เมนู

อรรถกถาสุราธเถรคาถา


คาถาของท่านพระสุราธเถระ เริ่มต้นว่า ขีณา หิ มยฺหํ ชาติ.
เรื่องราวของท่าน เป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้ว ในพระพุทธเจ้า
องค์ก่อน ๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สิขี บรรลุความเป็นผู้รู้แล้ว วันหนึ่ง
เห็นพระศาสดา มีใจเลื่อมใส ได้ถวายผลหมากงั่ว.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาไปบังเกิดในเทวโลก กระทำบุญแล้วท่องเที่ยว
วนไปเวียนมาอยู่แต่ในสุคติภพเท่านั้น เกิดเป็นน้องชายของพระราธเถระ ที่
ข้าพเจ้ากล่าวไว้ติดต่อกันเป็นลำดับมา ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้มีนามว่า
สุราธะ. เมื่อพระราธเถระผู้เป็นพี่ชายบวชแล้ว แม้ท่านเองก็ออกบวช เจริญ
วิปัสสนา บรรลุพระอรหัต ต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่าน
กล่าวไว้ในอปทานว่า
เราได้เห็นสมเด็จพระโลกนาถ ผู้โชติช่วงเหมือน
ต้นกรรณิการ์ รุ่งเรืองดังพระจันทร์ในวันเพ็ญ และ
เหมือนต้นไม้ประจำทวีปที่โพลงอยู่ เราเลื่อมใส ได้
เอาผลหมากงั่วถวาย แด่พระศาสดาผู้เป็นทักขิไณย-
บุคคล เป็นวีรบุรุษ ด้วยมือทั้งสองของตน ในกัปที่
31 แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายผลไม้ใดในกาลนั้น ด้วย
การถวายผลไม้นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง
การถวายผลไม้ เราเผากิเลสแล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของ
พระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.

ก็พระเถระ ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล
เพื่อแสดงความที่คำสั่งสอนเป็นนิยยานิกธรรม (นำสัตว์ออกจากทุกข์) จึงได้
กล่าวคาถา 2 คาถา ความว่า
ชาติของเราสิ้นแล้ว คำสอนของพระชินเจ้า เรา
อยู่จบแล้ว ข่ายคือทิฏฐิและอวิชชา เราละได้แล้ว
ตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ เราถอนได้แล้ว เราออกบวช
เป็นบรรพชิต เพื่อประโยชน์อันใด ประโยชน์นั้นเรา
ได้บรรลุแล้ว ความสิ้นสังโยชน์ทั้งปวง เราก็ได้บรรลุ
แล้ว
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขีณา ความว่า ถึงแล้ว ซึ่งความสิ้นไป
คือความสิ้นสุด. บทว่า ชาติ ได้แก่ ภพ หรือการบังเกิดในภพ.
บทว่า วุสิตํ ชินสาสนํ ความว่า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระ
นามว่า ชินะ ได้แก่ มรรคพรหมจรรย์ อันเราอยู่แล้ว คืออยู่จบแล้ว.
บทว่า ปหีโน ชาลสงฺขาโต ความว่า ทิฏฐิและอวิชชา ที่มีนามอันได้
แล้วว่า ชาลสังขาตะ เพราะครอบงำสันดานของสัตว์ และไม่ให้ (โอกาส)
เพื่อจะถอนขึ้น อันเราละแล้ว คือถอนขึ้นแล้วด้วยมรรค. บทว่า ภวเนตฺติ
สมูหตา
ความว่า ตัณหาที่หมายรู้กันว่า นำสัตว์ไปสู่ภพ เพราะนำสัตว์ไป
สู่ภพมีกามภพเป็นต้น คือ ยังสัตว์ให้หมุนเป็นไป อันเราเพิกถอนแล้ว. บทว่า
ยทตฺถาย ปพฺพชิโต ความว่า เราออกบวช คือออกจากเรือน บรรพชา
คือบวช เป็นบรรพชิต เพื่อประโยชน์ใด คือเพื่อผลอันใด.

อธิบายว่า ประโยชน์ คือประโยชน์อย่างยิ่ง กล่าวคือพระนิพพาน
และประโยชน์ของตน กล่าวคือพระอรหัต อันเป็นธรรมเครื่องสิ้นไปแห่ง
สังโยชน์ทั้งหลาย ต่างโดยโอรัมภาคิยสังโยชน์และอุทธัมภาคิยสังโยชน์ทั้งปวง
อันเป็นเครื่องพันธนาการ อันเราบรรลุแล้วโดยลำดับ คือถึงทับแล้ว.
จบอรรถกถาสุราธเถรคาถา

9. โคตมเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระโคตมเถระ


[266] ได้ยินว่า พระโคตมเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
มุนีเหล่าใด ย่อมไม่พัวพันในหญิงทั้งหลาย มุนี
เหล่านั้นย่อมนอนหลับเป็นสุข สัจจะที่ได้ยากแสน
ยากในหญิงเหล่าใด หญิงเหล่านั้นอันบุคคลต้องรักษา
ทุกเมื่อแท้ ดูก่อนกาม เราประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อ
ฆ่าท่าน บัดนี้เราไม่เป็นหนี้ท่านอีก บัดนี้ เราไปถึง
พระนิพพาน อันเป็นที่บุคคลไปแล้วไม่เศร้าโศก.