เมนู

อรรถกถาวัชชิตเถรคาถา


คาถาของท่านพระวัชชิตเถระ เริ่มต้นว่า สํสรํ ทีฆมทฺธานํ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ ทั้งหลาย เข้าไปสั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในปัจจันตคามแห่ง
หนึ่ง ในกัปที่ 65 แต่ภัทรกัปนี้ บรรลุนิติภาวะแล้ว เป็นพรานป่าท่องเที่ยว
ไป วันหนึ่ง ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า นามว่า อุปสันตะ ผู้อยู่ในถ้ำแห่ง
ภูเขา เขาเห็นความสงบระงับของท่าน แล้วมีใจเลื่อมใส ได้ทำการบูชาด้วย
ดอกจำปา.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิด
ในตระกูลที่มั่งคั่ง แคว้นโกศล ในพุทธุปบาทกาลนี้ จำเดิมแต่วันที่เขาเกิด
พอถึงมือมาตุคาม ก็ร้องไห้ ได้ยินว่า เขาจุติจากพรหมโลก มาในมนุษย-
โลกนี้ เพราะเหตุที่เขาทนการถูกต้องของมาตุคามไม่ได้ ฉะนั้น จึงได้นามว่า
วัชชิตะ เพราะเว้นจากการถูกต้องของมาตุคาม เขาเจริญวัยแล้ว เห็นยมก-
ปาฏิหาริย์ของพระศาสดา แล้วได้มีจิตศรัทธา บวชแล้ว เริ่มตั้งวิปัสสนา
ได้เป็นผู้มีอภิญญา 6 ในวันนั้นเอง. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ใน
อปทานว่า
พระสัมพุทธเจ้า ผู้สงบระงับ อาศัยอยู่ใน
ระหว่างภูเขา เราถือเอาดอกจำปาดอกหนึ่ง เข้าไป
หาท่านผู้สูงสุดกว่านระ มีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส
ประคองด้วยมือทั้งสอง บูชาพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้

เป็นมุนีอันอุดม ผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ ในกัปที่ 65 แต่
ภัทรกัปนี้ เราได้บูชาพระปัจเจกพุทธเจ้า ด้วยดอกไม้
ได้ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง
พุทธบูชา. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอน
ของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.
ก็พระเถระผู้มีอภิญญา 6 แล้ว ระลึกบุพเพนิวาสญาณ ของตนได้
ได้กล่าวคาถาสองคาถา ด้วยธรรมสังเวช ความว่า
เมื่อเรายังเป็นปุถุชน มืดมนอยู่ ไม่เห็นอริยสัจ
จึงได้ท่องเที่ยววนเวียนไปมาอยู่ ในคติทั้งหลาย ตลอด
กาลนาน บัดนี้ เราเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว กำจัด
สงสารได้แล้ว คติทั้งปวงเราก็ตัดขาดแล้ว บัดนี้ภพ
ใหม่ ไม่มี
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สํสรํ แปลว่า ท่องเที่ยวไปอยู่ ได้แก่
วิ่งไป ๆ มา ๆ ในภพนั้น ๆ ด้วยสามารถแห่งการยึดถือไว้ และการปล่อย
วาง.
บทว่า ทีฆมทฺธานํ ความว่า ท่องเที่ยวไปในสงสาร อันมีเบื้อง-
ต้นและที่สุดไม่ปรากฏ ตลอดกาลนาน คือตลอดกาลหาประมาณมิได้. บทว่า
คตีสุ ความว่า ในสุคติและทุคติทั้งหลาย ด้วยสามารถแห่งกรรมทั้งหลาย
ที่คนทำดี ทำชั่ว บทว่า ปริตสฺสํ ความว่า เมื่อหมุนไปรอบ ๆ ดุจเครื่อง
สูบน้ำ ชื่อว่า วนเวียนไป ๆ มา ๆ ด้วยสามารถแห่งการจุติและอุปบัติ.
ก็พระเถระกล่าวเหตุแห่งการท่องเที่ยววนเวียนนั้นว่า เมื่อเรายังเป็นปุถุชน
มืดมนอยู่ ไม่เห็นอริยสัจทั้งหลาย ดังนี้.

ประกอบความว่า บุคคลเมื่อไม่เห็นอริยสัจทั้งหลาย มีทุกขสัจ
เป็นต้น ด้วยญาณจักษุ เพราะยังไม่ได้แทงตลอด ชื่อว่า เป็นคนบอด
เพราะความมืดมน คืออวิชชานั่นเอง ชื่อว่า เป็นปุถุชน เพราะเหตุทั้งหลาย
อันให้เกิดความหนา (กิเลส) เป็นต้น จักวนเวียนไปในคติทั้งหลาย เพราะ
ความที่ตนยังเป็นปุถุชน. สมดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เพราะเหตุที่ยังไม่ได้ตรัสรู้ ไม่ได้แทงตลอดซึ่งอริยสัจ 4 ทั้งเรา
และเธอทั้งหลาย จึงวิ่งไปแล้ว ท่องเที่ยวไปแล้ว อย่างนี้ตลอดกาลนาน ดังนี้.
เมื่อเรานั้น ยังเป็นปุถุชน อยู่ในกาลก่อน โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล
บัดนี้ ไม่ประมาทแล้ว โดยนัยอันพระศาสดาทรงประทานแล้ว ยังสมถภาวนา
และวิปัสสนาภาวนา ให้ถึงที่สุดแล้ว ด้วยข้อปฏิบัติคือความไม่ประมาท ตั้ง
อยู่แล้ว.
บทว่า สํสารา วนฬีกตา ความว่า กรรมกิเลสทั้งหลายอันได้
นามว่า สงสาร เพราะเป็นที่ท่องเที่ยวไปของสัตว์ทั้งหลาย อันเรากระทำให้
หมดราก เพราะตัดขาดได้แล้วด้วยมรรคอันเลิศ ดังไม้อ้อที่มีรากปราศไปแล้ว.
บทว่า สพฺพา คตี สมุจฺฉินฺนา ความว่า คติทั้งหลายแม้ทั้งปวง
มีนรกเป็นต้น ชื่อว่า อันเราตัดขาดแล้ว คือ กำจัดแล้ว โดยชอบทีเดียว
เพราะกรรมวัฏ และกิเลสวัฎทั้งหลาย เราตัดได้ขาดแล้วอย่างนี้ เพราะเหตุ
นั้นแล บัดนี้จึงไม่มีภพใหม่อีกต่อไป. ก็และคาถาทั้งสองนี้แหละ ได้เป็น
คาถาพยากรณ์พระอรหัตผลของพระเถระ ดังพรรณนามานี้แล.
จบอรรถกถาวัชชิตเถรคาถา

9. สันธิตเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระสันธิตเถระ


[306] ได้ยินว่า พระสันธิตเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราเป็นผู้มีสติ ได้อนิจจสัญญาอันสหรคตด้วย
พุทธานุสติหนึ่ง อยู่ที่โคนอัสสัตถพฤกษ์อันสว่างไสว
ด้วยแสงแห่งไฟ แก้วมณี และผ้ามีสีเขียวงาม ความสิ้น
อาสวะเราได้บรรลุแล้วเร็วพลัน เพราะสัญญาที่เราได้
แล้วในครั้งนั้น ในกัปที่ 31 แต่ภัทรกัปนี้.

จบวรรคที่ 5
จบทุกนิบาต

อรรถกถาสันธิตเถรคาถา


คาถาของท่านพระสันธิตเถระ เริ่มต้นว่า อสฺสตฺเถ หริโตภาเส.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ ทั้งหลาย เข้าไปสั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ ได้เกิดเป็นนายโคบาลผู้หนึ่ง
ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า สิขี. เมื่อพระศาสดาเสด็จ
ปรินิพพานแล้ว เขาเข้าไปหาพระเถระรูปหนึ่ง ฟังธรรมอันปฏิสังยุตด้วย