เมนู

ผู้หนึ่งในจำนวนสมณะเหล่านั้น. ท่านผู้นี้ประสบความ
สุข ด้วยอาการอย่างนี้คือ ด้วยการรบอย่างดี ด้วย
ความปรารถนาดี (ของกัลยาณมิตร) ด้วยชัยชนะใน
สงคราม และด้วยพรหมจรรย์ ที่ประพฤติมาแล้ว
ตามลำดับ.


อรรถกถาขุชชโสภิตเถรคาถา


คาถาของท่านพระขุชชโสภิตเถระ มีคำขึ้นต้นว่า เย จิตฺตกถี
พหุสฺสุตา.
มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร ?
ได้ทราบว่า ท่านพระขุชชโสภิตเถระนี้ ในกาลของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า
ทรงนามว่า ปทุมุตตระ ได้เกิดในคฤหาสน์ของผู้มีสกุล รู้เดียงสาแล้ว
วันหนึ่ง เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปกับภิกษุสงฆ์จำนวนมาก มีใจ
เลื่อมใสได้กล่าวชมเชยด้วยคาถา 10 คาถา.
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านได้ท่องเที่ยวไปมาในเทวโลกและมนุษยโลก
มาในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในนครปาฏลีบุตร ได้
มีนามว่าโสภิตะ. แต่เพราะเป็นผู้ค่อมเล็กน้อย จึงปรากฏ ชื่อว่าขุชชโสภิตะ
นั่นเทียว. ท่านเจริญวัยแล้ว เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว ได้บวช
ในสำนักของท่านพระอานนทเถระ ได้อภิญญา 6. ด้วยเหตุนั้นใน
อปทาน ท่านจึงได้กล่าวไว้ว่า

พระนราสภ ผู้ทรงเป็นเทพเจ้าของเทพทั้งหลาย
เสด็จดำเนินไปบนถนน งดงามเหมือนเครื่องราชกกุธ-
ภัณฑ์ ใครเล่าเห็นแล้วจะไม่เลื่อมใส พระสัมมาสัม-
พุทธเจ้า ผู้ทรงยังความมืดมนอนธการให้พินาศไป
ให้คนจำนวนมากข้ามฟากได้ ทรงโชติช่วงอยู่ด้วยแสง
สว่าง คือ พระญาณ ใครเล่าเห็นแล้วจะไม่เลื่อมใส
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงเป็นนายกโลก ทรงนำ
สัตวโลกไป ทรงยกสัตวโลกจำนวนมากขึ้นด้วย (พระ
ปรีชาญาณ) จำนวนแสน ใครเล่าเห็นแล้วจะไม่เลื่อม
ใส พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงย่ำกลอง คือ พระธรรม
บดขยี้หมู่เดียรถีย์ บันลือสีหนาทอยู่ ใครเล่าเห็นแล้ว
จะไม่เลื่อมใส ทวยเทพพร้อมทั้งพระพรหม ตั้งแต่
พรหมโลก พากันมาทูลถามปัญหาที่ละเอียด ใครเล่า
เห็นแล้วจะไม่เลื่อมใส เหล่ามนุษย์พร้อมทั้งเทวดาพา
กันมาประนมมือทูลวิงวอนต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระ
องค์ใด ก็ได้บุญ เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้า พระ
องค์นั้น ใครเล่าเห็นแล้วจะไม่เลื่อมใส ปวงชนพากัน
มาชุมนุม ห้อมล้อมพระองค์ผู้มีพุทธจักษุ พระองค์ผู้
อันเขาทูลเชิญแล้ว ก็ไม่ทรงสะทกสะท้าน ใครเล่า
เห็นแล้วจะไม่เลื่อมใส เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระ
องค์ใด เสด็จเข้าพระนคร กลองจะดังขึ้นมากมาย
ช้างพลายที่เมามัน ก็พากันบันลือ ใครเล่าเห็นพระสัม-
มาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้นแล้ว จะไม่เลื่อมใส เมื่อ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด เสด็จดำเนินไปตาม
ถนน พระรัศมีของพระองค์ จะพวยพุ่งขึ้นสูง สม่ำ
เสมอทุกเมื่อ ใครเล่าเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระ
องค์นั้น แล้วจะไม่เลื่อมใส เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสออก
ไป จะได้ยินกันทั้งจักรวาล ให้สรรพสัตว์เข้าใจกัน
ทั่ว ใครเล่าเห็นพระองค์แล้วจะไม่เลื่อมใส ในกัปที่
แสน แต่กัปนี้ ข้าพเจ้าได้สรรเสริญพระพุทธเจ้า
พระองค์ใดไว้ ข้าพเจ้าไม่รู้จักทุคติเลย นี้คือผลแห่ง
การสรรเสริญพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น. กิเลสทั้งหลาย
ข้าพเจ้าได้เผาแล้ว ฯ ล ฯ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติแล้ว.

อนึ่ง ท่านเป็นผู้มีอภิญญา 6 ในสมัยมหาสังคายนาครั้งแรก ท่าน
ถูกพระสงฆ์ ผู้ประชุมกันที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา กรุงราชคฤห์ มีบัญชาว่า ท่าน
จงไปนิมนต์ท่านพระอานนทเถระมา จึงได้ดำดินลงไป โผล่ขึ้นตรงหน้าพระ
เถระ กราบเรียนให้ทราบแล้ว ตนเองได้ล่วงหน้าไปทางอากาศถึงประตูถ้ำ
สัตตบรรณคูหาก่อน. ก็สมัยนั้น เทวดาบางองค์ ที่หมู่เทวดาส่งไปเพื่อห้าม
พญามาร และพรรคพวกของพญามาร ได้ยืนที่ประตูถ้ำสัตตบรรณคูหา พระ
ขุชชโสภิตเถระ เมื่อจะบอกการมาของตนแก่เทวดาองค์นั้นได้กล่าวคาถาแรก
ไว้ว่า
สมณะเหล่าใดกล่าวถ้อยคำไพเราะ เป็นปกติ
เป็นพหสูต เป็นชาวเมืองปาฏลีบุตร ท่านพระขุชช-
โสภิตะ ซึ่งยืนอยู่ที่ประตูถ้ำนี้ เป็นรูปหนึ่งในจำนวน
สมณะเหล่านั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จิตฺตกถี คือเป็นผู้แสดงธรรมไพเราะ
เป็นปกติ อธิบายว่า เป็นผู้มีปกติพูดธรรม เหมาะกับอัธยาศัยของผู้อื่น
โดยนัยต่าง ๆ มีอาทิอย่างนี้คือ ย่อ พิสดาร ทำให้ลึกซึ้ง ทำให้ตื้น (ง่าย)
บรรเทาความสงสัยได้ ให้ผู้ฟังตั้งมั่นอยู่ในธรรมได้.
บทว่า พหุสฺสุตา ความว่า ชื่อว่าเป็นพหูสูต เพราะบริบูรณ์ด้วย
ความเป็นพหูสูต ทั้งทางปริยัติและปฏิเวธ ชื่อว่า เป็นสมณะ เพราะระงับบาป
ได้ โดยประการทั้งปวง.
บทว่า ปาฏลิปุตฺตวาสิโน เตสญฺญตฺโร ความว่า ภิกษุทั้งหลาย
ชื่อว่าอยู่ประจำกรุงปาฏลีบุตร เพราะอยู่ที่นครปาฏลีบุตร เป็นปกติ บรรดา
ภิกษุเหล่านั้น ท่านผู้มีอายุ คือท่านผู้มีอายุยืนนี้ เป็นรูปใดรูปหนึ่ง.
บทว่า ทฺวาเร ติฏฺฐิ ความว่า ยืนอยู่ที่ประตูถ้ำสัตตบรรณคูหา
อธิบายว่า เพื่อจะเข้าไปตามอนุมัติของสงฆ์. เทวดาครั้นได้ฟังคำนั้นแล้ว จึง
ประกาศการมาของพระเถระให้พระสงฆ์ทราบ ได้กล่าวคาถาที่ 2 ว่า
สมณะเหล่าใด เป็นผู้กล่าวธรรมวิจิตร เป็น
เป็นปกติ เป็นพหูสูต เป็นชาวเมืองปาฏลีบุตร ท่าน
รูปนี้มาด้วยฤทธิ์ ดุจลมพัด ยืนอยู่ที่ประตูถ้ำ เป็นรูป
หนึ่งในจำนวนสมณะเหล่านั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มาลุเตริโต ความว่า ผู้มาแล้ว ด้วย
ลมที่เกิดจากฤทธิ์ของจิต อธิบายว่า มาแล้วด้วยกำลังฤทธิ์.
พระเถระผู้ที่พระสงฆ์ให้โอกาสแล้ว ตามที่เทวดาองค์นั้น ได้ประกาศ
ให้ทราบอย่างนี้แล้ว เมื่อไปสำนักสงฆ์ ได้พยากรณ์พระอรหัตผล ด้วยคาถา
ที่ 3 นี้ว่า

ท่านผู้นี้ ประสบความสุข ด้วยอาการอย่างนี้
คือ ด้วยการรบอย่างดี ด้วยความปรารถนา (ของกัล
ยาณมิตร) ด้วยชัยชนะในสงคราม และด้วยพรหม
จรรย์ ที่ประพฤติมาแล้ว ตามลำดับ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุยุทฺเธน ความว่า ด้วยการรบอย่างดี
กับกิเลสทั้งหลาย ด้วยอำนาจแห่งตทังคปหาน (การละได้ด้วยองค์นั้น)
และวิกขัมภนปหาน (การละด้วยการข่มไว้).
บทว่า สุยิฏฺเฐน ความว่า ด้วยธรรมทานเป็นที่สบาย ที่กัลยาณมิตร
ทั้งหลายให้แล้ว ในระหว่าง ๆ. บทว่า สงฺคามวิชเยน จ ความว่า และ
ด้วยชัยชนะในสงความที่ได้แล้ว ด้วยอำนาจแห่งสมุจเฉทปหาน (การละได้โดย
เด็ดขาด). บทว่า พฺรหฺมจริยานุจิณฺเณน ความว่า ด้วยมรรคพรหมจรรย์
ชั้นยอด ที่พระพฤติมาแล้วตามลำดับ. บทว่า เอวายํ สุขเมธติ ความว่า
ท่านพระขุชชโสภิตเถระนี้ ย่อมประสบ อธิบายว่า เสวยอยู่ซึ่งความสุขคือพระ
นิพพานและความสุขอันเกิดแต่ผลสมาบัติ ด้วยประการอย่างนี้ คือ ด้วยประการ
ดังที่กล่าวมาแล้ว.
จบอรรถกถาขุชชโสภิตเถรคาถา

7. วารณเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระวารณเถระ


[313] ได้ยินว่า พระวารณเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
บรรดามนุษย์ในโลกนี้ นรชนใดเบียดเบียน
สัตว์เหล่าอื่น นรชนนั้นจะกำจัดหิตสุขในโลกทั้ง 2
คือ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ส่วนนรชนใด มีเมตตาจิต
อนุเคราะห์สัตว์ทั้งมวล นรชนนั้นผู้เช่นนั้น จะประสบ
บุญตั้งมากมาย เขาควรศึกษาธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัส
ไว้ดีแล้ว การเข้าไปนั่งใกล้สมณะ การอยู่แต่ผู้เดียว
ในที่ลับ และธรรมเครื่องสงบระงับจิต.

อรรถกถาวารณเถรคาถา


คาถาของพระวารณเถระ มีคำเริ่มต้นว่า โยธ โกจิ มนุสฺเสสุ.
มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร ?
แม้ท่านพระวารณเถระนี้ มีบุญญาธิการที่ได้ทำไว้แล้ว ในพระ-
พุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ เมื่อทำบุญไว้ในภพนั้น ๆ ในกัปที่ 92 (นับถอยหลัง)
แต่กัปนี้ไป ก่อนแต่การเสด็จอุบัติขึ้น ของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า
ติสสะนั่นเอง ได้เกิดในตระกูลพราหมณ์ เป็นผู้ถึงฝั่งในวิชาและศิลปะ