เมนู

ก็โดยกึ่งหนึ่งของบาทแรกในคาถานั้น พระเถระถามถึงการบรรลุ
พระอนาคามิมรรค อธิบายว่า อินทรีย์ทั้งหลายแม้ของพระอนาคามี ย่อมชื่อว่า
ถึงความสงบ คือหมดพยศ เพราะละกามราคะและพยาบาทได้แล้ว. การได้
เฉพาะซึ่งพระอรหัตมรรคย่อมมี ด้วยบาทคาถานอกนี้ เพราะว่า พระอรหันต์
ท่านเรียกว่า เป็นผู้ละมานะได้แล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ และเป็นผู้คงที่.
ครั้งนั้น ท่านพระพรหมาลิเถระ กล่าวย้ำคาถามีอาทิว่า กสฺสินฺทฺริ-
ยานิ
ซึ่งพระเถระผู้กำหนดความเพียรกล่าวไว้แล้ว เมื่อจะวิสัชนาความแห่ง
คาถานั้น ด้วยสามารถแห่งการน้อมเข้ามาในตน จึงพยากรณ์พระอรหัตผล
ด้วยคาถาที่ 2 มีอาทิว่า มยฺหินฺทฺริยานิ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มยฺหินฺทฺริยานิ ได้แก่ อินทรีย์มีจักษุ
เป็นต้นของเรา. บทที่เหลือมีนัยดังข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้วทั้งนั้น.
จบอรรถกถาพรหมาลิเถรคาถา

4. โมฆราชเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระโมฆราชเถระ


[301] ได้ยินว่า พระโมฆราชเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ดูก่อนโมฆราชภิกษุ ผู้มีผิวพรรณเศร้าหมอง
แต่มีจิตผ่องใส เธอเป็นผู้มีใจตั้งมั่นเป็นนิตย์ จักทำ
อย่างไร ตลอดราตรีแห่งเวลาอันหนาวเย็นเช่นนี้ ?
ข้าพระองค์ได้ฟังมาว่า ประเทศมคธ ล้วนแต่
สมบูรณ์ด้วยข้าวกล้า ข้าพระองค์พึงคลุมกายด้วยฟาง
แล้วนอนให้เป็นสุข เหมือนคนเหล่าอื่นที่มีการเป็นอยู่
เป็นสุข ฉะนั้น.