เมนู

อรรถกถาอุปวาณเถรคาถา


คาถาของท่านพระอุปวาณเถระ เริ่มต้นว่า อรหํ สุคโต. เรื่องราว
ของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า พระเถระนี้บังเกิดในตระกูลที่ยากจน ในกาลของพระผู้มี
พระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ บรรลุนิติภาวะแล้ว เมื่อพระผู้มี
พระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว เมื่อมวลมนุษย์ เทวดา นาค ครุฑ กุมภัณฑ์
ยักษ์ และคนธรรพ์ทั้งหลาย เก็บพระธาตุของพระองค์มากระทำพระสถูป
สำเร็จด้วยรัตนะ 7 สูง 7 โยชน์ เขาได้เอาผ้าอุตราสงค์ของตน ซึ่งขาวสะอาด
บริสุทธิ์ ผูกปลายไม้ไผ่ทำเป็นธงแล้วทำการบูชา. ยักษ์ผู้เสนาบดี นามว่า
อภิสัมมตะ อันเทวดาทั้งหลายแต่งตั้งไว้ เพื่ออารักขาสถานที่บูชาพระเจดีย์
มีกายไม่ปรากฏ ถือธงนั้น ทรงไว้ในอากาศ กระทำประทักษิณพระเจดีย์
3 รอบ. เขาเห็นดังนั้น ได้เป็นผู้มีใจเลื่อมใส เกินประมาณ.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิด
ในตระกูลพราหมณ์ ในพระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้นามว่า
อุปวาณะ เจริญวัยแล้ว เห็นพุทธานุภาพในคราวที่ทรงรับมอบพระวิหาร
ชื่อว่า เชตวัน เป็นผู้มีจิตศรัทธาบวชแล้ว กระทำกรรมในวิปัสสนา บรรลุ
พระอรหัตแล้ว ได้เป็นผู้มีอภิญญา 6. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ใน
อปทานว่า
พระสัมพุทธชินเจ้า พระนามว่า ปทุมุตตระ
ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง ทรงรุ่งเรืองดังกองไฟ เสด็จ
ปรินิพพาแล้ว มหาชนมาประชุมกันบูชาพระตถาคต

กระทำจิตกาธารอย่างสวยงามแล้ว ปลงพระสรีระ
มหาชนทั้งหมดพร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ ทำสรีรกิจ
เสร็จแล้ว รวบรวมพระธาตุไว้ ณ ที่นั้น ได้สร้าง
พระสถูปขึ้นไว้ ชั้นที่ 1 แห่งพระพุทธสถูปนั้น สำเร็จ
ด้วยทอง ชั้นที่ 2 สำเร็จด้วยแล้วมณี ชั้นที่ 3 สำเร็จ
ด้วยเงิน ชั้นที่ 4 สำเร็จด้วยแก้วผลึก ชั้นที่ 5 ใน
พระพุทธสถูปนั้น สำเร็จด้วยแก้วทับทิม ชั้นที่ 6
สำเร็จด้วยแก้วลาย (เพชรตาแมว) ชั้นบนสำเร็จด้วย
รัตนะล้วน ทางเดินสำเร็จด้วยแก้วมณี ไพทีสำเร็จ
ด้วยรัตนะ พระสถูปสำเร็จด้วยทองล้วน ๆ สูงสุด
1 โยชน์ เวลานั้นเทวดาทั้งหลายมาร่วมประชุมปรึกษา
กัน ณ ที่นั้นว่า แม้พวกเราก็จักสร้างพระสถูปถวายแด่
พระโลกนาถผู้คงที่ พระธาตุจะได้ไม่เรี่ยราย พระ-
สรีระจะรวมเป็นอันเดียวกัน เราทั้งหลายจะทำกุญแจ
ใส่ในพระสถูปนี้ เทวดาทั้งหลายจึงยังโยชน์อื่น ให้
เจริญด้วยรัตนะ 7 ประการ (คือเทวดานิรมิตพระสถูป
ให้สูงขึ้นอีกโยชน์หนึ่ง ด้วยรัตนะ 7 ประการ) พระ-
สถูปจึงสูง 2 โยชน์ สว่างไสวขจัดความมืดได้ นาค
ทั้งหลายมาประชุมร่วมปรึกษากัน ณ ที่นั้น ในเวลา
นั้นว่า มนุษย์และเทวดาได้สร้างพระสถูปแล้ว เรา
ทั้งหลายอย่าได้ประมาทเลย ดังมนุษย์กับเทวดาไม่
ประมาท แม้พวกเราก็จักสร้างพระสถูปถวายแด่พระ
โลกนาถผู้คงที่ นาคเหล่านั้น จึงร่วมกันรวบรวมแก้ว

อินทนิล แก้วมหานิล และแก้วมณีมีรัศมี โชติช่วง
ปกปิดพระพุทธสถูป พระพุทธเจดีย์ประมาณเท่านั้น
สำเร็จด้วยแก้วมณีล้วน สูงสุด 3 โยชน์ ส่องแสง
สว่างไสวในเวลานั้น ฝูงครุฑมาประชุมร่วมปรึกษากัน
ในเวลานั้นว่า มนุษย์เทวดาและนาค ได้สร้างพระพุทธ-
สถูปแล้ว เราทั้งหลายอย่าประมาทเลย ดังมนุษย์
เป็นต้น กับเทวดาไม่ประมาท แม้พวกเราก็จักสร้าง
สถูปถวายแด่พระโลกนาถผู้คงที่ ฝูงครุฑจึงได้สร้าง
พระสถูปอันสำเร็จด้วยแก้วมณีล้วน และกุญแจก็เช่น
นั้น ได้สร้างพระพุทธเจดีย์ต่อขึ้นไป ให้สูงขึ้นอีก
โยชน์หนึ่ง พระพุทธสถูปสูงสุด 4 โยชน์ รุ่งเรืองอยู่
ยังทิศทั้งปวงให้สว่างไสว ดังพระอาทิตย์อุทัย ฉะนั้น
และพวกกุมภัณฑ์ก็มาประชุมร่วมปรึกษากัน ในเวลา
นั้นว่า พวกมนุษย์และพวกเทวดา ฝูงนาคและฝูงครุฑ
ได้สร้างพระสถูปอันอุดม ถวายเฉพาะแด่พระพุทธเจ้า
ผู้ประเสริฐ พวกเราอย่าได้ประมาทเลย ดังมนุษย์
เป็นต้นกับเทวดาไม่ประมาท แม้พวกเราก็จักสร้าง
พระสถูปถวาย แด่พระโลกนาทผู้คงที่ พวกเราจักปิด
พระพุทธเจดีย์ ต่อขึ้นไปด้วยรัตนะ พวกกุมภัณฑ์ได้
สร้างพระพุทธเจดีย์ต่อขึ้นไปในที่สุดอีกโยชน์หนึ่ง
เวลานั้นพระสถูปสูงสุด 5 โยชน์ สว่างไสวอยู่ พวก
ยักษ์มาประชุมร่วมปรึกษากัน ณ ที่นั้น ในเวลานั้นว่า
เวลานั้น มนุษย์ เทวดา นาค กุมภัณฑ์ และครุฑ

ได้พากันสร้างสถูปอันอุดมถวาย เฉพาะพระพุทธเจ้า
ผู้ประเสริฐสุด พวกเราอย่าได้ประมาทเลย ดังมนุษย์
เป็นต้น พร้อมกับเทวดาไม่ประมาท แม้พวกเราก็จัก
สร้างสถูปถวายแด่พระโลกนาถผู้คงที่ พวกเราจัก
ปกปิดพระพุทธเจดีย์ต่อขึ้นไปด้วยแก้วผลึก พวกยักษ์
จึงสร้างพระพุทธเจดีย์ต่อขึ้นไป ในที่สุดอีกโยชน์หนึ่ง
เวลานั้น พระสถูปจึงสูงสุด 6 โยชน์ สว่างไสวอยู่ พวก
คนธรรพ์มาประชุมร่วมปรึกษากัน ในเวลานั้นว่า สัตว์
ทั้งปวง คือ มนุษย์ เทวดา นาค ครุฑ กุมภัณฑ์ และ
ยักษ์ พากันสร้างพระสถูปแล้ว บรรดาสัตว์เหล่านี้
พวกเรายังไม่ได้สร้าง แม้พวกเราก็จักสร้างสถูป
ถวายแด่พระโลกนาถเจ้าผู้คงที่ พวกคนธรรพ์จึงพากัน
สร้างไพที 7 ชั้น ได้สร้างตลอดทางเดิน เวลานั้น
พวกคนธรรพ์ได้สร้างสถูปสำเร็จด้วยทองคำล้วน ใน
กาลนั้น พระสถูปจึงสูง 7 โยชน์ สว่างไสวอยู่
กลางคืนกลางวันไม่ปรากฏ แสงสว่างมีอยู่เสมอไป
พระจันทร์และพระอาทิตย์ พร้อมทั้งดาว ครอบงำรัศมี
พระสถูปนั้นไม่ได้ ก็แสงสว่างโพลงไปไกล 100
โยชน์โดยรอบ (พระสถูป) ในเวลานั้น มนุษย์เหล่าใด
จะบูชาพระสถูป พวกเขาไม่ต้องขึ้นพระสถูป พวก
เขายกขึ้นไว้ในอากาศ ยักษ์ตนหนึ่งพวกเทวดาตั้งไว้
ชื่อว่า อภิสมมตะ มันยกธงหรือพวงดอกไม้ขึ้นไปใน
เบื้องสูง มนุษย์เหล่านั้น มองไม่เห็นยักษ์ มองเห็นแต่

พวงดอกไม้ขึ้นไป ครั้นเห็นเช่นนี้แล้วกลับไป มนุษย์
ทั้งหมดย่อมไปสู่สุคติ มนุษย์เหล่าใดชอบใจในปาพจน์
และเหล่าใดเลื่อมใสในพระศาสนา ต้องการจะเห็น
ปาฏิหาริย์ ย่อมบูชาพระสถูป เวลานั้นเราเป็นคน
ยากไร้ อยู่ในเมืองหงสาวดี เราได้เห็นหมู่ชนเบิกบาน
จึงคิดอย่างนี้ในเวลานั้นว่า เรือนพระธาตุเช่นนี้ ของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นี้โอฬาร ก็หมู่ชนเหล่านี้ มีใจยินดี ไม่รู้จักอิ่ม
ในสักการะที่ทำอยู่ แม้เราก็จักทำสักการะ แด่พระ-
โลกนาถผู้คงที่บ้าง เราจักเป็นทายาทในธรรมของ
พระองค์ในอนาคต เราจึงเอาเชือกผูกผ้าห่มของเรา
อันซักขาวสะอาดแล้ว คล้องไว้ที่ยอดไม้ไผ่ ยกเป็นธง
ขึ้นไว้ในอากาศ ยักษ์อภิสัมมตะ ยกธงของเรานำขึ้น
ไปไว้ในอัมพร เราเห็นธงอันลมสะบัด ได้เกิดความ
ยินดีอย่างยิ่ง เรายังจิตให้เลื่อมใสในพระสถูปนั้นแล้ว
เข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง กราบไหว้ภิกษุนั้นแล้ว ได้
สอบถามถึงผลในการถวายธง ท่านยังความเพลิดเพลิน
และปีติให้เกิดแก่เรา กล่าวแก่เราว่า ท่านจักได้เสวย
วิบากของธงนั้น ในกาลทั้งปวง จตุรงคเสนา คือ
พลช้าง พลม้า พลรถ และพลเดินเท้า จักแวดล้อม
ท่านอยู่เป็นนิตย์ นี้เป็นผลแห่งการถวายธง ดนตรี
หกหมื่น และกลองเภรีอันประดับสวยงาม จะประโคม
แวดล้อมท่านเป็นนิตย์ นี้เป็นผลแห่งการถวายธง

หญิงสาวแปดหมื่นหกพัน อันประดับงดงาม มีผ้าและ
อาภรณ์อันวิจิตร สวมใส่แก้วมณี และกุณฑล หน้า-
แฉล้ม แย้มยิ้ม มีตะโพกผึ่งผาย เอวบาง จักแวดล้อม
(บำเรอ) ท่านเป็นนิตย์ นี้เป็นผลแห่งการถวายธง ท่าน
จักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลก ตลอดสามหมื่นกัป จักได้
เป็นจอมเทวดา เสวยเทวรัชสมบัติอยู่ 80 ครั้ง จักได้
เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 1,000 ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้า
ประเทศราชอันไพบูลย์ โดยคณนานับมิได้ ในแสนกัป
พระศาสดาพระนามว่า โคดม ซึ่งมีสมภพในวงศ์
พระเจ้าโอกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก ท่านอันกุศล
มูลตักเตือน เคลื่อนจากเทวโลกแล้ว ประกอบด้วย
บุญกรรม จักเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ ท่านจักละทรัพย์
80 โกฏิ ทาสและกรรมกรเป็นอันมาก ออกบวชใน
พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า โคดม
ท่านจักยังพระสัมพุทธเจ้า พระนามว่า โคดมศากยบุตร
ผู้ประเสริฐให้โปรดปรานแล้ว จักได้เป็นพระสาวก
ของพระศาสดา มีชื่อว่า อุปวาณะ กรรมที่เราทำไว้
แล้ว ในแสนกัป ให้ผลแก่เราในที่นี้แล้ว เราเผากิเลส
ของเราแล้ว ดุจกำลังลูกศรพ้นจากแล่งไปแล้ว เมื่อ
เราเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง 4 ธง
ทั้งหลายจักยกขึ้นโดยรอบ 3 โยชน์ทุกเมื่อ ในแสนกัป
แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ทำกรรมใดไว้ในเวลานั้น ด้วยผล

แห่งกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการ
ถวายธง. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของ
พระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.
ครั้งนั้น ท่านพระอุปวาณะ ได้เป็นอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า. ก็โดย
สมัยนั้น อาพาธอันเกิดแต่ลม บังเกิดแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว. และ
พราหมณ์ชื่อว่า เทวหิตะ เป็นสหายของพระเถระแต่ครั้งยังเป็นคฤหัสถ์ อาศัย
อยู่ในพระนครสาวัตถี. เขาปวารณาพระเถระด้วยปัจจัย 4.
ลำดับนั้น ท่านพระอุปวาณะ นุ่งสบงแล้วถือบาตรจีวร เข้าไปยัง
ที่อยู่ของพราหมณ์นั้น พราหมณ์รู้ว่า พระเถระมาโดยวัตถุประสงค์บางประการ
จึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านประสงค์สิ่งใดจงบอกเถิด. พระเถระเมื่อ
จะบอกวัตถุประสงค์แก่พราหมณ์ ได้กล่าวคาถา 2 คาถา ความว่า
ดูก่อนพราหมณ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระ-
อรหันต์ ผู้เสด็จไปดีแล้วในโลกเป็นมุนี ถูกลม
เบียดเบียนแล้ว ถ้าท่านมีน้ำร้อน ขอจงถวายแด่พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นมุนีเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นั้น เป็นผู้อันบุคคลบูชาแล้ว ยิ่งกว่าเทวดา
และพรหมทั้งหลาย แม้บุคคลควรบูชา อันบุคคล
สักการะแล้ว ยิ่งกว่าพระเจ้าพิมพิสาร และพระเจ้า
โกศล ผู้อันบุคคลพึงสักการะ อันบุคคลนอบน้อมแล้ว
ยิ่งกว่าเหล่าพระขีณาสพ ที่บุคคลควรนอบน้อม เรา
ปรารถนาจะนำน้ำร้อนไปถวายพระองค์
ดังนี้.
คาถาทั้งสองนั้น มีอธิบายว่า บรรดาบุคคลผู้ควรบูชาในโลกนี้ พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด อันบุคคลบูชาแล้ว (ยิ่ง) กว่าเทวดาทั้งหลาย มี

ท้าวสักกะเป็นต้น ยิ่งกว่าพรหมทั้งหลาย มีท้าวมหาพรหมเป็นต้น ผู้ควรบูชา
บรรดาผู้ที่ควรสักการะทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด อันบุคคล
สักการะแล้ว ยิ่งกว่าพระเจ้าพิมพิสาร และพระเจ้าโกศลเป็นต้น ผู้ควรสักการะ
บรรดาบุคคลผู้ควรนอบน้อมทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด อัน
บุคคลนอบน้อมแล้ว ยิ่งกว่าพระขีณาสพทั้งหลาย ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ผู้ควรนอบน้อมชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะพระคุณมีความเป็นผู้ไกลจาก
กิเลสเป็นต้น ชื่อว่า เป็นพระสุคต เพราะเสด็จไปงามเป็นต้น เป็นพระ-
สัพพัญญู เป็นมุนี เป็นศาสดาของเรา เป็นเทพเหนือเทพ เป็นสักกะเหนือ
ท้าวสักกะทั้งหลาย เป็นพรหมเหนือพรหมทั้งหลาย.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงพระประชวรเพราะโรคลม
คือเพราะลมเป็นเหตุ ได้แก่เหตุเพราะลมกำเริบ.
ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าท่านมีน้ำร้อน เราปรารถนาจะนำไปถวายเพื่อ
ระงับวาตาพาธ คือเพื่อบำบัดโรคลม ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.
พราหมณ์ฟังดังนั้นแล้ว นำน้ำร้อน และเภสัช อันเหมาะแก่อาการ
ของโรค และสมควรแก่การระงับโรคลม เข้าไป น้อมถวายแด่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า. โรคของพระศาสดาสงบแล้ว เพราะน้ำร้อนและเภสัชนั้น. พระผู้มี
พระภาคเจ้าได้ทรงกระทำอนุโมทนาแก่พราหมณ์นั้น ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาอุปวาณเถรคาถา

4. อิสิทินนเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระอิสิทินนเถระ


[291] ได้ยินว่า พระอิสิทินนเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
อุบาสกทั้งหลาย ผู้ทรงธรรมกล่าวว่า กามทั้ง-
หลายไม่เที่ยง เราได้เห็นแล้ว อุบาสกเหล่านั้นเป็นผู้
กำหนัด รักใคร่ ห่วงใยในแก้วมณี บุตรธิดา และ
ภรรยา เราได้เห็นแล้ว เพราะอุบาสกเหล่านั้น ไม่รู้
ธรรมภายในพระพุทธศาสนานี้แน่แท้ แม้ถึงอย่างนั้นก็ได้
กล่าวว่า กามทั้งหลายไม่เที่ยง แต่กำลังญาณเพื่อจะตัด
ราคะของอุบาสกเหล่านั้น ไม่มี เพราะฉะนั้น อุบาสก
เหล่านั้น จึงติดอยู่ในบุตร ภรรยาและในทรัพย์.


อรรถกถาอิสิทินนเถรคาถา


คาถาของท่านพระอิสิทินนเถระ เริ่มต้นว่า ทิฏฺฐา มยา. เรื่อง
ราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ ทั้งหลาย กระทำบุญไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ใน
กาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า วิปัสสี บรรลุความเป็นผู้รู้
แล้วถือพัดโบก บูชาโพธิพฤกษ์.