เมนู

อรรถกถาสิริมาเถรคาถา


คาถาของท่านพระสิริมาเถระ เริ่มต้นว่า ปเร จ นํ ปสํสนฺติ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ สั่งสมบุญทั้งหลายไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในตระกูลพราหมณ์ในเวลาที่
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนานว่า ปทุมุตตระ ทรงบำเพ็ญบารมี แล้ว
ประทับอยู่ในภพชั้นดุสิต บรรลุนิติภาวะแล้ว เรียนจบไตรเพท เป็นผู้ชำนาญ
ในบทแห่งพระเวท ของสนิฆัณฑุศาสตร์ เกฏุภศาสตร์ สักขรศาสตร์ ปเภทศาสตร์
มีอิติหาสศาสตร์ เป็นที่ 5 รู้แจ่มแจ้ง เข้าใจในโลกายศาสตร์ และมหาปุริส-
ลักขณศาสตร์ไม่บกพร่อง ละกามทั้งหลายแล้วบวชเป็นดาบส เพราะความเป็น
ผู้มีอัธยาศัยน้อมไปในเนกขัมมะ อันหมู่ดาบสประมาณ 84,000 แวดล้อมแล้ว
ยังฌานและอภิญญาให้เกิด แล้วอยู่ในอาศรม อันเทวดาเนรมิตให้ ระลึกถึง
พระพุทธคุณ เพราะความเป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ และเพราะมีแนวทางอันแน่นอน ที่มาแล้วในลักษณะแห่งมนต์ทั้งหลาย
ก่อพระเจดีย์ทรายที่คุ้งน้ำ อันมีน้ำไหลวนแห่งหนึ่ง อุทิศพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ในอดีต ได้เป็นผู้มีความยินดียิ่งในบูชาและสักการะ.
ดาบสทั้งหลายเห็นดังนั้น จึงถามว่า บูชาสักการะนี้ท่านกระทำเจาะจง
ใคร. เขานำมนต์สำหรับดูลักษณะมาแจกแจงลักษณะของมหาบุรุษ เท่าที่มี
มาในพระคัมภีร์ แจ้งแก่ดาบสเหล่านั้น แล้วตั้งอยู่ในกำลังญาณของตน
ประกาศคุณของพระพุทธเจ้า ตามแบบฉบับแห่งตำราดูมหาปุริสลักษณะ
แม้ดาบสเหล่านั้นฟังดังนั้นแล้ว เป็นผู้มีใจเลื่อมใส จำเดิมแต่นั้น ก็พากัน
บูชาพระสถูป มุ่งเฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่.

ก็โดยสมัยนั้น พระโพธิสัตว์พระนามว่า ปทุมุตตระ จุติจากหมู่เทพ
ในสวรรค์ชั้นดุสิต ก้าวลงสู่ครรภ์พระมารดา. พุทธนิมิต 32 ประการ ในภพ
สุดท้ายปรากฏแล้ว และพุทธนิมิตทั้งปวง เป็นอัพภูตธรรมที่น่าอัศจรรย์
ดาบสแสดงพระพุทธนิมิตเหล่านั้นแก่อันเตวาสิกทั้งหลาย เพิ่มพูนความ
เลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย แก่ดาบสเหล่านั้น เหลือประมาณ
กระทำกาละแล้ว บังเกิดในพรหมโลก เมื่อดาบสเหล่านั้นกำลังทำการบูชา
สรีระของตนอยู่ ก็มาปรากฏร่าง แล้วกล่าวว่า เราคืออาจารย์ของท่านทั้งหลาย
ไปบังเกิดในพรหมโลก ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาท หมั่นประกอบการ
บูชาพระเจดีย์ทราย และจงหมั่นขวนขวายในการเจริญภาวนา ดังนี้แล้ว กลับ
ไปสู่พรหมโลก.
เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายอยู่อย่างนี้ เกิดในตระกูล
คฤหบดี พระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้ เพราะเหตุที่เขาเจริญด้วย
สิริสมบัติในตระกูลนั้น นับจำเดิมแต่วันที่เกิดแล้ว คนทั้งหลายจึงตั้งชื่อเขาว่า
สิริมา ดังนี้. ในเวลาที่เขาเดินได้ น้องชายก็เกิด คนทั้งหลายก็ตั้ง
ชื่อน้องชายว่า สิริวัฑฒ์ โดยกล่าวว่า เด็กคนนี้ ยังสิริให้เจริญเกิดแล้ว.
แม้ทารกทั้งสองนั้น ก็เห็นพุทธานุภาพ ในคราวที่พระองค์ทรงรับพระวิหาร
ชื่อว่า เชตวัน เป็นผู้มีจิตศรัทธาบวชแล้ว. ในพระเถระ 2 รูปนั้น พระสิริ-
วัฑฒเถระ ยังไม่ได้บรรลุอุตริมนุสธรรมก่อน แต่เป็นผู้ได้ปัจจัย 4 เป็นปกติ
เป็นผู้อันคฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งหลายสักการะเคารพแล้ว ส่วนพระสิริมาเถระ
จำเดิมแต่เวลาที่บวชแล้ว เป็นผู้มีลาภน้อย เพราะมีกรรมมาตัดรอน เช่นนั้น
แต่เป็นผู้อันชนส่วนใหญ่ยกย่องนับถือ กระทำกรรมในสมถะและวิปัสสนา
ทั้งหลาย แล้วเป็นผู้มีอภิญญา 6 ต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์
ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า

เราเป็นดาบส ชื่อว่า เทวละ อาศัยอยู่ที่ภูเขา
หิมพานต์ ที่จงกรมของเรา เป็นที่อันเทวดาเนรมิตให้
ณ ภูเขานั้น ครั้งนั้น เรามุ่นมวยผม สะพายคนโทน้ำ
เมื่อจะแสวงหาประโยชน์อันสูงสุด ได้ออกจากป่าใหญ่
ไป ครั้งนั้น ศิษย์ 84,000คนอุปัฏฐากเรา เขาทั้งหลาย
ขวนขวายเฉพาะกรรมของตน อยู่ในป่าใหญ่ เราออก
จากอาศรม ก่อพระเจดีย์ทรายแล้ว รวบรวมเอาดอกไม้
นานาชนิดมาบูชาพระเจดีย์นั้น เรายังจิตให้เลื่อมใส
ในพระเจดีย์นั้น แล้วเข้าสู่อาศรม พวกศิษย์ได้มา
ประชุมพร้อมกันทุกคนแล้ว ถามถึงข้อความนี้ว่า
ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ สถูปที่ท่านนมัสการก่อด้วยทราย
แม้ข้าพเจ้าทั้งหลายก็อยากจะรู้ ท่านอันข้าพเจ้า
ทั้งหลายถามแล้ว ขอจงบอกแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย.
เราตอบว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้มีพระจักษุ
มียศใหญ่ ท่านทั้งหลายได้พบแล้ว ในบทมนต์ของเรา
มิใช่หรือ เรานมัสการพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด มี
ยศใหญ่เหล่านั้น ศิษย์เหล่านั้นได้ถามอีกว่า พระ-
พุทธเจ้าผู้มีความเพียรใหญ่ รู้เญยยธรรมทั้งปวง ทรง
เป็นผู้นำโลกเหล่านั้น เป็นเช่นไร มีคุณเป็นอย่างไร
มีศีลเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าผู้มียศใหญ่เหล่านั้น มี
ศีลเป็นดังฤา เราได้ตอบว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายมี
พระมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ มีพระทนต์ครบ
40 ทัศ มีดวงพระเนตรดังตาแห่งโค และเหมือนผล

มะกล่ำ อนึ่ง พระพุทธเจ้าเหล่านั้น เมื่อเสด็จดำเนิน
ไป ก็ย่อมทอดพระเนตรดูเพียงชั่วแอก พระชานุของ
พระองค์ไม่ลั่น ใคร ๆ ไม่ได้ยินเสียงที่ต่อ อนึ่ง พระ
สุคตทั้งหลาย เมื่อเสด็จดำเนินไป ย่อมไม่รีบร้อน
เสด็จดำเนินไป ทรงก้าวพระบาทเบื้องขวาก่อน นี้เป็น
ธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และพระพุทธเจ้า
เหล่านั้น เป็นผู้ไม่หวาดกลัว เปรียบเหมือนไกรสร
มฤคราช ฉะนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ไม่ทรงยก
พระองค์ และไม่ทรงข่มขี่สัตว์ทั้งหลาย ทรงหลุดพ้น
จากการถือตัว และดูหมิ่น ทรงเป็นผู้มีพระองค์เสมอ
ในสัตว์ทั้งปวง พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ไม่ทรงยก
พระองค์ นี้เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
และพระสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อเสด็จอุบัติขึ้น
พระองค์ทรงแสดงแสงสว่าง ทรงประกาศวิการ 6
ทั่วพื้นแผ่นดินนี้ทั้งสั้น ทั้งพระองค์ทรงเห็นนรกด้วย
ครั้งนั้นไฟนรกดับ มหาเมฆยังฝนให้ตก นี้เป็นธรรมดา
ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระพุทธเจ้าผู้มหานาถะ
เหล่านั้นเป็นเช่นนี้ พระพุทธเจ้าผู้มียศใหญ่เหล่านั้น
ไม่มีใครเทียบเท่า พระตถาคตทั้งหลาย เป็นผู้มี
พระคุณหาประมาณมิได้ ใคร ๆ ไม่เกินพระองค์โดย
เกียรติคุณ.
ศิษย์ทุกคนเป็นผู้มีความเคารพ ชื่นชมถ้อยคำ
ของเรา ต่างได้ปฏิบัติเช่นนั้น ตามสติกำลัง พวกเขามี

ความเพลิดเพลินในกรรมของตน เชื่อฟังถ้อยคำของ
เรา มีฉันทะอัธยาศัย น้อมไปในความเป็นพระพุทธเจ้า
พากันบูชาพระเจดีย์ทราย ในกาลนั้น เทพบุตรผู้มี
ยศใหญ่ จุติจากชั้นดุสิต บังเกิดในพระครรภ์ของ
พระมารดา หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว เรายืนอยู่ในที่
จงกรมไม่ไกลอาศรม ศิษย์ทุกคนได้มาประชุมพร้อม
กันในสำนักของเรา ถามว่า แผ่นดินบันลือลั่น ดุจ
โคอุสภะ คำรนดุจมฤคราช ร้องดุจจระเข้ จักมีผล
เป็นอย่างไร ? เราตอบว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ใดที่เราประกาศ ณ ที่ใกล้พระสถูป คือ
กองทราย บัดนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีโชค เป็น
ศาสดาพระองค์นั้น เสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดา
แล้ว.
เราแสดงธรรมแก่พวกศิษย์เหล่านั้นแล้ว กล่าว
สดุดีพระมหามุนี ส่งศิษย์ของตนไปแล้ว นั่งขัดสมาธิ
และกำลังของเราก็สิ้นไป ด้วยความเจ็บไข้อย่างหนัก
เราระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดพระองค์นั้น
ทำกาลกิริยา ณ ที่นั้นเอง ครั้งนั้น ศิษย์ทุกคนพร้อมกัน
ทำเชิงตะกอนแล้ว ยกซากศพของเราขึ้นเชิงตะกอน
พวกเขาล้อมเชิงตะกอน ประนมอัญชลีเหนือเศียร
อันลูกศรคือความโศกครอบงํา พากันมาคร่ำครวญ
เมื่อศิษย์เหล่านั้น พิไรรำพันอยู่ เราได้ไปใกล้เชิง-
ตะกอน สั่งสอนพวกเขาว่า เราคืออาจารย์ของท่าน

ดูก่อนท่านผู้มีปัญญาดีทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าได้
เศร้าโศกเลย ท่านทั้งหลายไม่ควรเป็นผู้เกียจคร้าน
ควรพยายามในประโยชน์ของตน ทั้งกลางคืนและ
กลางวัน ท่านทั้งหลายอย่าได้ประมาท ควรทำขณะ
เวลาให้ถึงเฉพาะ เราพร่ำสอนศิษย์ของตนแล้วกลับไป
ยังเทวโลก เราได้อยู่ในเทวโลกถึง 18 กัป ได้เป็น
พระเจ้าจักรพรรดิ 500 ครั้ง และได้เสวยสมบัติใน
เทวโลกเกิน 500 ครั้ง ในกัปที่เหลือเราได้ท่องเที่ยว
ไปอย่างสับสน แต่ก็ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง
การก่อเจดีย์ทราย ในเดือนที่ดอกโกมุทบาน ต้นไม้
เป็นอันมากต่างก็ออกดอกบาน ฉันใด เราเป็นผู้อัน
พระศาสดาผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ให้บานแล้วในสมัย
ฉันนั้นเหมือนกัน ความเพียรของเรานำธุระน้อยใหญ่
ไป นำมาซึ่งธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ เราตัด
กิเลสเครื่องผูก ดังช้างตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ
อยู่ ในกัปที่แสน แต่ภัทรกัปนี้ เราได้สรรเสริญพระ-
พุทธเจ้าใด ด้วยการสรรเสริญนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการสรรเสริญ . เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว
ฯ ล ฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว

ดังนี้.
ก็ภิกษุและสามเณรทั้งหลายผู้เป็นปุถุชน ไม่รู้ว่าท่านพระสิริมาเถระ
ผู้มีอภิญญา 6 เป็นพระอริยะจึงไม่ยกย่อง จะพูดคุยอะไรกัน ก็พากันตำหนิ
เพราะความที่ท่านเป็นผู้มีลาภน้อย โดยที่ชาวโลกไม่สนใจ. แต่เมื่อจะยกย่อง

ก็พากันสรรเสริญพระสิริวัฑฒเถระ เพราะความที่ท่านเป็นผู้อันชาวโลก
เคารพนับถือ โดยความที่ท่านเป็นผู้มีปัจจัยลาภ. พระเถระคิดว่า ธรรมดาผู้ที่
ควรตำหนิ กลับมีผู้กล่าวสรรเสริญ และผู้ที่ควรสรรเสริญกลับถูกกล่าวตำหนิ
นี้พึงเป็นโทษของความเป็นปุถุชน ดังนี้ เมื่อจะตำหนิความเป็นปุถุชน จึง
ได้กล่าวคาถา 2 คาถา ความว่า
ถ้าตนมีจิตไม่ตั้งมั่น ถึงชนเหล่าอื่นจะสรรเสริญ
ชนเหล่าอื่นก็สรรเสริญเปล่า เพราะตนมีจิตไม่ตั้งมั่น
ถ้าตนมีจิตตั้งมั่นดีแล้ว ถึงชนเหล่าอื่นจะติเตียน ชน
เหล่าอื่นก็ติเตียนเปล่า เพราะตนมีจิตตั้งมั่นดีแล้ว

ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปเร ความว่า คนอื่นจากตน ชื่อว่า คนอื่น
ก็คนพาลทั้งหลายที่นอกจากบัณฑิต ท่านประสงค์เอาว่า เป็นคนอื่นในคาถานี้
อธิบายว่า แม้จะสรรเสริญก็เหมือนตำหนิไม่เป็นประมาณ เพราะคนเหล่านั้น
กล่าวโดยไม่รู้ คือ โดยไม่ตรึกตรอง. บทว่า นํ แปลว่า ซึ่งบุคคลนั้น.
บทว่า ปสํสนฺติ ความว่า อีกอย่างหนึ่ง คนเหล่าอื่น
ชมเชยบุคคลผู้ไม่มีจริง ไม่เป็นจริงนั่นแหละ โดยยกย่องคุณที่ไม่มีจริงไม่
เป็นจริง ว่า ภิกษุชื่อโน้น เป็นผู้ได้ฌาน หรือว่าเป็นพระอริยะ เพราะความไม่รู้
หรือเพราะความเป็นผู้มีตัณหาวิบัติ. ก็ ศัพท์ที่มีอยู่ในคาถานี้นั้น มีการ
น้อมเข้ามาในตนเป็นอรรถ. ด้วย ศัพท์นั้น ท่านแสดงความนี้ว่า ก็คน
เหล่าอื่นย่อมสรรเสริญบุคคลนั้น ก็แลการสรรเสริญนั้น เป็นเพียงการสรรเสริญ
ของคนเหล่านั้น แต่ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความสรรเสริญ ในบุคคลผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น
นั้น.

บทว่า อตฺตา เจ อสมาหิโต ความว่า บุคคลเหล่าอื่นย่อมสรรเสริญ
บุคคลใด ถ้าบุคคลนั้นคือตนนี้ มีจิตไม่ตั้งมั่น คือไม่ประกอบไปด้วยมรรคสมาธิ
ผลสมาธิ หรือเพียงอุปจารสมาธิและอัปปมาสมาธิเท่านั้น อธิบายว่า ถ้าตน
เป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน คือมีจิตหมุนไปผิด เพราะความที่กิเลสทั้งหลาย อันเป็น
ปฎิปักษ์ต่อความตั้งใจมั่น อันตนยังละไม่ได้ ก็พระเถระแสดงความไม่มีคุณ
คือ สมาธินิมิต ด้วยบทว่า อสมาหิโต นี้.
บทว่า โมฆํ แสดงถึงภาวะของนปุงสกลิงค์ ดุจในประโยคมีอาทิว่า
วิสมํ จนฺทิมสุริยา ปริวตฺตนฺติ พระจันทร์และพระอาทิตย์ ย่อมหมุนไป
ไม่เสมอกัน.
บทว่า ปเร ปสํสนฺติ ความว่า คนเหล่าใดย่อมสรรเสริญบุคคลนั้น
คือคนที่มีจิตไม่ตั้งมั่น คนเหล่านั้นย่อมสรรเสริญเป็นโมฆะ คือเปล่า ได้แก่
หามูลมิได้. เพราะเหตุไร ? เพราะคนมีจิตไม่ตั้งมั่น อธิบายว่า เพราะเหตุ
ที่จิตของบุคคลนั้นไม่ตั้งมั่น.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่สองดังต่อไปนี้ บทว่า ครหนฺติ ความว่า
ย่อมติเตียน คือนินทา ได้แก่ กล่าวโทษพระอริยเจ้า และบุคคลผู้ได้ฌาน
เพราะความไม่รู้ของตน หรือเพราะความมุ่งร้าย โดยการชี้แจงถึงความเป็นผู้
ไม่ประพฤติปฏิบัติ หรือโดยมุ่งทำลายคุณ โดยนัยมีอาทิว่า ภิกษุชื่อโน้น ไม่
หมั่นประกอบความเพียร โดยที่สุดแม้เพียงชั่วเวลารีดนมโค มากไปด้วยการ
ปรนเปรอร่างกาย ยินดีในการนอนหลับ ยินดีในการพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์
ยินดีด้วยการคลุกคลีด้วยหมู่คณะอยู่ ดังนี้. คำที่เหลือพึงทราบโดยปริยาย ที่
ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้วในคาถาที่ 1. เมื่อพระเถระประกาศความที่ตนเป็นผู้หมด

กิเลส และความที่พระสิริวัฑฒเถระยังมีกิเลส ด้วยคาถาเหล่านี้อย่างนี้แล้ว
พระสิริวัฑฒเถระฟังคำเป็นคาถานั้นแล้ว เกิดความสลดใจ เริ่มตั้งวิปัสสนา
ยังประโยชน์ตนให้บริบูรณ์แล้วต่อกาลไม่นานนัก และบุคคลผู้ติเตียนทั้งหลาย
ก็ยังพระเถระให้อดโทษแล้ว.
จบอรรถกถาสิริมาเถรคาถา
จบวรรควรรณนาที่ 2
ในอรรถกถาเถรคาถา ชื่อว่า ปรมัตถทีปนี

ในวรรคนี้ รวมพระเถระได้ 10 รูป คือ


1. พระมหาจุนทเถระ 2. พระโชติทาสเถระ 3. พระเหรัญญกานิ
เถระ 4. พระโสมมิตตเถระ 5. พระสัพพมิตตเถระ 6. พระมหากาฬเถระ
7. พระติสสเถระ 8. พระกิมพิลเถระ 9. พระนันทเถระ 11. พระสิริมา-
เถระ และอรรถกถา.