เมนู

บัณฑิต เพราะประกอบด้วยปัญญา อันต่างด้วยโลกิยปัญญาและโลกุตรปัญญา
กุลบุตรผู้ประสงค์จะยังประโยชน์ตนให้สำเร็จ พึงอยู่กับบัณฑิตเหล่านั้น คือ
อยู่ร่วมกัน.
พระวิมลเถระ ฟังโอวาทนั้นแล้ว มีความสลดใจ เริ่มตั้งวิปัสสนา
ยังประโยชน์ตนให้สำเร็จแล้ว ความข้อนี้นั้นจักมีต่อไปข้างหน้าอีก.
จบอรรถกถาโสมมิตตเถรคาถา

5. สัพพมิตตเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระสัพพมิตตเถระ


[272] ได้ยินว่า พระสัพพมิตตเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
คนเกี่ยวข้องในคน คนยินดีกะคน คนถูกคน
เบียดเบียน และคนเบียดเบียนคน ก็จักต้องการอะไร
กับคน หรือกับสิ่งที่คน ทำให้เกิดแล้ว แก่คนเล่า
ควรละคนที่เบียดเบียนคน เป็นอันมากไปเสีย.


อรรถกถาสัพพมิตตเถรคาถา


คาถาของท่านพระสัพพมิตตเถระ เริ่มต้นว่า ชโน ชนมฺหิ
สมฺพทฺโธ
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อนๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ เกิดในตระกูลของนายพราน ในกาลของพระ
ผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ติสสะ ในกัปที่ 92 แต่ภัทรกัปนี้ เป็น
พรานป่า ฆ่าเนื้อในป่ากินเนื้อเลี้ยงชีวิต.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะทรงอนุเคราะห์เขา จึงทรง
แสดงรอยพระบาท ไว้ในที่ใกล้ที่เขาอยู่ 3 รอย แล้ว เสด็จหลีกไป. เขา
เห็นรอยพระบาท มีเครื่องหมายเป็นรูปกงจักร เพราะมีการสั่งสมอันกระทำไว้
ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ในอดีตกาล มีใจเลื่อมใส ทำการบูชาด้วย
ดอกหงอนไก่ บังเกิดในภพดาวดึงส์ด้วยบุญกรรมนั้น ท่องเที่ยวไป ๆ มา ๆ
อยู่แต่ในสุคติภพเท่านั้น บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในพระนครสาวัตถี ใน
พุทธุปบาทกาลนี้ ได้มีนามว่า สัพพมิตตะ. เขาบรรลุความเป็นผู้รู้แล้ว เห็น
พุทธานุภาพ ในคราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับมอบพระวิหาร ชื่อว่า
เชตวัน เป็นผู้มีศรัทธาจิต บวชแล้ว เรียนกรรมฐานอยู่ในป่า เข้าจำพรรษา
แล้ว ออกพรรษาแล้ว ไปสู่พระนครสาวัตถี เพื่อถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้เห็นลูกเนื้อติดอยู่ในบ่วง ที่นายพรานเนื้อดักไว้ในระหว่างทาง ส่วน
นางเนื้อผู้เป็นแม่ของลูกเนื้อนั้น ไม่ติดบ่วง (และ) ไม่หนีไปไกล เพราะ
ความรักห่วงใยในลูก (แต่) ไม่กล้าเข้าไปใกล้บ่วง เพราะกลัวตาย ส่วนลูก
เนื้อหวาดกลัว ดิ้นวนไปวนมาข้างโน้น ข้างนี้ ร้องขอความกรุณา. พระเถระ
เห็นดังนั้นแล้วคิดว่า โอ ! ทุกข์ของสัตว์ทั้งหลาย มีความรักห่วงใยเป็นเหตุ
ดังนี้ แล้วเดินต่อไป ต่อจากนั้นเมื่อโจรจำนวนมาก จับบุรุษคนหนึ่งได้ เอา
ฟ่อนฟางพันร่างกาย เผาทั้งเป็น และเห็นบุรุษนั้นร้องเสียงดังลั่น อาศัยเหตุ
2 อย่างนั้น เกิดความสลดใจ เมื่อโจรทั้งหลายกำลังฟังอยู่นั้นแล ได้กล่าว
คาถา 2 คาถา ความว่า
คนเกี่ยวข้องในคน คนยินดีกะคน คนถูกคน
เบียดเบียน และคนเบียดเบียนคน ก็จักต้องการอะไร
กับคน หรือกับสิ่งที่คนทำให้เกิดแล้ว แก่คนเล่า ควร
ละคนที่เบียดเบียนคน เป็นอันมากไปเสีย
ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชโน ได้แก่ คนอันธพาล. บทว่า
ชนมฺหิ ได้แก่ ในคนอื่น. บทว่า สมฺพทฺโธ ได้แก่ เกี่ยวข้อง ด้วยเครื่อง
เกี่ยวข้องคือตัณหา คือเกี่ยวข้องผูกพัน โดยนัยเป็นต้นว่า ผู้นี้เป็นบุตรของ
เรา ผู้นี้เป็นมารดาของเรา.
อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะ อย่างนี้นั่นแหละ (แต่) มีความหมายว่า มีจิต
ผูกพัน อย่างนี้ว่า คนเหล่านี้เลี้ยงดูเรามา เราอาศัยคนเหล่านี้เลี้ยงชีพ.
บทว่า ชนเมวสฺสิโต ชโน ความว่า คนอื่น ยินดี คือติดแน่น
แล้วด้วยตัณหา ได้แก่ กำหนดยึดถือ เอาคนอื่นนั่นแลโดยนัยมีอาทิว่า ผู้นี้
เป็นธิดาของเรา.
บทว่า ชโน ชเนน เหฐียติ เหเฐติ จ ชโน ชนํ ความ
ว่า คนยินดีกะคน ด้วยสามารถแห่งความโลภ เพราะกัมมัสสกตาญาณ และ
เพราะความไม่มีความรู้ตามความเป็นจริง ฉันใด คนถูกคนอื่นเบียดเบียน คือ
ขัดขวาง ด้วยอำนาจโทสะก็ฉันนั้น และคนเมื่อไม่รู้ว่า กรรมที่เราทำนี้นั้น
จักเป็นกรรมตกทอดถึงเราเอง โดยเป็นผลสืบเนื่องจากการเบียดเบียนที่รุนแรง
ขึ้น ดังนี้ จึงเบียดเบียนกันเอง. บทว่า โก หิ ตสฺส ชเนนตฺโถ
ความว่า คนที่ยินดีกันด้วยอำนาจแห่งตัณหา หรือเบียดเบียนกันด้วยอำนาจ
แห่งโทสะ จะเกิดประโยชน์อะไรแก่คนอื่นเล่า ?
บทว่า ชเนน ชนิเตน วา ความว่า หรือคนที่เป็นมารดา บิดา
มีหน้าที่ยังคนอื่นให้เกิดนั้นจะมีประโยชน์อะไร ? บทว่า ชนํ โอหาย
คจฺฉํ ตํ เหฐยิตฺวา พหุํ ชนํ
ความว่า เพราะเหตุที่ข้อปฏิบัติของคน
ผู้เที่ยวไปในสงสาร มีลักษณะอย่างนี้เหมือนกันหมด ฉะนั้น ควรละคนชนิดนั้น
เสีย คือ ตัณหาที่เบียดเบียนคนก็ดี โทสะที่ประทุษร้ายกันนั้นก็ดี เบียด
เบียนคนเป็นอันมากแล้วตั้งอยู่ พึงละ คือทิ้งตัณหาและโทสะนั้นโดยประการ
ทั้งปวงแล้วไปเสีย. อธิบายว่า พึงถึง คือบรรลุฐานะที่คนเหล่านั้น ตามเข้า
ไปประทุษร้ายไม่ได้.

ก็พระเถระครั้นกล่าวอย่างนั้นแล้ว ขวนขวายวิปัสสนา บรรลุพระ
อรหัตแล้วในขณะนั้นเอง. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ ในอปทานว่า
เมื่อก่อนเรากับบิดาและปู่ เป็นคนทำการงานใน
ป่า เลี้ยงชีพด้วยการฆ่าปศุสัตว์ กุศลกรรมของเราไม่
มี ใกล้กับที่อยู่ของเรา พระพุทธเจ้าผู้นำชั้นเลิศของ
โลก พระนามว่า ติสสะ ผู้มีพระปัญญาจักษุ ได้ทรง
แสดงรอยพระบาทไว้ 3 รอย เพื่ออนุเคราะห์ ก็เรา
ได้เห็นรอยพระบาทของพระศาสดา พระนามว่า
ติสสะ ที่พระองค์ทรงเหยียบไว้ เป็นผู้ร่าเริง มีจิต
ยินดี ยังจิตให้เลื่อมใสในรอยพระบาท เราเห็นต้น
หงอนไก่ ที่ขึ้นมาจากแผ่นดิน มีดอกบานแล้ว จึง
เด็ดมาพร้อมทั้งยอด บูชารอยพระบาทอันประเสริฐสุด
เพราะกรรมที่เราทำไว้แล้วดีนั้น และเพราะความตั้ง
เจตนาไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ไปสู่ดาวดึงส์พิภพ
เราเข้าถึงกำเนิดใด ๆ คือเป็นเทวดาหรือมนุษย์ ใน
กำเนิดนั้น ๆ เรามีผิวกายเหมือนสีดอกหงอนไก่ มี
รัศมีเป็นแดนซ่านออกจากตน ในกัปที่ 92 แต่ภัทร
กัปนี้ เราได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น
เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชารอยพระ
พุทธบาท. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของ
พระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.
ก็โจรเหล่านั้น ฟังธรรมในสำนักของพระเถระแล้ว เกิดความสลดใจ
บวชแล้ว พากันปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาสัพพมิตตเถรคาถา

6. มหากาฬเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระมหากาฬเถรคาถา


[273] ได้ยินว่า พระมหากาฬเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
หญิงชื่อ กาฬี มีร่างกายใหญ่ ดำดังกา หักขาซ้าย
ขาขวา แขนซ้ายแขนขวา และทุบศีรษะของซากศพ
ให้มันสมองไหลออก ดังหม้อทธิ แล้ววางไว้ตามเดิม
นั่งอยู่ ผู้ใดไม่รู้แจ้ง เป็นคนเขลา ก่อให้เกิดกิเลส
ผู้นั้น ย่อมเข้าถึงทุกข์ร่ำไป เพราะฉะนั้น บุคคลรู้ว่า
อุปธิเป็นเหตุเกิดทุกข์ จึงไม่ควรก่อให้เกิดกิเลส เรา
อย่าถูกเขาทุบศีรษะ นอนอยู่อย่างนี้ อีกต่อไป.


อรรถกถามหากาฬเถรคาถา


คาถาของท่านพระมหากาฬเถระ เริ่มต้นว่า กาฬี อิตฺถี. เรื่องราว
ของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกัปที่ 91 แต่ภัทรกัปนี้ บรรลุนิติภาวะแล้ว ไปป่า
ด้วยกรณียกิจบางอย่าง เห็นผ้าบังสุกุลจีวรห้อยอยู่ที่กิ่งไม้ มีจิตเลื่อมใสว่า
ผ้ากาสาวพัสตร์ อันเป็นธงชัยของพระอริยเจ้าห้อยอยู่ แล้วเก็บเอาดอกกระดึง
มาบูชาผ้าบังสุกุลจีวร.