เมนู

อรรถกถาพรหมาลิเถรคาถา


คาถาของท่านพระพรหมาลิเถระ เริ่มต้นว่า กสฺสินฺทฺริยานิ สมลงฺ-
คตานิ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ ทั้งหลาย สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น ๆ
เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า วิปัสสี
บรรลุนิติภาวะแล้ว วันหนึ่ง เห็นพระศาสดาเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาต มีใจเลื่อมใส
ถวายบังคมแล้วได้ถวายผลมะม่วงกะล่อนทอง. พระศาสดาทรงกระทำ
อนุโมทนาแล้วเสด็จหลีกไป.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิด
ในตระกูลพราหมณ์ แคว้นโกศล ในพุทธุปบาทกาลนี้ ไดมีนามว่า พรหมาลี
บรรลุนิติภาวะแล้ว อันเหตุสมบัติตักเตือนอยู่ เกิดความสลดใจในสงสาร
บวชในพระพุทธศาสนา โดยอาศัยกัลยาณมิตรเช่นนั้น เรียนกรรมฐานที่
เหมาะสม อยู่ในป่า เจริญวิปัสสนาแล้ว ได้เป็นผู้มีอภิญญา 6 ต่อกาลไม่นาน
นัก เพราะความที่ตนเป็นผู้มีญาณแก่กล้าแล้ว. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าว
ไว้ในอปทานว่า
เราได้ถวายผลมะม่วงกะล่อนทอง แด่พระสัม-
พุทธเจ้า ผู้มีพระฉวีวรรณเหมือนดังทองคำ ผู้สมควร
รับเครื่องบูชา กำลังเสด็จดำเนินอยู่ในถนน ในกัปที่
91 แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายผลไม้ใดในกาลนั้น ด้วย

การถวายผลไม้นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง
การถวายผลไม้. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำ
สอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.
ก็พระเถระเป็นผู้มีอภิญญา 6 แล้ว ยังกาลเวลาให้ล่วงไปด้วยความสุข
อันเกิดแต่มรรค และด้วยความสุขอันเกิดแต่ผล วันหนึ่ง เมื่อจะกำหนดการ
ประกอบความเพียร อันพระเถระผู้กำหนดความเพียรกล่าวไว้ เจาะจงเฉพาะ
ภิกษุทั้งหลาย (ผู้อยู่) ในราวป่านั้น ได้กล่าวคาถา 2 คาถา ความว่า
อินทรีย์ของใครถึงความสงบแล้ว เหมือนม้าอัน
นายสารถีฝึกดีแล้ว แม้เทวดาทั้งหลาย ย่อมรักใคร่
ต่อผู้นั้น ผู้มีมานะอันละแล้ว ไม่มีอาสวะ ผู้คงที่
อินทรีย์ทั้งหลายของเราก็ถึงความสงบแล้ว เหมือนม้า
อันนายสารถีฝึกดีแล้ว แม้เทวดาทั้งหลายก็พากัน
รักใคร่ต่อเรา ผู้มีมานะอันละแล้ว ไม่มีอาสวะเป็น
ผู้คงที่
ดังนี้.
คาถาทั้งสองนั้น มีอธิบายว่า เมื่อภิกษุทั้งหลายอยู่กันในราวป่านี้
อินทรีย์ทั้งหลายมีใจเป็นที่ 6 ของใคร คือ ของภิกษุผู้เป็นเถระ หรือนวกะ
หรือมัชฌิมะ ถึงความสงบ คือความเป็นอินทรีย์ที่ฝึกแล้ว ได้แก่ ความเป็น
อินทรีย์ที่หมดพยศ เหมือนม้าอัสดรที่ถูกนายสารถีผู้ฉลาดฝึกแล้ว ฉะนั้น.
แม้เทวดาก็กระหยิ่ม แม้มนุษย์ทั้งหลายก็ปรารถนาดี โดยการแสดงสัมมาปฏิบัติ
เป็นต้น ต่อใคร ผู้ชื่อว่ามีมานะอันละได้แล้ว เพราะละมานะมีอย่าง 9 ได้
แล้วตั้งอยู่ ผู้ชื่อว่าไม่มีอาสวะ เพราะไม่มีอาสวะแม้ทั้ง 4 อย่าง ผู้ชื่อว่าคงที่
ด้วยการปฏิบัติลักษณะของผู้คงที่ในอิฏฐารมณ์เป็นต้น.

ก็โดยกึ่งหนึ่งของบาทแรกในคาถานั้น พระเถระถามถึงการบรรลุ
พระอนาคามิมรรค อธิบายว่า อินทรีย์ทั้งหลายแม้ของพระอนาคามี ย่อมชื่อว่า
ถึงความสงบ คือหมดพยศ เพราะละกามราคะและพยาบาทได้แล้ว. การได้
เฉพาะซึ่งพระอรหัตมรรคย่อมมี ด้วยบาทคาถานอกนี้ เพราะว่า พระอรหันต์
ท่านเรียกว่า เป็นผู้ละมานะได้แล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ และเป็นผู้คงที่.
ครั้งนั้น ท่านพระพรหมาลิเถระ กล่าวย้ำคาถามีอาทิว่า กสฺสินฺทฺริ-
ยานิ
ซึ่งพระเถระผู้กำหนดความเพียรกล่าวไว้แล้ว เมื่อจะวิสัชนาความแห่ง
คาถานั้น ด้วยสามารถแห่งการน้อมเข้ามาในตน จึงพยากรณ์พระอรหัตผล
ด้วยคาถาที่ 2 มีอาทิว่า มยฺหินฺทฺริยานิ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มยฺหินฺทฺริยานิ ได้แก่ อินทรีย์มีจักษุ
เป็นต้นของเรา. บทที่เหลือมีนัยดังข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้วทั้งนั้น.
จบอรรถกถาพรหมาลิเถรคาถา

4. โมฆราชเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระโมฆราชเถระ


[301] ได้ยินว่า พระโมฆราชเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ดูก่อนโมฆราชภิกษุ ผู้มีผิวพรรณเศร้าหมอง
แต่มีจิตผ่องใส เธอเป็นผู้มีใจตั้งมั่นเป็นนิตย์ จักทำ
อย่างไร ตลอดราตรีแห่งเวลาอันหนาวเย็นเช่นนี้ ?
ข้าพระองค์ได้ฟังมาว่า ประเทศมคธ ล้วนแต่
สมบูรณ์ด้วยข้าวกล้า ข้าพระองค์พึงคลุมกายด้วยฟาง
แล้วนอนให้เป็นสุข เหมือนคนเหล่าอื่นที่มีการเป็นอยู่
เป็นสุข ฉะนั้น.