เมนู

11. อุบาลีเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระอุบาลีเถระ


[317] ได้ยินว่า พระอุบาลีเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ภิกษุผู้ออกบวชใหม่ ๆ ด้วยศรัทธา ยังใหม่ต่อ
การศึกษา ควรคบหากัลยาณมิตร ผู้มีอาชีพบริสุทธิ์
ไม่เกียจคร้าน. ภิกษุผู้ออกบวชใหม่ ๆ ด้วยศรัทธา
ยังใหม่ต่อการศึกษา ควรพำนักอยู่ในหมู่สงฆ์ เป็นผู้
ฉลาดศึกษาพระวินัย. ภิกษุผู้ออกบวชใหม่ ๆ ด้วย
ศรัทธา ยังใหม่ต่อการศึกษา ต้องเป็นผู้ฉลาดในสิ่งที่
ควรและไม่ควร ไม่ควรประพฤติตนเป็นคนออกหน้า
ออกตา.


อรรถกถาอุบาลีเถรคาถา


คาถาของท่านพระอุบาลีเถระ มีคำเริ่มต้นว่า สทฺธาย อภินิกฺ-
ขมฺม.
มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร ?
แม้ท่านพระอุบาลีเถระนี้ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระนามว่า ปทุมุตตระ ได้เกิดขึ้นในคฤหาสน์ของผู้มีสกุล ในนครหงสา-
วดี
วันหนึ่ง ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา ได้เห็นพระศาสดาทรงแต่งตั้ง
ภิกษุรูปหนึ่งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้ทรงไว้ซึ่งพระวินัย

ทำกรรมคือบุญญาธิการแล้ว ได้ปรารถนาฐานันดรนั้น. ท่านบำเพ็ญกุศลตลอด
ชีวิตแล้ว ท่องเที่ยวไปมาในเทวโลกและมนุษยโลก มาในพุทธุปบาทกาลนี้
ได้ถือปฏิสนธิในเรือนของช่างกัลบก มารดาและบิดาได้ขนานนามของท่านว่า
อุบาลี. ท่านเจริญวัยแล้ว เป็นที่เลื่อมใสของกษัตริย์ทั้ง 6 มีท่านอนุรุทธะ
เป็นต้น เมื่อพระตถาคตเจ้า ประทับอยู่ที่อนุปิยอัมพวัน ได้ออกบวช
พร้อมกับกษัตริย์ทั้ง 6 องค์ ที่ออกไปเพื่อต้องการบวช. วิธีบวชของท่านมี
มาแล้วในพระบาลี.
ท่านครั้นบรรพชาอุปสมบทแล้ว ได้รับเอากรรมฐาน ในสำนักของ
พระศาสดาแล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงทรงอนุญาต
ให้ข้าพระองค์อยู่ป่าเถิด พระองค์ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เมื่อเธออยู่ป่า ธุระ
อย่างเดียวเท่านั้นจักเจริญ แต่เมื่อปฏิบัติอยู่ในสำนักของเราทั้งหลาย ทั้งคันถ-
ธุระและวิปัสสนาธุระ จักบริบูรณ์. พระเถระรับพระพุทธดำรัสแล้ว บำเพ็ญ
วิปัสสนากรรมฐานอยู่ไม่นานเลย ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล. ด้วยเหตุนั้น ท่าน
จึงได้กล่าวไว้ในอปทานว่า
ในหงสาวดีนคร พราหมณ์ชื่อว่า สุชาต สะสม
ทรัพย์ไว้ 80 โกฏิ มีทรัพย์และข้าวเปลือกเพียงพอ
เป็นนักศึกษา จำทรงมนต์ไว้ได้ ถึงฝั่งแห่งไตรเพท
จบลักษณะอิติหาส และบารมีในธรรมของตน สาวก
ของพระโคดมพุทธเจ้า เป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องเว้น
มีสิกขาอย่างเดียวกัน เป็นทั้งผู้จาริก เป็นทั้งดาบส
ท่องเที่ยวไปตามพื้นดินในครั้งนั้น. ท่านเหล่านั้นห้อม
ล้อมข้าพเจ้า ชนจำนวนมากบูชาข้าพเจ้า ด้วยสำคัญว่า

เป็นพราหมณ์ ผู้เปรื่องปราชญ์ แต่ข้าพเจ้าไม่บูชาอะไร.
ในกาลครั้งนั้น ข้าพเจ้ามีมานะ กระด้าง ไม่เห็นผู้ที่ควร
บูชา คำว่า พุทฺโธ ไม่มีตลอดเวลาที่พระชินเจ้า ยังไม่
เสด็จอุบัติขึ้น. วันคืนล่วงไปๆ พระพุทธเจ้าพระนาม
ว่า ปทุมุตตระ ผู้ทรงมีจักษุ เสด็จอุบติขึ้นในโลก ทรง
ขจัดความมืดทั้งมวลออกไป. เมื่อศาสนาแผ่ออกไปใน
หมู่กษัตริย์และหนาแน่นขึ้น ในครั้งนั้น พระพุทธเจ้า
ได้เสด็จเข้ามายังนครหงสาวดี. พระองค์ผู้ทรงมีจักษุ
ได้ทรงแสดงธรรม เพื่อประโยชน์แก่พระบิดา เวลา
นั้นบริษัททั้งหลายโดยรอบประมาณ 1 โยชน์. บรรดา
มนุษย์ทั้งหลาย ท่านผู้เขาสมมติแล้วในครั้งนั้น ได้แก่
ดาบส ชื่อสุนันทะ ได้ใช้ดอกไม้บัง (แสงแดด)
ตลอดทั่วทั้งพุทธบริษัท ในครั้งนั้น. และเมื่อพระ
พุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด ทรงประกาศสัจจะทั้ง 4 ที่
ปะรำดอกไม้ บริษัทแสนโกฏิได้บรรลุธรรม. พระ
พุทธเจ้า ทรงหลั่งฝนคือพระธรรม เป็นเวลา 7 วัน
7 คืน ครั้นถึงวันที่ 8 พระชินเจ้า ทรงสรรเสริญ
สุนันทดาบส. สุนันทดาบส นี้ เมื่อท่องเที่ยวไปมา
ในภพที่เป็นเทวโลกหรือมนุษยโลก จักเป็นผู้ประเสริฐ
กว่าสรรพสัตว์ ท่องเที่ยวไปในภพทั้งหลาย. ในแสน
กัปจักมีพระศาสดาในโลก ผู้ทรงสมภพจากราชตระ-
กูลพระเจ้าโอกกากราช พระนามว่า โคดม โดยพระ

โคตร. พระองค์จักทรงมีพุทธชิโนรส ผู้เป็นธรรม
ทายก ที่พระธรรมเนรมิตขึ้น เป็นพุทธสาวกโดย
นามว่า ปุณณมันตานีบุตร. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อ
จะทรงให้ชนทั้งหมดกระหยิ่มใจ ทรงแสดงพระญาณ
ของพระองค์ จึงได้ทรงสรรเสริญสุนันทดาบส อย่าง
นี้ในครั้งนั้น. ชนทั้งหลายพากันประนมมือนมัสการ
สุนันทดาบส กระทำสักการะในพระพุทธเจ้า แล้ว
ชำระคติของตนให้ผ่องใส. ข้าพเจ้าได้ฟังพระดำรัส
ของพระมุนีแล้ว ได้มีความดำริในเรื่องนั้นว่า แม้เรา
จักทำสักการะ โดยวิธีที่จะเห็นพระโคดมพุทธเจ้า.
ข้าพเจ้าครั้นคิดอย่างนี้แล้ว จึงได้คิดถึงกิริยาของข้าพ-
เจ้าว่า เมื่อไรหนอ เราจึงจะประพฤติธรรม ในบุญ
เขตที่ยอดเยี่ยม. ก็ภิกษุผู้เป็นนักปาฐกรูปนี้ พูดได้
ทุกอย่าง ในพระศาสนาถูกยกย่องว่า เป็นผู้เลิศใน
พระวินัย เราปรารถนาตำแหน่งนั้น. โภคะของเรา
ไม่มีผู้นับได้ ไม่มีผู้ให้กระเทือนได้ เปรียบเหมือน
สาคร เราจะสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า ด้วยโภคะ
นั้น. ข้าพเจ้าได้ชื้อสวนชื่อว่า โสภณะ ด้านหน้าพระ-
นครด้วยทรัพย์แสนหนึ่ง สร้างสังฆารามถวาย. ข้าพ-
เจ้าได้สร้างสังฆารามแต่งเรือนยอดปราสาท มณฑป
ถ้ำ คูหา และที่จงกรมให้เรียบร้อย. ข้าพเจ้าได้สร้าง

เรือนอบกาย โรงไฟ โรงเก็บน้ำและห้องอาบน้ำ
ถวายแด่พระภิกษุสงฆ์. ข้าพเจ้าได้ถวายปัจจัยนี้ทุก
อย่างคือ ตั่ง เตียง ภาชนะ เครื่องใช้สอยและยา
ประจำวัด. ข้าพเจ้าครั้นเริ่มตั้งอารักขา ก็ให้สร้างกำ-
แพงอย่างมั่นคง ขออะไร ๆ อย่าได้เบียดเบียนท่าน
เลย ข้าพเจ้าได้สร้างที่อยู่อาศัย ให้ท่านผู้มีจิตสงบ
ผู้คงที่ไว้ในสังฆาราม ด้วยทรัพย์จำนวนแสน สร้างที่
อยู่อาศัยนั้นอย่างไพบูลย์แล้ว ได้น้อมถวายพระสัม-
มาสัมพุทธเจ้าว่า ข้าพระองค์สร้างพระอารามสำเร็จ
แล้ว ข้าแต่พระมุนี ขอพระองค์จงทรงรับ ข้าพระ-
องค์จักถวายพระอารามนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงมี
ความเพียร ผู้ทรงมีจักษุ ขอพระองค์ทรงรับพระ
วิหารนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า ปทุมุตตระ
ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ทรงเป็นนายก ทรงทราบความดำริ
ของข้าพเจ้าแล้ว ทรงรับเครื่องบูชาทั้งหลาย ทรงรับ
พระอารามนั้น. ข้าพเจ้าได้ทราบการทรงรับ ของพระ
สรรเพชญ์ผู้แสวงหาพระคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว ได้เตรียม
โภชนะไว้ ได้ทูลให้ทรงทราบเวลาแห่งภัต. เมื่อข้าพ-
เจ้าทูลให้ทรงทราบเวลาแล้ว พระปทุมุตตรพุทธเจ้า
ผู้ทรงเป็นนายก พร้อมด้วยพระขีณาสพพันหนึ่ง ได้
เสด็จเข้าไปสู่อารามของข้าพเจ้า. ข้าพเจ้ารู้กาลเวลาที่

พระองค์และพระขีณาสพทั้งหลาย ประทับนั่งแล้ว
จึงได้ให้ท่านเหล่านั้นอิ่มหนำสำราญ ด้วยข้าวและน้ำ
ครั้นทราบกาลเวลาที่เสวยแล้ว จึงได้ทูลคำนี้ว่า อา-
รามซึ่งว่า โสภณะ ข้าพระองค์ ซื้อด้วยทรัพย์แสน
หนึ่ง สร้างด้วยทรัพย์จำนวนเท่านั้นเหมือนกัน ข้าแต่
พระมุนีเจ้า ขอพระองค์จงทรงรับอารามนั้น. ด้วย
การถวายอารามนี้ และด้วยเจตนาและประณิธาน ข้า-
พระองค์เมื่อเกิดในภพ ขอให้ได้สิ่งที่ข้าพระองค์
ปรารถนา. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นทรงรับสัง-
ฆารามที่สร้างเรียบร้อยแล้ว ได้ประทับนั่งที่ท่ามกลาง
สงฆ์ ได้ตรัสคำนี้ไว้ว่า เขาผู้ใด ได้มอบถวาย
สังฆารามที่สร้างเรียบร้อยแล้ว แด่พระพุทธเจ้า เรา
ตถาคตจะกล่าวสรรเสริญเขาผู้นั้น ขอท่านทั้งหลายจง
ฟังคำของเรา ผู้กล่าวอยู่. จตุรงคเสนา คือ พล
ช้าง พลม้า พลรถ และพลเดินเท้า จักแวดล้อม
ผู้นี้อยู่เป็นนิตย์ นี้เป็นผลแห่งการถวายสังฆาราม.
เครื่องดุริยางค์หกหมื่น และกลองทั้งหลาย ที่ตกแต่ง
ไว้อย่างเหมาะสม จักประโคม ห้อมล้อมผู้นี้อยู่
เป็นนิจ นี้เป็นผลของการถวายสังฆาราม. หญิงสาว
แปดหมื่นหกพันนางแต่งตัวอย่างสวยสม นุ่งห่มพัส-
ตราภรณ์ที่สวยงาม ประดับประดาด้วยแก้วมณี และ

แก้วกุณฑล มีขนตางอน หน้าตายิ้มแย้ม มีตะโพก
ผึ่งผาย เอวบางร่างน้อย ห้อมล้อมผู้นี้เป็นนิจ
นี้เป็นผลของการถวายสังฆาราม. ผู้นี้จักรื่นเริงใจ
อยู่ในเทวโลกเป็นเวลาสามหมื่นกัป จักเป็นท้าวสักกะ
เสวยเทวราชสมบัติถึงพันครั้ง จักได้เสวยสมบัติทั้ง-
หมด ที่ราชาแห่งทวยเทพจะพึงประสบ จักเป็นผู้มี
โภคทรัพย์ไม่บกพร่อง เสวยเทวราชสมบัติ จักเป็น
พระเจ้าจักรพรรดิ ในแว่นแคว้นตั้งพันครั้ง เสวย
ราชสมบัติอันไพบูลย์ในแผ่นดิน นับครั้งไม่ถ้วน. ใน
(อีก) แสนกัป จักมีพระศาสดาในโลก ผู้ทรงสมภพ
ในราชตระกูลโอกกากราช พระนามว่า โคตมะ โดย
พระโคตร. พระองค์จักทรงมีพุทธชิโนรส ผู้เป็นธรรม
ทายาท ที่พระธรรมเนรมิตขึ้น เป็นพุทธสาวกโดย
นามว่า อุบาลี. เธอจักบำเพ็ญบารมีในพระวินัย เป็น
ผู้ฉลาดในฐานะ และอฐานะ ดำรงไว้ซึ่งพระศาสนา
ของพระชินะ และเป็นผู้หาอาสวะมิได้. พระสมณ-
โคดมผู้ล้ำเลิศในหมู่ศากยะ ทรงรู้ยิ่งซึ่งสิ่งทั้งหมดนี้
แล้ว จักประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ทรงแต่ง
ตั้งเธอไว้ในเอตทัคคะ. ข้าพระองค์ปรารถนาคำสั่งสอน
ของพระองค์ โดยหมายเอาประโยชน์ใดที่นับไม่ถ้วน
ประโยชน์นั้นคือธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งปวง

ข้าพระองค์ได้บรรลุแล้ว. คนต้องราชทัณฑ์ถูกหลาว
แทง เมื่อไม่ประสบความสบายเพราะหลาวก็ปรารถนา
จะให้พ้นไปทีเดียว ฉันใด ข้าแต่พระมหาวีระ ข้า-
พระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ต้องอาชญาของภพ ถูก
หลาวคือกรรมแทง ถูกเวทนาคือความหิวระหาย
รบกวน ไม่ประสบความสำราญในภพ ข้าพระองค์
ถูกไฟ 3 กองเผาลน จึงแสวงหาความรอดพ้น ดุจผู้
ต้องราชทัณฑ์ฉะนั้น ชายผู้กล้าหาญถูกยาเบื่อ เขาจะ
เสาะแสวงหายาขนานศักดิ์สิทธิ์ ที่จะแก้ยาเบื่อรักษา
ชีวิตไว้ เมื่อแสวงหาก็จะพบยาขนานศักดิ์สิทธิ์ที่แก้
ยาเบื่อได้ ครั้นดื่มยานั้นแล้วก็จะสบาย เพราะรอดพ้น
ไปจากพิษยาเบื่อ ฉันใด ข้าแต่พระมหาวีระ ข้าพระองค์
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นเหมือนนรชนผู้ถูกยาเบื่อ ถูก
อวิชชาบีบคั้นแล้ว ต้องแสวงหายาขนานศักดิ์สิทธิ์
คือพระสัทธรรม เมื่อแสวงหายาขนานศักดิ์สิทธิ์ คือ
พระธรรม ก็ได้พบคำสั่งสอนของพระศากยมุนี คำ-
สั่งสอนนั้นล้ำเลิศกว่าโอสถทุกอย่าง บรรเทาลูกศร
ทั้งมวลได้ ครั้นดื่มธรรมโอสถที่ถอนพิษทุกอย่างได้
แล้ว ข้าพระองค์ก็สัมผัสพระนิพพาน ที่ไม่แก่ไม่ตาย
มีภาวะเยือกเย็น คนที่ถูกผีสิงเดือดร้อนเพราะเคราะห์
คือผี ต้องเสาะแสวงหาหมอไล่ผี เพื่อให้รอดพ้นจากผี

เมื่อแสวงหาก็พึงพบหมอผู้ฉลาดในทางภูตวิทยา หมอ
นั้นต้องขับภูตผีพร้อมทั้งมูลเหตุให้เขา เพื่อให้พินาศ
ไป ฉันใด ข้าแต่พระมหาวีระ ข้าพระองค์ก็ฉันนั้น
เหมือนกัน เดือดร้อนเพราะเคราะห์คือความมืด เสาะ
แสวงหาแสงสว่างคือญาณ เพื่อให้รอดพ้นจากความ
มืด จึงได้พบพระศากยมุนี ผู้ทรงกำจัดความมืด คือ
กิเลสออกไปได้ พระองค์ได้ทรงกำจัดความมืดให้ข้า
พระองค์เหมือนหมอผี ขับผีฉะนั้น ข้าพระองค์ตัดทอน
กระแสแห่งสงสารได้ขาด กั้นกระแสตัณหาไว้ได้
ถอนภพทั้งหมดขึ้นได้ เหมือนหมอผีขับผีออกไปโดย
มูลเหตุฉะนั้น นกครุฑโฉบเอางูไปเป็นอาหารของตน
ยังสระใหญ่ร้อยโยชน์ โดยรอบให้กระเพื่อม มันจับงู
ได้แล้ว จะจิกให้ตายเอาหัวห้อยลงพาบินหนีไป ตาม
ที่นกต้องการฉันใด ข้าแต่พระมหาวีระ ข้าพระองค์
ก็เช่นนั้นเหมือนกัน เป็นเหมือนนกครุฑที่มีกำลัง เมื่อ
แสวงหาอสังขตธรรม ข้าพระองค์คายโทสะออกไป
แล้ว ได้เห็นสันติบทที่เป็นธรรมอันประเสริฐ อย่าง
ยอดเยี่ยม นำเอาพระธรรมนั้นไปพำนักอยู่ เหมือน
นกครุฑนำเอางูไปพักอยู่ฉะนั้น เถาวัลลี ชื่อ อาสาวดี
เกิดในสวนจิตรลดา เถาวัลลีนั้น หนึ่งพันปีจึงจะออก
ผล 1 ผล ทวยเทพจะพากันเฝ้าแหนผลของเถาอาสาวดี

นั้น เมื่อมันมีผลระยะนานขนาดนั้น เถาวัลลีนั้นจึง
เป็นที่รักของทวยเทพ เมื่อเป็นอย่างนี้ เถาอาสาวดี
จึงเป็นเถาวัลลีชั้นยอด ข้าแต่พระมุนี ข้าพระองค์
หมายใจไว้แสนกัป ขอบำรุงพระองค์ นมัสกาลทั้งเช้า
ทั้งเย็น เหมือนทวยเทพมุ่งหมายเถาอาสาวดีฉะนั้น
การปรนนิบัติและการนมัสการของข้าพระองค์ ไม่
เป็นหมันไม่เป็นโมฆะ ข้าพระองค์ผู้สงบแล้ว แม้มา
แต่ไกลก็ไม่แคล้วคลาดขณะไปได้ ข้าพระองค์ค้นหา
อยู่ก็ไม่พบปฏิสนธิในภพ ข้าพระองค์ปราศจากอุปธิ
หลุดพ้นแล้ว สงบระงับแล้ว ท่องเที่ยวไปอยู่ อุปมา
เสมือนว่า ดอกปทุมบานเพราะแสงพระอาทิตย์ฉันใด
ข้าแต่พระมหาวีระ ข้าพระองค์ก็เช่นนั้นเหมือนกัน
เบิกบานแล้ว เพราะพุทธรัศมี ในกำเนิดนกกระยาง
จะไม่มีตัวผู้ ทุกครั้งที่ฟ้าร้อง มันจะตั้งท้องทุกคราว
ตั้งท้องอยู่นาน จนกว่าฟ้าจะไม่ร้อง จะพ้นจากภาระ
(ตกฟอง) ต่อเมื่อฝนตกฉันใด ข้าพระองค์ก็ฉันนั้น
เหมือนกัน ได้ตั้งครรภ์คือพระธรรม เพราะเสียงฟ้า
คือพระธรรม ที่ร้องเพราะเมฆคือพระธรรมของพระ
ปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพระองค์ทรงครรภ์คือ
บุญอยู่ เป็นเวลาแสนกัป จะพ้นภาระ (คลอด) จนกว่า
ฟ้าคือพระธรรมจะหยุดร้อง ข้าแต่พระศากยมุนี เมื่อใด

พระองค์ (ผู้เสมือนฟ้า) ทรงร้องที่กรุงกบิลพัสดุ์
บุรีรมย์ เมื่อนั้น ข้าพระองค์จึงจะพ้นจากภาระ เพราะ
ฟ้าคือพระธรรม (หยุดร้อง) ข้าพระองค์ได้คลอด
พระธรรมทั้งหมด เหล่านี้ คือ สุญญตะ (วิโมกข์) 1
อนิมิตตะ (วิโมกข์) 1 และอปณิหิตะ (วิโมกข์) 1
(โลกุตระ) ผล 4 อย่าง 1.
ข้าพระองค์ปรารถนาคำสั่งสอนของพระองค์
มุ่งหมายถึงประโยชน์อันใด ที่นับประมาณไม่ถ้วน
ประโยชน์นั้นคือสันติบท (พระนิพพาน) อันยอด
เยี่ยม ข้าพระองค์ได้บรรลุแล้ว ข้าพระองค์ไม่มี
ผู้เสมอเหมือน ข้าพระองค์ประสบบารมีในพระวินัย
แล้ว จำทรงคำสอนไว้ได้ เหมือนภิกษุผู้แสวงหาคุณ
ผู้เป็นนักพูดแม้ฉะนั้น ข้าพระองค์ไม่มีความเคลือบ-
แคลง ในพระวินัยทั้ง 5 คัมภีร์ คือทั้งขันธกะและที่
แบ่งออกเป็น 3 คัมภีร์ (จุลวรรค มหาวรรค และ
บริวารวรรค) หรือทั้งในอักขระ ทั้งในพยัญชนะ
ในพระวินัยนี้ ข้าพระองค์เป็นผู้ฉลาด ทั้งในนิคคห-
กรรม ปฏิกรรม ฐานะและอฐานะ โอสารณกรรม และ
วุฏฐาปนกรรม ถึงบารมีในพระวินัยทั้งหมด อีกอย่าง
หนึ่ง ข้าพระองค์ยกบทขึ้นมาตั้งแล้ว ไขความออกไป
โดยกิจ 2 อย่าง แล้ววางไว้ในขันธกะ ในพระวินัย
ข้าพระองค์เป็นผู้ฉลาดล้ำในนิรุตติศาสตร์ ฉลาดทั้ง

ในสิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ ไม่มีสิ่ง
ที่ข้าพระองค์ไม่รู้ ข้าพระองค์เป็นผู้เลิศผู้หนึ่งใน
พระศาสนาของพระศาสดา วันนี้ ข้าพระองค์เป็นผู้
ฉลาดในรูป บรรเทาข้อกังขาทุกอย่าง ตัดความสงสัย
ทั้งสิ้นในพระศาสนาของพระสมณศากยบุตร ทั้งที่
เป็นบท (ใหญ่) บทย่อย ทั้งที่เป็นอักขระเป็นพยัญชนะ
ข้าพระองค์เป็นผู้ฉลาดในทุกอย่าง ทั้งในเบื้องต้น
ทั้งในเบื้องปลาย พระราชาผู้ทรงมีกำลัง ทรงกำราบ
การรบกวนของผู้อื่น ทรงชนะสงครามแล้ว ทรงให้
สร้างพระนครขึ้น ณ ที่นั้น ทรงให้สร้างกำแพงบ้าง
คูบ้าง เสาเขื่อนบ้าง ซุ้มประตูบ้าง ป้อมบ้าง นานา
ชนิด เป็นจำนวนมากไว้ในพระนครนั้น ทรงให้สร้าง
ทางสี่แยก สนาม ตลาดจ่าย และสภาสำหรับวินิจฉัย
สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ไว้ในพระนคร
นั้นพระองค์ทรงตั้งเสนาและอำมาตย์ไว้ เพื่อปราบหมู่
อมิตร เพื่อรู้ช่องทางและมิใช่ช่องทาง และเพื่อรักษา
พลนิกายไว้ พระองค์ทรงตั้งคนผู้ฉลาดในการเก็บ
สิ่งของให้เป็นภัณฑารักษ์ไว้ เพื่อให้เป็นผู้เฝ้าสิ่งของ
ด้วยพระราชประสงค์ว่า สิ่งของของเราอย่าได้สูญหาย
ไป ผู้ใดสำเร็จ (การศึกษา) แล้ว และปรารถนา
ความเจริญแก่พระราชาพระองค์ใด พระราชาพระองค์

นั้น จะประทานเรื่องให้เขา เพื่อปฏิบัติต่อมิตร (ประ-
ชาชน). เมื่อนิมิตเกิดขึ้น พระองค์จะทรงตั้งผู้ฉลาด
ในลักษณะทั้งหลาย ผู้เป็นนักศึกษาและจำทรงมนต์
ไว้ได้ ให้ดำรงอยู่ในความเป็นปุโรหิต ผู้สมบูรณ์ด้วย
องค์คุณเหล่านี้ เรียกว่ากษัตริย์ พวกเขาจะพากัน
พิทักษ์รักษาพระราชาทุกเมื่อ เหมือนนกจากพรากรักษา
ญาติตนที่เป็นทุกข์ฉะนั้น ฉันใด ข้าแต่พระมหาวีระ
พระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทรงเป็นเสมือนกษัตริย์
ผู้กำจัดอมิตรได้แล้ว เรียกได้ว่า พระธรรมราชาของชาว
โลกพร้อมทั้งเทวโลก พระองค์ทรงกำจัดเหล่าเดียรถีย์
บ้าง มารพร้อมทั้งเสนาบ้าง ความมืดมนอนธการบ้าง
ได้แล้ว ได้ทรงเนรมิตนครธรรมขึ้น ทรงทำศีลให้เป็น
กำแพง ทรงทำพระญาณของพระองค์ให้เป็นซุ้มประตู
ไว้ที่พระนครนั้น ข้าแต่พระธีรเจ้า สัทธาของ
พระองค์เป็นเสาระเนียด การสังวรเป็นนายทวารบาล
สติปัฏฐานเป็นป้อม ข้าแต่พระมุนี พระปัญญาของ
พระองค์เป็นสนาม และพระองค์ได้ทรงสร้างธรรมวิถี
มีอิทธิบาทเป็นทางสี่แยก พระวินัย 1 พระสูตร 1
พระอภิธรรม 1 พระพุทธพจน์ทั้งสิ้นมีองค์ 9 นี้เป็น
ธรรมสภาของพระองค์ สุญญตวิหารสมาบัติ 1
อนิมิตตวิหารสมาบัติ 1 อปณิหิตสมาบัติ 1 อเนญช-

ธรรม 1 นิโรธธรรม 1 นี้เป็นกุฎีธรรมของพระองค์
ธรรมเสนาบดีของพระองค์ มีนามว่า สารีบุตร ผู้ถูก
ยกย่องว่าเป็นผู้เลิศทางปัญญา และเป็นผู้ฉลาดใน
ปฏิภาณ ข้าแต่พระมุนี ปุโรหิตของพระองค์ มีนามว่า
โกลิตะ ผู้ฉลาดในจุตูปปาตญาณ ผู้ถึงบารมีด้วยฤทธิ์
ข้าแต่พระมุนี ผู้พิพากษาของพระองค์ มีนามว่า
กัสสปะ เป็นผู้เลิศในธุดงค์คุณเป็นต้น เป็นผู้ทรงไว้
ซึ่งวงศ์เก่าแก่ มีเดชสูงยากที่จะเข้าถึงได้ ข้าแต่พระ-
มุนี ผู้รักษา (คลัง) พระธรรมของพระองค์ มีนามว่า
อานนท์ เป็นพหูสูต ทรงจำพระธรรมไว้ได้ และรู้
ปาฐะทุกอย่างในพระศาสนา พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้
ทรงเป็นมหาฤๅษี ทรงตั้งพระเถระเหล่านั้นไปทั้งหมด
แล้วทรงมอบหมายการวินิจฉัย (อธิกรณ์) ที่ท่านผู้เป็น
ปราชญ์แสดงไว้แล้ว ในพระวินัยให้แก่ข้าพเจ้า
พุทธสาวกรูปใดรูปหนึ่งก็ตาม ถามปัญหาในพระวินัย
ข้าพเจ้าไม่มีความคิดในเรื่องนั้น ว่าจะบอกเรื่องอื่น
นั่นแหละแก่เขาในพุทธเขต มีพุทธสาวกประมาณเท่า
ใดในพุทธสาวกจำนวนเท่านั้น ไม่มีผู้เสมอกับข้าพเจ้า
ในทางพระวินัย เว้นไว้แต่พระมหามุนี และผู้ยิ่งกว่า
จักมีแต่ที่ไหน พระสมณโคดมประทับนั่ง ณ (ท่าม
กลาง) ภิกษุสงฆ์ทรงเปล่งพระสุรเสียงอย่างนี้ ว่า พระ

อุบาลีไม่มีผู้เสมอเหมือน ทั้งในพระวินัยและขันธกะ
ทั้งหลาย นวังคสัตถุศาสน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
ทั้งหมดนั้น หยั่งลงในพระวินัย พุทธสาวกมีประมาณ
เท่าใด มีปกติเป็นพระวินัยว่า พระวินัยเป็นรากเหง้า
(ของนวังคสัตถุศาสน์นั้น) พระสมณโคดมผู้ประเสริฐ
กว่าศากยราช ทรงระลึกถึงกรรมของข้าพเจ้าแล้ว ได้
ประทับนั่ง (ท่ามกลาง) ภิกษุสงฆ์ ทรงแต่งตั้งข้าพเจ้า
ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ข้าพเจ้าได้ปรารถนาตำแหน่ง
นี้มาเป็นเวลาแสนกัป ข้าพเจ้าได้บรรลุประโยชน์นั้น
แล้วถึงบารมีในพระวินัยแล้ว ข้าพเจ้าได้เป็นช่างกัล-
บกผู้สร้างความเพลิดเพลินให้ศากยราชมาก่อน ละ
ทิ้งชาตินั้นแล้ว มาเกิดเป็นบุตรพระมหาฤาษี (พุทธ-
ชิโนรส) ในกัปที่ 2 นับถอยหลังแต่กัปนี้ไป ได้มี
กษัตริย์ผู้ปกครองแผ่นดิน พระนามว่า อัญชสะ ผู้มี
เดชไม่มีที่สิ้นสุด มีพระบริวารนับไม่ถ้วน มีทรัพย์มาก
ข้าพเจ้าได้เป็นขัตติยราชสกุลของพระองค์ มีนามว่า
จันทนะ เป็นผู้เย่อหยิ่ง เพราะความเมาในชาติ และ
ความเมาในยศ และโภคะ ช้างจำนวนแสน ประดับ
ประดาด้วยคชาภรณ์พร้อมสรรพ ตระกูลมาตังคะ
ตกมัน 3 แห่ง ห้อมล้อมข้าพเจ้าทุกเมื่อ ข้าพเจ้า

ประสงค์จะไปอุทยาน มีพลนิกายของตนออกหน้าไป
จึงได้ขึ้นช้างต้น (ช้างมิ่งขวัญ) ออกจากพระนครไป
ในครั้งนั้น พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า นามว่า เทวละ
ถึงพร้อมด้วยจรณะ มีทวารอันคุ้มครองแล้ว สังวร
ดีแล้ว. ได้มาข้างหน้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้ไส
ข้างต้นเข้าไปได้ล่วงเกินพระพุทธเจ้าในครั้งนั้น ต่อ
จากนั้น ช้างต้นนั้น ก็เกิดเดือดดาลขึ้น ไม่ย่างเท้าไป
ข้าพเจ้าเห็นช้างไม่พอใจ จึงได้โกรธพระพุทธเจ้า
เบียดเบียนพระปัจเจกสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้ไปยังพระ-
อุทยาน ข้าพเจ้าไม่พบความสำราญ ณ ที่นั้น เหมือน
คนถูกไฟไหม้ศีรษะ ถูกความกระวนกระวายแผดเผา
เหมือนปลาติดเบ็ด พื้นแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต
เป็นเสมือนไฟลุกไปทั่วสำหรับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเข้าไป
เฝ้าพระบิดา จึงได้ทูลคำนี้ไว้ว่า หม่อมฉันล่วงเกิน
พระสยัมภูองค์ใด เหมือนยุอสรพิษให้เดือดดาล
เหมือนโหมกองไฟ และเหมือนฝึกช้างตกมัน พระ-
ชินพุทธเจ้าองค์นั้น ผู้มีพระเดชสูงแรงกล้า ข้าพเจ้า
ได้ล่วงเกินแล้ว ก่อนที่พวกเราทุกคนจะพินาศไป พวก
เราจักพากันขอขมาพระมุนีนั้น ถ้าหากพวกเราจักไม่
ยังพระมุนีนั้น ผู้ทรงฝึกองค์แล้ว มีหฤทัยตั้งมั่นแล้ว

ให้ทราบไซร้ รัฐของเราจักแหลกลาญ ไม่เกิน
วันที่ 7 พระราชาทั้งหลาย คือ สุเมขละ 1
โกสิยะ 1 สิคควะ 1 สัตตกะ 1 พร้อมด้วยเสนา
ตกทุกข์ได้ยาก เพราะล่วงเกินฤาษีทั้งหลาย เมื่อใด
ฤาษีทั้งหลายผู้สำรวมแล้ว ผู้ประพฤติพรหมจรรย์
โกรธ เมื่อนั้น ฤาษีเหล่านั้น จะบันดาลให้ (โลกนี้)
พร้อมทั้งเทวโลกทั้งสาครและบรรพต ให้พินาศไปได้
ข้าพเจ้าจึงประชุมราชบุรุษทั้งหลายในที่ประมาณสาม
พันโยชน์ เข้าไปหาพระสยัมภู เพื่อต้องการแสดง
โทษผิด ทุกคนมีผ้าเปียก และศีรษะเปียกน้ำเหมือน
กันหมด กระทำอัญชลี หมอบแทบบาทพุทธเจ้า
แล้วได้กล่าวคำวิงวอนนี้ว่า ข้าแต่มหาวีระ ขอท่าน
โปรดประทานอภัยโทษแก่ชนที่ร้องขอ ขอพระ-
มหาวีระบรรเทาความเร่าร้อน และอย่าให้รัฐ
ของพวกข้าพเจ้าพินาศเลย มวลสัตว์พร้อมทั้งเทวดา
และมนุษย์ พร้อมทั้งอสูรเผ่าทานพ พร้อมด้วย
รากษส พึงพากันเอาค้อนเหล็กมาตีศีรษะของ
ข้าพเจ้าอยู่ทุกเมื่อ ความโกรธจะไม่เกิดขึ้นในพระ
พุทธเจ้า เหมือนไฟสถิตอยู่ในน้ำไม่ได้ เหมือนพืช
ไม่งอกบนหิน เหมือนกิมิชาติ ดำรงชีวิตอยู่ในยา
ขนานวิเศษไม่ได้ฉะนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่

กระเทือนหฤทัย เหมือนแผ่นดินไม่กระเทือน สาคร
ที่นับจำนวนน้ำไม่ได้ก็ไม่กระเพื่อม และอากาศที่ไม่
มีที่สุด ก็ไม่ปั่นป่วน พระมหาวีระทั้งหลาย ผู้
ฝึกฝนดีแล้ว อดกลั้นได้แล้ว และมีตบะ เจ้า
ประคุณทั้งหลาย ผู้อดทนและอดกลั้นได้แล้ว
จะไม่มีการไป พระปัจเจกสัมพุทธเจ้ากล่าวคำ
นี้แล้ว เมื่อจะบรรเทาความเร่าร้อน จึงเหาะ
ขึ้นฟ้า ต่อหน้ามหาชนในครั้งนั้น ข้าแต่พระ-
มหาวีระ ด้วยกรรมนั้น ข้าพระองค์ได้เข้าถึงความเป็น
คนชั้นต่ำ ล่วงเลยกำเนิดนั้นมาแล้ว จึงเข้าไปยัง
อภยบุรี ข้าแต่พระมหาวีระ แม้ในครั้งนั้น พระองค์
ทรงแก้ไขความเร่าร้อน ที่แผดเผาข้าพระองค์ คือ
สถิตมั่นอยู่ในข้าพระองค์ และข้าพระองค์ได้ให้
พระสยัมภู อดโทษแล้ว ข้าแต่พระมหาวีระ แม้
วันนี้ พระองค์ก็ทรงดับไฟ 3 กอง ให้ข้าพระองค์ผู้
กำลังถูกไฟ 3 กองเผาลนอยู่ และข้าพระองค์ก็ถึง
ความเยือกเย็น ท่านเหล่าใด มีการเงี่ยโสตลงฟัง
ข้าพเจ้าจะบอกเนื้อความ คือ บท (พระนิพพาน)
ตามที่ข้าพเจ้าได้เห็นแล้ว แก่ท่านเหล่านั้น ขอ
ท่านทั้งหลายจงฟังคำของข้าพเจ้าผู้กล่าวอยู่ ด้วยกรรม
ที่ข้าพเจ้าได้ดูหมิ่นพระสยัมภู ผู้มีหฤทัยสงบ ผู้มี

หฤทัยมั่นคงแล้ว วันนี้ข้าพเจ้าจึงได้เกิดในกำเนิดที่ต่ำ
ทราม ท่านทั้งหลายอย่าพร่าขณะเวลาเลย เพราะผู้
ปล่อยขณะเวลาให้ล่วงเลยไปแล้ว ย่อมเศร้าโศกเสียใจ
ท่านทั้งหลายควรพยายามในประโยชน์ของตน ท่าน
ทั้งหลายจึงจะให้ขณะเวลาประสบผล ไม่ล่วงไปเปล่า
ก็ยาเหล่านี้ คือ ยาสำรอก เป็นพิษร้ายกาจสำหรับคน
บางพวก แต่เป็นโอสถสำหรับคนบางเหล่า ส่วนยา
ถ่าย เป็นพิษร้ายกาจสำหรับคนบางพวก แต่เป็นโอสถ
สำหรับคนบางเหล่า (ฉันใด) พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็ฉันนั้น เป็นเสมือนยาสำรอก สำหรับผู้ปฏิบัติ (ผู้
เจริญมรรค) เป็นเสมือนยาถ่ายสำหรับผู้ตั้งอยู่ในผล
เป็นเสมือนโอสถสำหรับผู้ได้ผลแล้ว และเป็นบุญเขต
สำหรับผู้แสวงหา (โมกขธรรม) พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นเสมือนยาพิษที่ร้ายกาจ สำหรับผู้ประพฤติผิดจาก
คำสั่งสอน เผาคน ๆ นั้นเหมือนอสรพิษ ต้องยาพิษ
ยาพิษชนิดแรงที่คนดื่มแล้วจะผลาญชีวิต (เขาเพียง)
ครั้งเดียว ส่วนคนผิดพลาดจากคำสั่งสอน (พุทธ-
ศาสนา) แล้ว จะหมกไหม้ (ในนรก) นับโกฏิกัป
เขาย่อมข้ามโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลกได้ ด้วยขันติธรรม
อวิหิงสาธรรม และด้วยความเป็นผู้มีเมตตาจิต เพราะ
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้น จึงทรงเป็นผู้ไม่มีความ

ขึ้งเคียด พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นเสมือนปฐพีไม่ทรง
ข้องอยู่ในลาภและความเสื่อมลาภทั้งในการนับถือและ
การดูหมิ่น เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้นจึงทรง
เป็นผู้ไม่มีความขึ้งเคียด พระมหามุนีทรงมีพระทัย
เท่า ๆ กัน สำหรับ สรรพสัตว์ ทั้งในพระเทวทัต นาย
ขมังธนู องค์คุลิมาลโจร พระราหุลและช้างธนบาล
พระพุทธเจ้าเหล่านี้ ไม่ทรงมีความแค้นเคือง ไม่ทรง
มีความรัก สำหรับสัตว์ทั้งหมดคือ ทั้งเพชรฆาตและ
พระโอรส พระพุทธเจ้าทรงมีพระทัยเท่า ๆ กัน คน
เห็นอันตรายแล้วพึงประนมมือเหนือศีรษะไหว้ผ้ากา-
สาวพัสตร์ ที่เปื้อนอุจจาระอันเจ้าของทิ้งแล้ว ซึ่งเป็น
ธงของฤาษี พระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งในอดีตแสนนาน
ในปัจจุบัน และในอนาคต ทรงบริสุทธิ์เพราะธงนี้
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านี้นั้น จึงเป็นผู้ควร
นมัสการ ข้าพเจ้าย่อมจำทรงพระวินัยที่ดี ที่เป็น
กำหนดหมายของพระศาสดาไว้ด้วยใจ ข้าพเจ้า
จักน้อมนมัสการพระวินัยพักผ่อนอยู่ทุกเมื่อ พระวินัย
เป็นอัธยาศัยของข้าพเจ้า พระวินัยเป็นที่ยืนและที่
จงกรมของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสำเร็จการอยู่ในพระวินัย
พระวินัยเป็นอารมณ์ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าบรรลุถึง
บารมีในพระวินัย ทั้งเป็นผู้ฉลาดในสมถะ ข้าแต่
พระมหาวีระ ด้วยเหตุนั้น พระอุบาลีจึงไหว้แทบ
พระยุคลบาทของพระศาสดา ข้าพระองค์นั้นจัก

ออกจากบ้าน (นี้) ไปบ้าน (โน้น) จากเมือง (นี้)
ไปเมือง (โน้น) เที่ยวหานมัสการพระสัมมาสัมพุทธ-
เจ้า และความที่พระธรรมเป็นธรรมดี. กิเลสทั้งหลาย
ข้าพระองค์เผาแล้ว ภพทั้งหมดข้าพระองค์ถอนแล้ว
อาสวะทั้งหลายสิ้นไปหมดแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี
การมาของข้าพระองค์ในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประ-
เสริฐ เป็นการมาดีจริง ๆ วิชชา 3 ข้าพระองค์ได้
บรรลุแล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพระองค์
ได้ปฏิบัติแล้ว ปฏิสัมภิทา 4 วิโมกข์ 8 และอภิญญา 6
เหล่านี้ ข้าพระองค์ได้ทำให้แจ้งแล้ว คำสั่งสอนของ
พระพุทธเจ้าข้าพระองค์ได้ปฏิบัติแล้ว ดังนี้.

ก็ ณ ที่นั้น พระศาสดาทรงให้ท่านเรียนพระวินัยปิฎกทั้งหมดด้วย
พระองค์เอง ต่อมาภายหลัง ท่านได้วินิจฉัยเรื่อง 3 เรื่องเหล่านี้คือ เรื่องภารุ-
กัจฉุกะ 1 เรื่องอัชชุกะ 1 เรื่องพระกุมารกัสสปะ 1 เมื่อวินิจฉัยเสร็จแต่ละเรื่อง
พระศาสดาได้ทรงประทานสาธุการ ทรงทำการวินิจฉัยทั้ง 3 เรื่อง ให้เป็นอุบัติ
เหตุแล้ว ทรงตั้งพระเถระไว้ในตำแหน่งผู้เลิศกว่าพระวินัยธรทั้งหลาย อยู่มา
ภายหลังในวันอุโบสถ วันหนึ่ง เวลาแสดงปาติโมกข์ ท่านเมื่อโอวาทภิกษุ
ทั้งหลาย จึงได้กล่าวคาถาไว้ 3 คาถาว่า
ภิกษุผู้ออกบวชใหม่ๆ ด้วยศรัทธายังใหม่ต่อการ
ศึกษา ควรคบหากัลยาณมิตร ผู้มีอาชีพบริสุทธิ์ ไม่
เกียจคร้าน. ภิกษุออกบวชใหม่ๆ ด้วยศรัทธายังใหม่
ต่อการศึกษาควรพำนักอยู่ในหมู่สงฆ์ผู้ฉลาด ศึกษา

พระวินัย (ให้เข้าใจ). ภิกษุผู้ออกบวชใหม่ ๆ ด้วย
ศรัทธา ยังใหม่ต่อการศึกษาต้องเป็นผู้ฉลาด ในสิ่งที่
ควรและไม่ควร ไม่ควรประพฤติตนเป็นคนออกหน้า
ออกตา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สทฺธาย ความว่า เพราะศรัทธา
อธิบายว่า ไม่ใช่เพื่อเลี้ยงชีพ. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สทฺธาย ได้แก่เชื่อผล
กรรมและคุณพระรัตนตรัย.
บทว่า อภินิกฺขมฺม ความว่า ออกจากการครองเรือน.
บทว่า นวปพฺพชิโต ได้แก่ เป็นผู้บวชใหม่ คือบวชในปฐมวัย
นั่นเอง.
บทว่า นโว ได้แก่ ยังใหม่ คือยังรุ่นหนุ่ม ต่อการศึกษาศาสนา.
บทว่า มิตฺเต ภเวยฺย กลฺยาเณ สุทฺธาชีเว อตนฺทิเต (ควร
คบหากัลยาณมิตร ผู้มีอาชีพบริสุทธิ์ ไม่เกียจคร้าน) ความว่า ควรคบคือ
เข้าไปหากัลยาณมิตร ผู้มีลักษณะดังที่ตรัสไว้ โดยนัยมีอาทิว่า เป็นที่รัก
น่าเคารพนับถือ ชื่อว่ามีอาชีพบริสุทธิ์ เพราะเว้นจากมิจฉาชีพ และชื่อว่าผู้
ไม่เกียจคร้าน เพราะเป็นผู้ปรารภความเพียรแล้ว ได้แก่ ควรคบหาสมาคม
โดยการรับเอาโอวาทานุสาสนีของท่าน.
บทว่า สงฺฆสฺมึ วิหรํ ได้แก่ พักอยู่ในหมู่ คือในชุมนุมสงฆ์
โดยการบำเพ็ญวัตรและปฏิวัตร (วัตรต่าง ๆ).
บทว่า สิกฺขถ วินยํ พุโธ ความว่า ต้องเป็นผู้ฉลาดในความรู้
และความเข้าใจ ศึกษาปริยัติคือพระวินัย ด้วยว่า พระวินัยเป็นอายุ (ชีวิต)
ของพระศาสนา เมื่อพระวินัยยังคงอยู่ พระศาสนา ก็เป็นอันยังดำรงอยู่. แต่
บางอาจารย์กล่าวว่า พุโธ ความหมายก่อย่างนั้นเหมือนกัน.

บทว่า กปฺปากปฺเปสุ ความว่า เป็นผู้ฉลาด ในสิ่งที่ควรและไม่
ควร คือเป็นผู้ฉลาดละเมียดละไม (ในสิ่งเหล่านั้น) ด้วยอำนาจพระสูตร และ
ด้วยอำนาจอนุโลมตามพระสูตร.
บทว่า อปุรกฺขโต ได้แก่ ไม่ควรเป็นผู้ออกหน้าออกตา คือไม่
มุ่งหวังการเป็นหัวหน้าจากที่ไหนด้วยตัณหาเป็นต้นอยู่.
จบอรรถกถาอุบาลีเถรคาถา

12. อุตตรปาลเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระอุตตรปาลเถระ


[318] ได้ยินว่า พระอุตตรปาลเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เบญกามคุณ ทำเราผู้เป็นบัณฑิต สามารถ
คิดค้นประโยชน์ได้ให้ลุ่มหลงหนอ ให้เราตกอยู่ใน
โลก เราได้แล่นไปในวิสัยของมาร ถูกลูกศรปักอยู่
อย่างเหนียวแน่น แต่ก็สามารถเปลื้องตนออกจาก
บ่วงมัจจุราชได้ กามทั้งหมดเราละได้แล้ว ภพทั้ง-
หลายเราทำลายได้หมดแล้ว การเวียนเกิด (ชาติสง-
สาร) สิ้นสุดลงแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี.