เมนู

บทว่า สเจ รตึ นาธิคจฺเฉยฺย ตตฺถ ความว่า ภิกษุยังไม่ประสบ
ความยินดี ในเสนาสนะอันสงัด และในธรรมคือกุศลอันยิ่งเหล่านั้น คือไม่
ประสบความยินดียิ่ง เพราะไม่ได้คุณพิเศษ ติดต่อเป็นลำดับไป พึงเป็นผู้มีตน
อันรักษาแล้ว คือมีจิตอันรักษาแล้ว โดยกำหนดกรรมฐาน พึงเป็นผู้มีสติอยู่
ด้วยการเข้าไปตั้งไว้ ซึ่งสติเป็นเครื่องรักษาในทวารทั้ง 6 ในสงฆ์ คือ ในหมู่
แห่งภิกษุ. และเมื่อเธออยู่อย่างนี้ พึงชื่อว่าเป็นผู้หลุดพ้นจากสังโยชน์โดยแท้.
จบอรรถกถามหาจุนทเถรคาถา

2. โชติทาสเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระโชติทาสเถระ


[269] ได้ยินว่า พระโชติทาสเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ชนเหล่าใดแล พยายามในทางร้ายกาจ ย่อม
เบียดเบียนมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยการกระทำอันเจือด้วย
ความผลุนพลันก็ดี ด้วยการกระทำ มีความประสงค์
ต่าง ๆ ก็ดี ชนเหล่านั้นกระทำทุกข์ ให้แก่ผู้อื่นฉันใด
แม้ผู้อื่นก็ย่อมทำทุกข์ให้แก่ชนเหล่านั้น ฉันนั้น เพราะ
นรชนกระทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม ย่อมเป็นผู้
รับผลแห่งกรรมที่ตนทำไว้นั้น โดยแท้.

อรรถกถาโชติทาสเถรคาถา


คาถาของท่านพระโชติทาสเถระ เริ่มต้นว่า โย โข เต. เรื่องราว
ของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ บังเกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สิขี บรรลุนิติภาวะแล้ว วัน หนึ่ง เห็น
พระศาสดาเสด็จไปบิณฑบาต มีจิตเลื่อมใส ได้ถวายผลมะลื่น.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิด
เป็นบุตรของพราหมณ์ ผู้สมบูรณ์ด้วยสมบัติ ในปาทิยัตถชนบท ในพุทธุป-
บาทกาลนี้ ได้มีนามว่า โชติทาสะ. เขาบรรลุนิติภาวะแล้ว อยู่ครอบครอง
เรือน วันหนึ่ง เห็นพระมหากัสสปเถระ เที่ยวไปบิณฑบาตในบ้านของตน
มีจิตเลื่อมใส ให้พระเถระฉันแล้ว ฟังธรรมในสำนักของพระเถระ ให้สร้าง
วิหารหลังใหญ่ บนภูเขาใกล้บ้านตน นิมนต์ให้พระเถระอยู่ในวิหารนั้น บำรุง
ด้วยปัจจัย 4 ได้ความสลดใจ เพราะพระธรรมเทศนาของพระเถระ บวชแล้ว
เจริญวิปัสสนา ได้เป็นผู้มีอภิญญา 6 ต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์
ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เราได้พบพระพุทธเจ้า ผู้ปราศจากกิเลสธุลี
เชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐกว่านรชน โชติช่วง
เหมือนต้นกรรณิการ์ ประทับนั่งอยู่ ณ ซอกภูเขา
เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ประนมกรอัญชลี
เหนือเศียรเกล้า แล้วเอาผลมะลื่นถวายแด่พระพุทธเจ้า