เมนู

อรรถกถาสัมพุลกัจจายนเถรคาถา


คาถาของพระสัมพุลกัจจายนเถระ เริ่มต้นว่า เทโว จ. เรื่องราว
ของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ กระทำบุญไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในที่สุดแห่งกัป
ที่ 94 แต่ภัทรกัปนี้ บรรลุนิติภาวะแล้ว วันหนึ่ง เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
นามว่า สตรังสี ออกจากนิโรธแล้วเที่ยวไปบิณฑบาต มีใจเลื่อมใสแล้ว ได้
ถวายผลตาล.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บังเกิด
ในตระกูลคฤหบดี แคว้นมคธ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้นามว่า สัมพุละ
เพราะความที่ท่านเป็นกัจจายนโคตร จึงมีนามปรากฏว่า สัมพุลกัจจายนะ.
เขาเจริญวัยแล้ว ฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา ได้มีศรัทธา
จิต บวชแล้วเจริญวิปัสสนาอยู่ในถ้ำแห่งภูเขาชื่อว่า เภรวะ ครั้นวันหนึ่ง
เมฆที่เกิดขึ้นในสมัยใช่กาลกลุ่มใหญ่ หนาตั้งร้อยชั้นพันชั้น ร้อง คำราม
ยังสายฟ้าให้แลบแปลบปลาบ ร้องครืน ๆ ตั้งขึ้น ตั้งท่าจะตก. สัตว์
ทั้งหลาย มีหมี หมาไน ควายป่า และช้างเป็นต้น ฟังเสียงนั้นแล้ว สะดุ้ง
ตกใจกลัว รองลั่น อย่างหวาดกลัว.
ส่วนพระเถระ ไม่มีความอาลัยในร่างกายและชีวิต ปราศจากความ
ขนพองสยองเกล้า ไม่สนใจเสียงนั้น มุ่งกระทำกรรมในวิปัสสนาอย่างเดียว
เท่านั้น เพราะความเป็นผู้มีวิปัสสนาอันปรารภแล้ว เป็นผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว
เพราะความร้อนในฤดูร้อนผ่านไป และเพราะได้ฤดูเป็นที่สบาย ขวนขวาย
วิปัสสนาแล้ว บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยอภิญญา 6 ในขณะนั้นเอง. สมดัง
คาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ ในอปทานว่า

พระผู้มีพระภาคะ ผู้สยัมภู นามว่า สตรังสี
ไม่พ่ายแพ้อะไร ๆ ใคร่ต่อความวิเวก ตรัสรู้ด้วยตนเอง
ออกบิณฑบาต เราถือผลไม้อยู่ได้เห็นแล้ว จึงได้เข้า
ไปเฝ้าพระนราสภ เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ได้
ถวายผลตาล ในกัปที่ 94 แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวาย
ผลไม้ใด ในกาลนั้น ด้วยการถวายผลตาลนั้น เรา
ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายผลตาล. เรา
เผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า
เรากระทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.
ก็พระเถระ บรรลุพระอรหัตแล้ว พิจารณาดูข้อปฏิบัติของตน เกิด
ความโสมนัส เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล ด้วยสามารถแห่งอุทาน ได้กล่าว
คาถา 2 คาถา ความว่า
ฝนก็ตก ฟ้าก็ร้องครืน ๆ เราอยู่ในถ้ำอันน่า
กลัวแต่คนเดียว ความกลัว ความสะดุ้ง หวาดเสียว
หรือขนลุกขนพอง มิได้มีเลย การที่เราอยู่ในถ้ำอัน
น่ากลัว แต่ผู้เดียว ไม่มีความหวาดกลัว หรือสะดุ้ง
หวาดเสียว นี้ เป็นธรรมดาของเรา
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เทโว จ วสฺสติ เทโว จ คฬค-
ฬายติ
ความว่า ฝนคือเมฆ ก็ตก ฟ้าก็ร้องเสียงดังครืน ๆ ก็บทว่า
คฬคฬา นี้ กระทำเสียง ตามเสียงฟ้าร้องคำราม. บทว่า เอกโก จาหํ
เภรเว พิเล วิหรามิ
ความว่า ก็เราตัวคนเดียว ไม่มีเพื่อน อยู่ในถ้ำ
แห่งภูเขา อันมีภัยตั้งอยู่เฉพาะหน้า เมื่อเรานั้นเป็นอย่างนี้ ความกลัว

ความหวาดเสียว ความขนลุกขนพอง ย่อมไม่มีแก่เราผู้มีสติ ได้แก่ ความ
กลัวที่หมายรู้กันว่า ความสะดุ้งแห่งจิตก็ดี ความหวาดเสียวแห่งร่างกาย อัน
มีความกลัวนั้นเป็นนิมิตก็ดี ความเป็นผู้มีขนพองสยองเกล้าก็ดี ย่อมไม่มี
(แก่เรา). เพราะเหตุไร ? เพราะ พระเถระกล่าวเหตุในข้อนั้นไว้ว่า ธมฺมตา
มเมสา
(นี้เป็นธรรมดาของเรา).
แท้จริง พระเถระพยากรณ์พระอรหัตผลว่า อันภัยเป็นต้น พึงมี
แก่บุคคลผู้ไม่ได้กำหนดรู้วัตถุ เพราะยังละฉันทราคะในวัตถุนั้นไม่ได้ แต่
ภัยในวัตถุนั้น เรากำหนดรู้แล้วโดยประการทั้งปวง ทั้งฉันทราคะในวัตถุนั้น
เราก็ตัดขาดแล้ว เพราะฉะนั้น ภัยเป็นต้นจึงไม่มี นี้เป็นธรรมดาของเรา คือ
ข้อนี้ เป็นสภาพแห่งธรรมของเรา.
จบอรรถกถาสัมพุลกัจจยนเถรคาถา

6. ขิตกเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระขิตกเถระ


[293] ได้ยินว่า พระขิตกเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
จิตของใครตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวดังภูเขา ไม่กำ-
หนัดแล้วในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ไม่
ขัดเคืองในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง ผู้ใด
อบรมจิตได้อย่างนี้ ทุกข์จักมาถึงผู้นั้น แต่ที่ไหน จิต
ของเราตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ดังภูเขา จิตของเราไม่
กำหนัดแล้ว ในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
ไม่ขัดเคืองในอารมณ์ เป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง เรา
อบรมจิตได้แล้วอย่างนี้ ทุกข์จักมาถึงเราแต่ที่ไหน ๆ.