรคาถา

2. ภัททชิเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระภัททชิเถระ


[279] ได้ยินว่า พระภัตทชิเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
พระเจ้าปนาทะมีปราสาททอง กว้างโยชน์กึ่ง
สูง 25 โยชน์ มีชั้นพันชั้น ร้อยพื้น สล้างสลอน
ไปด้วยธง แวดล้อมไปด้วยแก้วมณี สีเขียวเหลือง
ในปราสาทนั้น มีคนธรรพ์ ประมาณ 6,000 แบ่ง
เป็น 7 พวก พากันฟ้อนรำอยู่.


อรรถกถาภัททชิเถรคาถา


คาถาของท่านพระภัททชิเถระ เริ่มต้นว่า ปนาโท นาม โส ราชา.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า พระเถระนี้เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกาลของพระผู้มีพระ
ภาคเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ บรรลุความเป็นผู้รู้แล้ว เรียนจบศิลปวิทยา
ของพราหมณ์ทั้งหลาย ละกามทั้งหลายแล้ว บวชเป็นดาบส ให้เขาสร้างอาศรม
อยู่ที่ชัฎป่า วันหนึ่ง เห็นพระศาสดาเสด็จไปโดยอากาศ เป็นผู้มีใจเลื่อมใส ยืน
ประคองอัญชลีอยู่. พระศาสดาทรงทราบอัธยาศัยของดาบสแล้ว เสด็จลงจาก
อากาศ. ดาบสน้อมเอาน้ำผึ้ง เหง้าบัว เนยใส และน้ำนม เข้าไปถวายแด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยความอนุเคราะห์ดาบส จึง
ทรงรับไว้ตรัสอนุโมทนา แล้วเสด็จหลีกไป.