เมนู

7. อนูปมเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระอนูปมเถระ


[304] ได้ยินว่า พระอนูปมเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
จิตถึงความเพลิดเพลิน เพราะธรรมใด ธรรมใด
ยกขึ้นสู่หลาว และจิตเป็นดังหลาว เป็นดังท่อนไม้
ขอท่านจงเว้นธรรมนั้น ๆ ให้เด็ดขาด ดูก่อนจิต เรา
กล่าวธรรมนั้นว่าเป็นธรรมมีโทษ เรากล่าวธรรมนั้น
ว่าเป็นเครื่องประทุษร้ายจิต พระศาสดาที่บุคคลหาได้
โดยยาก ท่านก็ได้แล้ว ท่านอย่ามาชักชวนเราในทาง
ฉิบหายเลย.

อรรถกถาอนูปมเถรคาถา


คาถาของท่านพระอนูปมเถระ เริ่มต้นว่า นนฺทมานาคตํ จิตฺตํ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ ทั้งหลาย เข้าไปสั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพ
นั้น เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกัปที่ 31 แต่ภัทรกัปนี้ บรรลุนิติภาวะ
แล้ว วันหนึ่งเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า นามว่า ปทุมะ เที่ยวบิณฑบาตไปใน
ถนน มีใจเลื่อมใส บูชาด้วยดอกปรู.

ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิด
ในตระกูลอันมั่งคั่ง แคว้นโกศล ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้นามว่า อนูปโม
เพราะสมบูรณ์ด้วยรูปสมบัติ ละกามทั้งหลาย บวชแล้ว เพราะความเป็นผู้
สมบูรณ์ด้วยอุปนิสัย กระทำกรรมในวิปัสสนา อยู่ในป่า จิตของท่านแล่นไป
ในอารมณ์ทั้งหลายมีรูปารมณ์เป็นต้น ในภายนอก กรรมฐานก็หมุนเปลี่ยน
แปลงไป. พระเถระเมื่อจะข่มจิตอันวิ่งไปอยู่ กล่าวเตือนตน ด้วยคาถา 2
คาถาเหล่านี้ ความว่า
จิตถึงความเพลิดเพลินเพราะธรรมใด ธรรมใด
ยกขึ้นสู่หลาว และจิตเป็นดังหลาว เป็นดังท่อนไม้
ขอท่านจงเว้นธรรมนั้น ๆ ให้เด็ดขาด ดูก่อนจิต
เรากล่าวธรรมนั้น ว่าเป็นธรรมที่มีโทษ เรากล่าวธรรม
นั้นว่า เป็นเครื่องประทุษร้ายจิต พระศาสดาที่บุคคล
หาได้โดยยาก ท่านก็ได้แล้ว ท่านอย่ามาชักชวนเรา
ในทางฉิบหายเลย
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นนฺทมานาคตํ จิตฺตํ ความว่า จิต
มาสู่ความเพลิดเพลิน ได้แก่ จิตที่ยินดีเพลิดเพลินภพนั้น ๆ แห่งตัณหาอัน
เป็นตัวเหตุแห่งความยินดีเพลิดเพลินในภพนั้น ๆ มาถึงความยินดี ความ
เพลิดเพลิน จากภพนั้นไปสู่ภพนี้.
บทว่า สูลมาโรปมานกํ ความว่า จิตอันกรรมกิเลสทั้งหลาย ยก
ขึ้นสู่ภพนั้น ๆ อันชื่อว่าหลาว เพราะเป็นเช่นกับหลาว โดยฐานะเป็นที่เกิด
แห่งทุกข์ ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้.
บทว่า เตน เตเนว วชสิ เยน สูลํ กลิงฺครํ ความว่า
ภพกล่าวคือหลาว แสะกามคุณกล่าวคือท่อนไม้ อันได้นามว่า เขียงสำหรับ

สำเร็จโทษ มีอยู่ในฐานะใด ๆ ท่านจะดำเนินไป คือเข้าถึงฐานะนั้น ๆ แหละ
ด้วยบาปจิตนั้น ๆ ทีเดียว ได้แก่ ไม่กำหนดความฉิบหายของตน.
บทว่า ตาหํ จิตฺตกลึ พฺรูมิ ความว่า เพราะฉะนั้น เราจึงกล่าว
ธรรมนั้นว่า เป็นโทษของจิต คือเป็นกาลกรรณีของจิต เพราะเป็นความ
ประมาท คือเราจะกล่าว คือจะบอกซ้ำถึงธรรมนั้น ว่าเป็นเครื่องประทุษร้าย
จิต คือบ่อนทำลายจิต เพราะนำมาซึ่งความฉิบหาย แก่สันดานอันมีอุปการะ
มากแก่ตน กล่าวคือจิต. บางอาจารย์กล่าวว่า จิตฺตทุพฺภคา บ้าง หมาย
ความว่า สภาพจิตที่ไม่มีบุญวาสนา (หรือ) จิตที่มีบุญน้อย. ถ้าจะมีผู้ถามว่า
จะบอกว่าอย่างไร ? ตอบว่า จะบอกว่า พระศาสดาที่บุคคลหาได้โดยยาก
ท่านก็ได้แล้ว คือ โลกว่างจากพระพุทธเจ้า มาเป็นเวลาหลายกัปนับไม่ถ้วน
แม้เมื่อพระศาสดาเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว สมบัติคือความเป็นมนุษย์ และการได้
เฉพาะซึ่งศรัทธาเป็นต้น ก็ยังเป็นของที่หาได้ยากโดยแท้ และเมื่อได้สมบัติ
เหล่านั้นแล้ว แม้พระศาสดาก็ยังหาไม่ได้อยู่นั่นเอง พระศาสดาผู้ที่บุคคลหา
ได้อย่างนี้ ท่านได้แล้วในบัดนี้ เมื่อเราได้พระศาสดานั้นแล้ว ท่านอย่ามา
ชวนเราในอกุศล อันมีแต่โทษหาประโยชน์มิได้ในปัจจุบัน และนำความฉิบ
หาย นำความเดือดร้อนมาให้ ในเวลาต่อไป. พระเถระเมื่อกล่าวสอนจิตของ
ตนอยู่อย่างนี้ นั่นแล เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว. สมดังคาถา
ประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
ในกาลนั้น พระสัมพุทธเจ้านามว่า ปทุมะ อยู่
ที่ภูเขาจิตตกูฏ เราได้เห็นพระสยัมภูพุทธเจ้า นั้นแล้ว
จึงเข้าไปเฝ้า ขณะนั้น เราเห็นต้นปรูมีดอกบาน จึง
เลือกเก็บแล้ว เอามาบูชาพระชินสัมพุทธเจ้า นามว่า

ปทุมะ ในกัปที่ 37 แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ทำกรรมใด
ไว้ในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้
เป็นผลแห่งพุทธบูชา. เราเผากิเลสแล้ว ฯลฯ คำสอน
ของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.
จบอรรถกถาอนูปมเถรคาถา


4. วัชชิตเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระวัชชิตเถระ


[305] ได้ยินว่า พระวัชชิตเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เมื่อเรายังเป็นปุถุชน มืดมนอยู่ไม่เห็นอริยสัจ
จึงได้ท่องเที่ยววนเวียนไปมาอยู่ในคติทั้งหลาย ตลอด
กาลนาน บัดนี้ เราเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว กำจัดสงสาร
ได้แล้ว คติทั้งปวงเราก็ตัดขาดแล้ว บัดนี้ภพใหม่
มิได้มี.