เมนู

6. มหากาฬเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระมหากาฬเถรคาถา


[273] ได้ยินว่า พระมหากาฬเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
หญิงชื่อ กาฬี มีร่างกายใหญ่ ดำดังกา หักขาซ้าย
ขาขวา แขนซ้ายแขนขวา และทุบศีรษะของซากศพ
ให้มันสมองไหลออก ดังหม้อทธิ แล้ววางไว้ตามเดิม
นั่งอยู่ ผู้ใดไม่รู้แจ้ง เป็นคนเขลา ก่อให้เกิดกิเลส
ผู้นั้น ย่อมเข้าถึงทุกข์ร่ำไป เพราะฉะนั้น บุคคลรู้ว่า
อุปธิเป็นเหตุเกิดทุกข์ จึงไม่ควรก่อให้เกิดกิเลส เรา
อย่าถูกเขาทุบศีรษะ นอนอยู่อย่างนี้ อีกต่อไป.


อรรถกถามหากาฬเถรคาถา


คาถาของท่านพระมหากาฬเถระ เริ่มต้นว่า กาฬี อิตฺถี. เรื่องราว
ของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกัปที่ 91 แต่ภัทรกัปนี้ บรรลุนิติภาวะแล้ว ไปป่า
ด้วยกรณียกิจบางอย่าง เห็นผ้าบังสุกุลจีวรห้อยอยู่ที่กิ่งไม้ มีจิตเลื่อมใสว่า
ผ้ากาสาวพัสตร์ อันเป็นธงชัยของพระอริยเจ้าห้อยอยู่ แล้วเก็บเอาดอกกระดึง
มาบูชาผ้าบังสุกุลจีวร.

ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
บังเกิดในตระกูลของพ่อค้าเกวียน ในเสตัพยนคร ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้มี
นามว่า มหากาฬ บรรลุนิติภาวะแล้ว อยู่ครองเรือน บรรทุกสินค้าด้วย
เกวียน 500 เล่ม ไปสู่พระนครสาวัตถี ด้วยกิจของการค้า พักกองเกวียนไว้
ณ ที่แห่งหนึ่ง บรรเทาความเหน็ดเหนื่อยในการเดินทาง นั่งอยู่กับบริษัท
ของตน เห็นพวกอุบาสก ถือเอาของหอมและระเบียบเป็นต้น ไปสู่พระเชตวัน
วิหาร ในเวลาเย็น แม้ตนเองก็ไปสู่วิหารกับพวกอุบาสกเหล่านั้น ฟังธรรมใน
สำนักของพระศาสดาแล้ว เป็นผู้ที่จิตศรัทธาบวชแล้ว อธิษฐานโสสานิกังค-
ธุดงค์ (ธุดงค์คือการถืออยู่ป่าช้าเป็นวัตร) แล้วอยู่ในป่าช้า.
ครั้นวันหนึ่ง มีหญิงคนหนึ่งนามว่า กาฬี เป็นคนเผาศพ (สัปเหร่อ)
หักขา หักแขน ของศพที่ตายใหม่ ๆ อย่างละ 2 ข้าง และทุบศีรษะให้
มันสมองไหลออกดังหม้อทธิ แล้วต่ออวัยวะทุกชิ้นส่วนให้เหมือนเดิม เพื่อให้
พระเถระปลงกรรมฐาน ตั้งไว้ให้พระเถระพิจารณา ในที่สำหรับประกอบ
ความเพียร แล้วนั่ง ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง. พระเถระเห็นชิ้นส่วนของซากศพแล้ว
เมื่อจะสอนตน ได้กล่าวคาถา 2 คาถา ความว่า
หญิงชื่อกาฬี มีร่างกายใหญ่ ดำดังกา หักขาซ้าย
ขาขวา แขนซ้ายแขนขวา และทุบศีรษะของซากศพ
ให้มันสมองไหลออกดังหม้อทธิ แล้ววางไว้ตามเดิม
นั่งอยู่ ผู้ใดแลไม่รู้แจ้ง เป็นคนเขลาก่อให้เกิดกิเลส
ผู้นั้นย่อมเข้าถึงทุกข์ร่ำไป เพราะฉะนั้น บุคคลรู้ว่า
อุปธิเป็นเหตุเกิดทุกข์ จึงไม่ควรก่อกิเลสให้เกิด เรา
อย่าถูกเขาทุบศีรษะ นอนอยู่อย่างนี้อีกต่อไป
ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาฬี เป็นชื่อของหญิงนั้น. อีกอย่างหนึ่ง
ท่านเรียกชื่อ (ว่ากาฬี) อย่างนี้ เพราะความเป็นหญิง มีร่างกายสีดำ
บทว่า พฺรหตี ได้แก่ มีร่างกายใหญ่ คือมีร่างกายกำยำล่ำสัน.
บทว่า ธงฺกรูปา ความว่า ชื่อว่า มีรูปเหมือนกา เพราะมีร่างกาย
สีดำนั่นเอง.
บทว่า สตฺถิญฺจ เภตฺวา ความว่า หักขาซ้ายของคนตาย โดยวิธี
หักด้วยเข่า.
บทว่า อปรญฺจ สตฺถึ ความว่า และหักขาขวาอีกด้วย.
บทว่า พาหญฺจ เภตฺวา ความว่า หักกระดูกแขนที่ปลายแขน
นั่นแหละ.
บทว่า สีลญฺจ เภตฺวา ทธิกาลกํว ความว่า ทุบศีรษะของซากศพ
เหมือนหม้อใส่นมส้ม ที่ไหลเยิ้มออกเพราะถูกทุบด้วยก้อนดินและท่อนไม้
นั่นเทียว อธิบายว่า ทุบให้มีมันสมองไหลออก.
บทว่า เอสา นิสินฺนา อภิสนฺทหิตฺวา ความว่า รวบรวมซากศพ
ที่มีอวัยวะถูกตัด ถูกหัก (กระจัดกระจาย) อยู่นั่นแล ทำให้ติดต่อกัน โดย
วางอวัยวะเหล่านั้นไว้ในตำแหน่งเดิมนั่นแหละ เหมือนกองทิ้งอยู่ตลาดเนื้อสด
นั่งอยู่แล้ว.
บทว่า โย เอว อวิทฺวา อุปธึ กโรติ ความว่า บุคคลใดแม้เห็น
กรรมฐาน อันปรากฏโดยสภาพของซากศพนี้แล้ว (แต่) ไม่รู้แจ้ง ไม่ฉลาด
ทิ้งกรรมฐาน ยังอุปธิคือกิเลสให้เกิด โดยไม่กระทำไว้ในใจโดยแยบคาย
บุคคลนั้นเป็นคนเขลา คือมีปัญญาอ่อน ชื่อว่าย่อมเข้าถึงทุกข์ ในอบายมีนรก
เป็นต้น บ่อย ๆ คือ วนไปเวียนมา เพราะยังไม่ล่วงพ้นสงสาร. เพราะฉะนั้น
บุคคลรู้ว่าอุปธิเป็นเหตุเกิดทุกข์ จึงไม่ควรก่อกิเลสให้เกิด.

บทว่า ตสฺมา ได้แก่ เพราะเหตุนั้นเป็นอย่างนี้.
บทว่า ปชานํ อุปธึ ความว่า บุคคลใดรู้ว่า อุปธิเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
กระไว้ในใจโดยแยบคาย ไม่พึงกระทำ คือไม่พึงก่ออุปธิให้เกิด. เพราะ
เหตุไร ? เพราะเราอย่าถูกเขาทุบศีรษะ นอนอยู่อย่างนี้อีกต่อไป. อธิบายว่า
ซาศพนี้ถูกเขาทุบศีรษะ นอนอยู่ฉันใด เราอย่าเป็นคนรกป่าช้า ถูกทุบศีรษะ
นอนอยู่ ด้วยการบังเกิดขึ้นบ่อย ๆ ในสงสาร ด้วยการก่ออุปธิคือกิเลสเหมือน
อย่างนั้นเลย. เมื่อพระเถระกล่าวสอนตนอยู่อย่างนี้แล ขวนขวายวิปัสสนา
บรรลุพระอรหัตแล้ว. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
ในที่ไม่ไกลภูเขาหิมวันต์ มีภูเขาลูกหนึ่งชื่อ
อุทังคณะ ที่ภูเขานั้น เราได้เห็นผ้าบังสุกุลจีวร ห้อย
อยู่บนยอดไม้ ครั้งนั้น เราร่าเริง มีจิตยินดี เลือกเก็บ
ดอกกระดึงทอง 3 ดอก มาบูชาผ้าบังสุกุลจีวร ด้วย
กรรมที่ทำไว้ดีแล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้
เราละร่างมนุษย์แล้วได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในกัปที่
91 แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ทำกรรมใดในกาลนั้น เพราะ
บูชาผ้าบังสุกุลจีวร อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์
เราไม่รู้จักทุคติเลย. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.
จบอรรถกถามหากาฬเถรคาถา

7. ติสสเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระติสสเถระ


[274] ได้ยินว่า พระติสสเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ภิกษุศีรษะโล้น ครองผ้าสังฆาฏิ ได้ข้าว น้ำ ผ้า
และที่นอน ที่นั่ง ย่อมชื่อว่าได้ข้าศึกไว้มาก ภิกษุ
รู้โทษในลาภสักการะว่า เป็นภัยอย่างนี้แล้ว ควรเป็น
ผู้มีลาภน้อย มีจิตไม่ชุ่มด้วยราคะ มีสติงดเว้นความ
ยินดีในลาภ.


อรรถกถาติสสเถรคาถา


คาถาของท่านพระติสสเถระ เริ่มต้นว่า พหู สปตฺเต ลภติ. เรื่องราว
ของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ
สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น ๆเกิดในตระกูลพราหมณ์
ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปิยทัสสี บรรลุนิติภาวะแล้ว
ถึงความสำเร็จในศิลปะทั้งหลาย เห็นโทษในกามทั้งหลาย สละฆราวาสวิสัย
บวชเป็นดาบส ให้เขาสร้างอาศรมอยู่ในป่าดงรัง ใกล้ชัฏแห่งป่า. พระผู้มี
พระภาคเจ้า ทรงเข้านิโรธสมาบัติ ประทับนั่งที่ดงรังไม่ไกลอาศรม เพื่อจะ
ทรงอนุเคราะห์ดาบสนั้น. ดาบสออกจากอาศรม เดินไปหาผลาผล เห็น