เมนู

9. อุสภเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระอุสเถระ


[296] ได้ยินว่า พระอุสภเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราฝันว่า ได้ห่มจีวรสีอ่อนเฉวียงบ่า นั่งบน
คอช้าง เข้าไปบิณฑบาตยังหมู่บ้าน พอเข้าไปก็ถูก
มหาชนพากันมารุมมุงดูอยู่ จึงลงจากคอช้าง กลับ
ลืมตาตื่นขึ้นแล้ว ครั้งนั้นได้ความสลดใจว่า ความฝัน
นี้เราไม่มีสติสัมปชัญญะ นอนหลับฝันเห็นแล้ว
ครั้งนั้น เราเป็นผู้กระด้างมัวเมา เพราะชาติสกุล ได้
ความสังเวชแล้ว จึงบรรลุความสิ้นอาสวะ.


อรรถกถาอุสภเถรคาถา


คาถาของท่านพระอุสภเถระ เริ่มต้นว่า อมฺพปลฺลวสงฺกาสํ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ กระทำบุญไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของพระผู้มี
พระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สิขี บรรลุนิติภาวะแล้ว วันหนึ่งเห็นพระศาสดา
เสด็จเที่ยวไปบิณฑบาต มีใจเลื่อมใส ได้ถวายผลสะคร้อ.

ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิด
ในตระกูลแห่งเจ้าศากยะ กรุงกบิลพัสดุ์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้นามว่า
อุสภะ เจริญวัยแล้ว เห็นพุทธานุภาพในสมาคมพระญาติของพระศาสดา
ได้มีจิตศรัทธาบวชแล้ว.
จำเดิมแต่เวลาที่บวชแล้ว พระอุสภะไม่บำเพ็ญสมณธรรม ยินดีใน
การคลุกคลีด้วยหมู่ในกลางวัน ชอบนอนหลับตลอดทั้งคืน ยังเวลาให้ล่วงไป.
วันหนึ่ง ท่านปล่อยสติ ขาดสัมปชัญญะนอนหลับ ฝันเห็นตนเอง ปลงผมและ
หนวดแล้ว ห่มจีวรสีใบมะม่วงอ่อน นั่งบนคอช้าง เข้าไปสู่พระนครเพื่อ
บิณฑบาต เพื่อมนุษย์ทั้งหลายมาชุมนุมกันในที่นั้นนั่นแล จึงลงจากคอช้าง
ด้วยความละอาย ตื่นขึ้น เกิดความสลดใจว่า เราปล่อยสติไม่มีสัมปชัญญะ
นอนหลับฝันเห็นเป็นเช่นนี้ไป ดังนี้ แล้วเริ่มตั้งวิปัสสนา บรรลุพระอรหัต
ต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
ในกาลนั้น เราได้ถวายผลสะคร้อ แด่พระ-
นราสภผู้ประเสริฐกว่าทวยเทพ งามเหมือนต้นรกฟ้า
ขาว กำลังเสด็จดำเนินอยู่ในถนน ในกัปที่ 31 แต่
ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายผลไม้ใดในกาลนั้น ด้วยการ
ถวายผลไม้นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการ
ถวายผลไม้. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอน
ของพระพุทธเจ้า เราทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.
ลำดับนั้น พระเกระทำความฝันตามที่ตนเห็นแล้วนั่นแล ให้เป็นข้อ
พยากรณ์พระอรหัตผล โดยระบุถึงความฝันนั้นนั่นแล เพราะความที่ตนได้
บรรลุพระอรหัตผลแล้ว ได้กล่าวคาถา 2 คาถา ความว่า
เราฝันว่า ได้ห่มจีวรสีอ่อนเฉวียงบ่า นั่งบน
คอช้าง เข้าไปบิณฑบาตยังหมู่บ้าน พอเข้าไปก็ถูก

มหาชนพากันมารุมมุงดูอยู่ จึงลงจากคอช้าง กลับ
ลืมตาตื่นขึ้นแล้ว ครั้งนั้น เราได้ความสลดใจว่า ความ
ฝันนี้ เราไม่มีสติสัมปชัญญะ นอนหลับฝันเห็นแล้ว
ครั้งนั้น เราเป็นผู้กระด้าง ด้วยความมัวเมา เพราะ
ชาติสกุล ได้ความสังเวชแล้ว ได้บรรลุความสิ้นอาสวะ

ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อมฺพปลฺลวสงฺกาสํ อํเส กตฺวาน
จีวรํ
ความว่า เอาจีวรมีสีดังแก้วประพาฬ มีอาการดังใบมะม่วงอ่อนคล้องคอ
โดยทำเป็นเฉวียงบ่า.
บทว่า คามํ ความว่า นั่งบนคอช้าง เข้าไปสู่ราชธานีของตน เพื่อ
บิณฑบาต พอเข้าไปแล้วเท่านั้น ก็ถูกมหาชน (ห้อมล้อม) แลดู จึงลงจาก
คอช้าง ยืนอยู่ ตื่นขึ้นแล้ว พอตื่นแล้วเท่านั้น ก็ได้ความสลดใจในครั้งนั้นว่า
ความฝันนั้นเกิดแล้ว เพราะเราปล่อยสติ ไม่มีสัมปชัญญะ ก้าวลงสู่ความหลับ
ดังนี้.
ส่วนอาจารย์พวกอื่นกล่าวว่า พระอุสภเถระยังเป็นพระราชาอยู่นั่นแล
เห็นความฝันเช่นนี้ ในเวลากลางคืน เมื่อราตรีสว่างแล้ว จึงขึ้นสู่คอช้าง
เสด็จเที่ยวไปในถนนของพระนคร ทรงระลึกถึงความฝันนั้น จึงเสด็จลงจาก
คอช้าง ได้ความสลดพระทัย ทรงผนวชในสำนักของพระศาสดา บรรลุพระ-
อรหัตแล้ว เมื่อเปล่งอุทาน ได้กล่าวคาถาเหล่านี้แล้ว.
บทว่า ทิตฺโต ประกอบความว่า ในเวลาที่ได้เสวยราชย์นั้น เรา
เป็นผู้กระด้าง ด้วยความมัวเมา เพราะชาติและความมัวเมาเพราะโภคะเป็นต้น
ได้ความสลดใจแล้ว.
จบอรรถกถาอุสภเถรคาถา

10. กัปปฏกุรเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระกัปปฏกุรเถระ


[296] ได้ยินว่า พระกัปปฏกุรเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
กัปปฏกุรภิกษุ เกิดความวิตกผิด ๆ ว่า เราจัก
นุ่งห่มผ่าผืนนี้แล้ว จักเลี้ยงชีพตามมีตามเกิด เมื่อน้ำ
ใสคืออมตธรรมของเรา มีอยู่ เต็มเปี่ยมในหม้ออมตะ
เราเอาบาตรตักน้ำคืออมตธรรม ใส่ในหม้ออมตะ
เพื่อสั่งสมฌานทั้งหลาย ดูก่อนกัปปฏะ ท่านอย่ามา
นั่งโงกง่วงอยู่ด้วยคิดว่า จักฟังธรรม เมื่อเราแสดง
ธรรมอยู่ ในที่ใกล้หูของท่านเช่นนี้ ท่านอย่ามัวนั่ง
โงกง่วงอยู่ ดูก่อนกัปปฏะ ท่านนั่งโงกง่วงอยู่ ใน
ท่ามกลางสงฆ์เช่นนี้ ไม่รู้จักประมาณเลย.

จบวรรคที่ 4

อรรถกถากัปปฏกุรเถรคาถา


คาถาของพระกัปปฏกุรเถระ เริ่มต้นว่า อยมิติ กปฺปโฏ. เรื่อง
ราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของพระ