เมนู

เพราะความที่แห่งศีลเข้าไปผูกพันกับศรัทธา และซึ่งความเลื่อมใสในพระรัตน-
ตรัย อันเป็นไปแล้วอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว พระสงฆ์ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ดังนี้
และซึ่งการเห็นจตุราริยสัจจธรรม ด้วยสามารถแห่งการกำหนดรู้ด้วยมรรค
ปัญญา อันประกอบด้วยวิปัสสนาปัญญาเป็นต้น อธิบายว่า พึงกระทำความ
ขวนขวาย คือความเพียรในธรรมมีศรัทธาเป็นต้นนั้น.
จบอรรถกถาธรรมปาลเถรคาถา

3. พรหมาลิเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระพรหมาลิเถระ


[300] ได้ยินว่า พระพรหมาลิเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
อินทรีย์ของใครถึงความสงบแล้ว เหมือนม้าอัน
นายสารถีฝึกดีแล้ว แม้เทวดาทั้งหลาย ย่อมรักใคร่
ต่อผู้นั้น ผู้มีมานะอันละแล้ว ไม่มีอาสวะ ผู้คงที่
อินทรีย์ทั้งหลายของเราก็ถึงความสงบแล้ว เหมือนม้า
อันนายสารถีฝึกดีแล้ว แม้เทวดาทั้งหลายก็พากันรัก
ใคร่ต่อเรา ผู้มีมานะอันละแล้ว ไม่มีอาสวะ ผู้คงที่.

อรรถกถาพรหมาลิเถรคาถา


คาถาของท่านพระพรหมาลิเถระ เริ่มต้นว่า กสฺสินฺทฺริยานิ สมลงฺ-
คตานิ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ ทั้งหลาย สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น ๆ
เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า วิปัสสี
บรรลุนิติภาวะแล้ว วันหนึ่ง เห็นพระศาสดาเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาต มีใจเลื่อมใส
ถวายบังคมแล้วได้ถวายผลมะม่วงกะล่อนทอง. พระศาสดาทรงกระทำ
อนุโมทนาแล้วเสด็จหลีกไป.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิด
ในตระกูลพราหมณ์ แคว้นโกศล ในพุทธุปบาทกาลนี้ ไดมีนามว่า พรหมาลี
บรรลุนิติภาวะแล้ว อันเหตุสมบัติตักเตือนอยู่ เกิดความสลดใจในสงสาร
บวชในพระพุทธศาสนา โดยอาศัยกัลยาณมิตรเช่นนั้น เรียนกรรมฐานที่
เหมาะสม อยู่ในป่า เจริญวิปัสสนาแล้ว ได้เป็นผู้มีอภิญญา 6 ต่อกาลไม่นาน
นัก เพราะความที่ตนเป็นผู้มีญาณแก่กล้าแล้ว. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าว
ไว้ในอปทานว่า
เราได้ถวายผลมะม่วงกะล่อนทอง แด่พระสัม-
พุทธเจ้า ผู้มีพระฉวีวรรณเหมือนดังทองคำ ผู้สมควร
รับเครื่องบูชา กำลังเสด็จดำเนินอยู่ในถนน ในกัปที่
91 แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายผลไม้ใดในกาลนั้น ด้วย