เมนู

เถรคาถา ทุกนิบาต วรรคที่ 4


1. มิคสิรเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระมิคสิรเถระ


[288] ได้ยินว่า พระมิคสิรเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เมื่อใด เราได้บวชในศาสนาของพระสัมมาสัม-
พุทธเจ้าแล้ว หลุดพ้นจากกิเลส ได้บรรลุธรรมอัน
ผ่องแผ่วแล้ว ล่วงเสียซึ่งถามธาตุ เมื่อนั้น จิตของเรา
ผู้เพ่งธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นดังพรหม
หลุดพ้นแล้วจากกิเลสทั้งปวง และมารู้ชัดว่า วิมุตติ
ของเราไม่กำเริบ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์
ทั้งปวง.


วรรควรรณนาที่ 4


อรรถกถามิคสิรเถรคาถา


คาถาของท่านพระมิคสิรเถระ เริ่มต้นว่า ยโต อหํ ปพฺพชิโต.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้า
องค์ก่อน ๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกาลของ

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า กัสสปะ บรรลุนิติภาวะแล้ว วันหนึ่ง
เห็นพระศาสดาแล้วมีจิตเลื่อมใส ได้ถวายหญ้าคา 8 กำ.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ถือ
ปฏิสนธิในตระกูลพราหมณ์ ในโกศลรัฐ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้นามว่า
มิคสิระ เพราะเกิดในฤกษ์มิคสิรนักษัตร เจริญวัยแล้ว ถึงความสำเร็จใน
วิชาและศิลปศาสตร์ของพราหมณ์ทั้งหลาย ศึกษามนต์ชื่อว่า ฉวสีสะ (มนต์
ดูกระโหลกหัวผี) คือ ร่ายมนต์แล้ว เอาเล็บเคาะศีรษะของผู้ที่ตายไปแล้ว
แม้ที่สุดถึง 3 ปี ก็รู้ได้ว่า สัตว์ผู้นี้ เกิดในที่ชื่อโน้น.
เขาไม่ปรารถนาการอยู่อย่างฆราวาส บวชเป็นปริพาชกอาศัยวิชานั้น
เป็นผู้อันชาวโลก สักการะ เคารพ มีลาภ เที่ยวไปเดินทางถึงกรุงสาวัตถี
แล้วไปสู่สำนักของพระศาสดา เมื่อจะประกาศอานุภาพของตน จึงกราบทูลว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์รู้สถานที่ซึ่งผู้ทายแล้วไปเกิด เมื่อพระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสถามว่า ก็เธอรู้ได้อย่างไร ? จึงกราบทูลว่า ข้าพระองค์ให้เขา
นำเอากระโหลกศีรษะหัวผีมา แล้วร่ายมนต์ เอาเล็บเคาะศีรษะ ย่อมรู้สถานที่
ซึ่งสัตว์เหล่านั้น ๆ ไปเกิด มีนรกเป็นต้น.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสั่งให้เขานำเอากระโหลกศีรษะของ
ภิกษุผู้ปรินิพพานแล้ว มาให้มิคสิรปริพาชก ตรัสสั่งว่า เธอจงบอกถึงคติของ
กระโหลกศีรษะนั้นก่อน นี้เป็นกระโหลกศีรษะของผู้ใด เขาร่ายมนต์สำหรับ
ดูกะโหลกศีรษะนั้นแล้ว เคาะด้วยเล็บ ไม่เห็นที่สุด ไม่เห็นเงื่อนงำ. ลำดับนั้น
เขาเมื่อพระศาสดาตรัสถามว่า เธอไม่อาจ (จะเห็น) หรือ จึงกราบทูลว่า
จักขอตรวจสอบดูก่อน แล้วแม้ร่ายมนต์อยู่บ่อย ๆ ก็มองไม่เห็นอยู่นั่นเอง.
ก็ผู้ประกอบพิธีกรรมภายนอกพระพุทธศาสนา จักรู้คติของพระขีณาสพได้อย่าง-
ไร ? ลำดับนั้น เหงื่อไหลออกจากศีรษะและรักแร้ของมิคสิรปริพาชก เขา

ละอายยืนนิ่งอยู่ พระศาสดาตรัสว่า เธอลำบากหรือปริพาชก. เขาทูลตอบว่า
พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ลำบาก ข้าพระองค์ไม่รู้คติของกระโหลกศีรษะนี้ ก็
พระองค์เล่า ทรงรู้หรือพระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เราตถาคต
รู้คติของกระโหลกศีรษะนี้ แม้ยิ่งกว่านี้ เราตถาคตก็รู้ ดังนี้แล้ว ตรัสต่อไปว่า
ผู้เป็นเจ้าของกระโหลกศีรษะนั้น ไปสู่พระนิพพาน. ปริพาชก กราบทูลว่า
ขอพระองค์จงให้วิชานี้ แก่ข้าพระองค์. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น
เธอจงบวช ดังนี้แล้วให้ปริพาชกนั้นบวช ให้ประกอบความเพียรในสมถกรรม-
ฐานก่อน แล้วทรงแนะนำวิปัสสนากรรมฐาน แก่เธอผู้ตั้งอยู่ในฌานและอภิญญา
แล้ว เธอบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน แล้วบรรลุพระอรหัตต่อกาลไม่นานนัก.
สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า*
เรามีจิตเลื่อมใสโสมนัส ได้ถวายหญ้าคา 8 กำ
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า กัสสปะ ผู้มี
บาปอันลอยเสียแล้ว มีพรหมจรรย์อันอยู่จบแล้ว ใน
กัปนี้นั่นเอง เราได้ถวายหญ้าคา 8 กำ ด้วยการถวาย
หญ้าคานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย. เราเผากิเลสทั้งหลาย
แล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จ
แล้ว
ดังนี้.
ก็พระเถระบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผลได้กล่าว
คาถา 2 คาถา ความว่า
เมื่อใด เราได้บวชในศาสนาของพระสัมมาสัม-
พุทธเจ้าแล้ว หลุดพ้นจากกิเลส ได้บรรลุธรรมอัน
ผ่องแผ้วแล้ว ล่วงเสียซึ่งกามธาตุ เมื่อนั้น จิตของเรา


* ใน ขุ.อ. 33/66 เรียกชื่อว่า กุสัฏฐกทายกเถระ

ผู้เพ่งธรรม ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นดังพรหม
หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง และมารู้ชัดว่า วิมุตติของเรา
ไม่กำเริบ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งปวง
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยโต อหํ ปพฺพชิโต สมฺมาสมฺ-
พุทฺธสาสเน
ความว่า เราบวชในพระศาสนา จำเดิมแต่กาลใด คือ จำเดิม
แต่เวลาที่เราบวชแล้ว.
บทว่า วิมุจฺจมาโน อุคฺคญฺฉึ ความว่า เราเมื่อหลุดพ้นจากธรรม
อันเป็นฝ่ายสังกิเลส ด้วยสมถะและวิปัสสนาเป็นปฐมก่อน ชื่อว่า ตั้งตนได้ด้วย
สามารถแห่งธรรมอันผ่องแผ้ว เมื่อตั้งตนได้อย่างนี้แล้ว ชื่อว่าล่วงเสียซึ่ง
กามธาตุ คือก้าวล่วงกามธาตุได้ด้วยอนาคามิมรรค โดยส่วนเดียวทีเดียว.
บทว่า พฺรหฺมุโน เปกฺขมานสฺส ตโต จิตฺตํ วิมุจฺจิ เม ความว่า
จิตของเราผู้เพ่งธรรม ของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ผู้ชื่อว่าเป็น
พรหม โดยอรรถว่าเป็นผู้ประเสริฐที่สุด เพราะความเป็นผู้เลิศกว่าโลกพร้อมทั้ง
เทวโลก โดยประกอบไปด้วยพระมหากรุณาว่า กุลบุตรนี้ บวชในศาสนา
ของเรา จะปฏิบัติอย่างไรหนอแล ดังนี้ หลุดพ้นแล้วจากกิเลสทั้งปวงโดย
ส่วนเดียวนั่นเทียว เพราะเหตุที่ได้บรรลุพระอนาคามิมรรคนั้น (และ) เพราะ
บรรลุมรรคอันเลิศในภายหลัง.
บทว่า อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความว่า พระเถระพยากรณ์พระ-
อรหัตผลว่า เพราะเหตุที่จิตของเราหลุดพ้นแล้ว อย่างนั้นนั่นแล คือเพราะ
สิ้นไป ได้แก่ สิ้นไปรอบ แห่งสังโยชน์ทั้งหลายทั้งปวง วิมุตติของเราจึงไม่
กำเริบอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถามิคสิรเถรคาถา

2. สิวกเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระสิวกเถระ


[289] ได้ยินว่า พระสิวกเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เรือนคืออัตภาพที่เกิดในภพนั้นบ่อย ๆ เป็นของ
ไม่เที่ยง เราแสวงหานายซ่าง คือ ตัณหาผู้สร้างเรือน
เมื่อไม่พบ ได้ท่องเที่ยวไปสู่สงสาร สิ้นชาติมิใช่น้อย
การเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์ร่ำไป ดูก่อนนายช่างผู้สร้าง
เรือน บัดนี้ เราพบท่านแล้ว ท่านจักไม่ต้องสร้างเรือน
ให้เราอีก ซี่โครงคือกิเลสของท่านเราหักเสียหมดแล้ว
และช่อฟ้าคืออวิชชาแห่งเรือนของท่าน เราทำลายแล้ว
จิตของเราไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดาแล้ว จักดับอยู่ใน
ภพนี้เอง.


อรรถกถาสิวกเถรคาถา


คาถาของท่านพระสิวกเถระ เริ่มต้นว่า อนิจฺจานิ คหกานิ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์-
ก่อนๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า วิปัสสี บรรลุนิติภาวะแล้ว วันหนึ่ง เห็นพระ-