เมนู

6. ปุณณมาสเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระปุณณมาสเถระ


[283] ได้ยินว่า พระปุณณมาสเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราละนิวรณ์ 5 เพื่อบรรลุความเกษมจากโยคะ
แล้วถือเอาแว่นธรรม คือญาณทัสสนะของตน ส่องดู
ร่างกายนี้ทั่วทั้งหมด ทั้งภายในภายนอกร่างกาย ของ
เรานี้ ปรากฏเป็นของว่างเปล่า ทั้งภายในและภายนอก.


อรรถกถาปุณณมาสเถรคาถา


คาถาของพระปุณณมาสเถระ เริ่มต้นว่า ปญฺจ นีวรเณ หิตฺวา.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์-
ก่อน ๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ติสสะ บรรลุนิติภาวะแล้ว วันหนึ่ง เมื่อ
พระศาสดา ประทับอยู่ในป่า คล้องบังสุกุลจีวรไว้ที่กิ่งไม้ แล้วเสด็จเข้าไปสู่
พระคันธกุฎี เขาถือธนู เข้าไปสู่ชัฏป่า เห็นผ้าบังสุกุลจีวรของพระศาสดา
แล้วมีใจเลื่อมใส วางธนูแล้วระลึกถึงพระพุทธคุณไหว้ผ้าบังสุกุล.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
บังเกิดในตระกูลกุฎุมพี ในพระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้. ได้ยินว่า

ในวันที่เขาเกิด ภาชนะทุกอย่างในเรือนนั้น ได้เต็มบริบูรณ์ไปด้วยถั่วเขียว
อันสำเร็จไปด้วยทองและรัตนะทั้งหลาย เขาเจริญวัยแล้ว มีครอบครัว เมื่อ
บุตรคนที่หนึ่งเกิดแล้ว สละฆราวาสวิสัย บวชอยู่ในอาวาสใกล้บ้าน เพียร
พยายามอยู่ ได้เป็นผู้มีอภิญญา 6 แล้ว. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ใน
อปทานว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สยัมภู ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศ
พระนามว่า ติสสะ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระพิชิตมาร
ทรงวางบังสุกุลจีวรไว้แล้ว เสด็จเข้าสู่พระวิหาร เรา
สะพายธนูที่มีสายและกระบอกน้ำ ถือดาบเข้าป่าใหญ่
ครั้งนั้น เราได้เห็นบังสุกุลจีวร ซึ่งแขวนอยู่บนยอดไม้
ในป่านั้น จึงวางธนูลง ณ ที่นั้นเอง ประนมกรอัญชลี
เหนือเศียรเกล้า เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส และ
มีปีติเป็นอันมาก ระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด
แล้วได้ไหว้บังสุกุลจีวร ในกัปที่ 92 แต่ภัทรกัปนี้
เราได้ไหว้บังสุกุลจีวรใด ด้วยการไหว้บังสุกุลจีวรนั้น
เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการไหว้ (บังสุกุล
จีวร). เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของ
พระพุทธเจ้าเรากระทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.
ก็พระเถระ เป็นผู้มีอภิญญา 6 แล้ว เข้าไปสู่พระนครสาวัตถี
ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว อยู่ในป่าช้า ก็เมื่อท่านไปได้ไม่นานนัก บุตร
ของท่านก็ได้ทำกาละ มารดาของทารกสดับข่าวว่า พระเถระมาแล้ว มีความ
ประสงค์จะยังพระเถระให้สึกด้วยคิดว่า พระราชาอย่าริบสมบัติของเราผู้หาบุตร
มิได้นี้ไปเลย ไปสู่สำนักของพระเถระด้วยบริวารเป็นอันมาก ทำการปฏิสันถาร

แล้ว เริ่มจะประเล้าประโลม. พระเถระยืนอยู่ในอากาศ เพื่อจะให้นางรู้ความ
ที่ตนเป็นผู้ปราศจากราคะแล้ว เมื่อจะแสดงธรรมแก่นาง ด้วยมุขคือการประกาศ
ข้อปฏิบัติ ได้กล่าวคาถา 2 คาถา ความว่า
เราละนิวรณ์ 5 เพื่อบรรลุความเกษมจากโยคะ
แล้วถือเอาแว่นธรรม คือญาณทัสสนะของตน ส่องดู
ร่างกายนี้ทั่วทั้งหมด ทั้งภายใน ภายนอก ร่างกาย
ของเรานี้ ปรากฏเป็นของว่างเปล่าทั้งภายในและภาย-
นอก
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปญฺจ นิวรเณ หิตฺวา ความว่า ละ
คือ กำจัด นิวรณ์ 5 มีกามฉันทะเป็นต้น ด้วยการบรรลุฌาน.
บทว่า โยคกฺเขมสฺส ปตฺติยา ความว่า เพื่อบรรลุพระนิพพาน
อันเป็นแดนเกษมจากโยคะทั้งหลาย 4 มีกามโยคะเป็นต้น คือ อันโยคะเหล่านั้น
ไม่เข้าไปประทุษร้ายแล้ว.
บทว่า ธมฺมาทาสํ ได้แก่ แว่นอันเป็นองค์ธรรม. อธิบายว่า
กระจก ย่อมส่องให้เห็นคุณและโทษในรูปกายของผู้มองดูอยู่ฉันใด แว่นธรรม
กล่าวคือวิปัสสนาก็ฉันนั้น ชื่อว่าเป็นญาณทัสสนะ เพราะเป็นเหตุให้รู้ความ
แตกต่างแห่งสามัญญลักษณะของธรรมทั้งหลาย ย่อมส่องให้เห็นคุณในกาย
ที่ชื่อว่าโดยแตกต่างกัน เพราะแจกแจงสังกิเลสธรรมอย่างแจ่มแจ้ง และยัง
การละสังกิเลสธรรมนั้นให้สำเร็จ สำหรับท่านที่พิจารณาเห็นอยู่ ด้วยเหตุนั้น
พระเถระจึงกล่าวว่า
ธมฺมาทาสํ คเหตฺวาน ญาณทสฺสนมตฺตโน
ปจฺจเวกฺขึ อิมํ กายํ สพฺพํ สนฺตรพาหิรํ

ถือเอาแว่นธรรม คือ ญาณทัสสนะของตน
ส่องดูร่างกายนี้ทั่วทั้งหมด ทั้งภายในภายนอก.

คือ ถือเอาแว่นธรรม แล้วพิจารณาโดยเฉพาะว่า ไม่เที่ยงบ้าง
เป็นทุกข์บ้าง เป็นอนัตตาบ้าง เห็นร่างกา คือ อัตภาพของเรานี้ อันเป็น
ที่ประชุมแห่งธรรม ชื่อว่าทั้งภายในภายนอก เพราะความเป็นอายตนะที่เป็นไป
ในภายในและภายนอก ทั้งหมดคือไม่มีส่วนเหลือ ด้วยญาณจักษุ ก็เราผู้เห็น
อยู่อย่างนี้ ทั้งภายในและภายนอก ได้แก่ ร่างกายคืออัตภาพ กล่าวคือขันธ-
ปัญจกะ ที่เว้นสาระมีความเที่ยงเป็นต้น จึงชื่อว่าเป็นของว่างเปล่า เราได้เห็น
แล้วตามความเป็นจริงด้วยญาณจักษุ.
แท้จริง ขันธปัญจกะแม้ทั้งสิ้น ท่านเรียกว่ากาย ดังในประโยคมีอาทิว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายนี้ เป็นที่มาประชุมของคนเขลา ผู้อันอวิชชาครอบงำ
แล้ว ประกอบแล้วด้วยตัณหาอย่างนี้.
ก็พระเถระเมื่อจะแสดงความที่ตนเป็นผู้มีกิจอันกระทำสำเร็จแล้วว่า
ขันธปัญจกะใดแลอันเราพึงเห็นในกายนี้ ขันธปัญจกะนั้นอันเราเห็นแล้ว ไม่มี
ส่วนใดๆ ของขันธปัญจกะนั้นที่เราจะต้องเห็นอีก ดังนี้ พยากรณ์พระอรหัตผล
แล้ว ด้วยบทว่า อทิสฺสถ นี้.
พระเถระแสดงธรรมแก่หญิงผู้เป็นภรรยาเก่าด้วยคาถาเหล่านี้ อย่างนี้-
แล้ว ยังนางให้ตั้งอยู่ในสรณคมน์และศีลทั้งหลายแล้วส่งไป.
จบอรรถกถาปุณณมาสเถรคาถา

7. นันทกเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระนันทกเถระ


[284] ได้ยินว่า พระนันทกเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
โคอาชาไนยที่ดี ถึงพลาดแล้วก็ตั้งตัวได้ ได้
ความสังเวชอย่างยิ่งแล้ว ไม่ย่นย่อ นำภาระต่อไปได้
ฉันใด ท่านทั้งหลายจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็นอา-
ชาไนยผู้สมบูรณ์ด้วยทัศนะ เป็นสาวกของพระสัมมา-
สัมพุทธเจ้า เป็นบุตรผู้เกิดแต่อุระแห่งพระพุทธเจ้า.


อรรถาถกานันทกเถรคาถา


คาถาของท่านพระนันทกเถระ เริ่มต้นว่า ยถาปิ ภทฺโท อาชญฺโญ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้า
องค์ก่อน ๆ กระทำบุญไว้ในภพนั้น ๆ บังเกิดในปัจจันตประเทศ ในกาลของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สิขี บรรลุนิติภาวะแล้ว เป็นนายพรานป่า
เที่ยวไป วันหนึ่ง เห็นที่สำหรับจงกรมของพระศาสดา แล้วมีจิตเลื่อมใส เกลี่ย-
ทราย (ให้เสมอ).
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
บังเกิดในตระกูลแห่งคฤหบดี ในจัมปานคร ในพุทธุปบาทกาลนี้ คนทั้งหลาย