เมนู

5. วีตโสกเถรคาถา


ว่าด้วยคําถาของพระวีตโสกเถระ


[282] ได้ยินว่า พระวีตโสกเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ช่างกัลบกเข้ามาหาเรา ด้วยคิดว่า จักตัดผม
ของเรา เราจึงรับเอากระจกจากช่างกัลบกนั้นมาส่องดู
ร่างกาย ร่างกายของเรานี้ได้ปรากฏเป็นของว่างเปล่า
ความมืดคืออวิชชา ในกายอันเป็นต้นเหตุแห่งความ
มืดมน ได้หายหมดสิ้นไป กิเลสดุจผ้าขี้ริ้วทั้งปวง เรา
ตัดขาดแล้ว บัดนี้ ภพใหม่มิได้มี.


อรรถกถาวีตโสกเถรคาถา


คาถาของท่านพระวีตโสกเถระ เริ่มต้นว่า เกเส เม โอลิขิสฺสนฺติ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ สั่งสมบุญมากมายไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกาล
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สิทธัตถะ ถึงความสำเร็จในวิชา
และศิลปศาสตร์ของพราหมณ์ แล้วละกามทั้งหลาย บวชเป็นฤๅษี อันหมู่ฤๅษี
เป็นอันมากแวดล้อมแล้ว อยู่ในป่า สดับข่าวความบังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า
ร่าเริงยินดีแล้ว ดำริว่า พระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หาโอกาสเฝ้า

ได้ยาก อุปมาเหมือนดอกมะเดื่อ เราควรเข้าเฝ้าในบัดนี้แหละ ดังนี้แล้ว
แล้วเดินทางไปเฝ้าพระศาสดาพร้อมกับบริษัทหมู่ใหญ่ เมื่อเหลือทางอีกหนึ่ง
โยชน์ครึ่งจะถึงก็ล้มป่วยถึงความตาย โดยสัญญา อันส่งไปแล้วในพระพุทธเจ้า
บังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวไป ๆ มา ๆ อยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เกิดเป็นน้องชายคนเล็กของพระเจ้าธรรมาโศกราช ในที่สุดแห่งปีพุทธศักราช
218 ในพุทธุปบาทกาลนี้. ท่านได้มีพระนามว่า วีตโสกะ.
วีตโสกราชกุมาร เจริญวัยแล้ว ถึงความสำเร็จในวิชาและศิลปศาสตร์
ที่พึงศึกษาร่วมกับขัตติยกุมารทั้งหลายแล้ว (ศึกษาจนแตกฉานเชี่ยวชาญ)
แกล่วกล้าในสุตตันตปิฎกและในพระอภิธรรมปิฎก ทั้ง ๆ ที่เป็นคฤหัสถ์ โดย
อาศัยพระคิริทัตตเถระ วันหนึ่งรับกระจกจากมือของช่างกัลบก ในเวลาปลง
พระมัสสุ มองดูพระวรกาย เห็นอวัยวะที่มีหนังเหี่ยวและผมหงอกเป็นต้น
บังเกิดความสลดพระทัย ยังจิตให้หยั่งลงในวิปัสสนา แล้วยกขึ้นสู่ภาวนา เป็น
พระโสดาบัน บนอาสนะนั้นเอง บวชในสำนักของพระคิริทัตตเถระ แล้ว
บรรลุพระอรหัตต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ใน
อปทานว่า
เราเป็นคนเล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท
ชํานาญในคัมภีร์ทํานายมหาปุริสลักษณะ คัมภีร์อิติ
หาสะพร้อมด้วยคัมภีร์นิคัณฑุศาสตร์และคัมภีร์เกตุภ-
ศาสตร์ ครั้งนั้นพวกศิษย์มาหาเราปานดังกระแสน้ำ
เราไม่เกียจคร้าน บอกมนต์แก่ศิษย์เหล่านั้นทั้งกลาง
วันและกลางคืน ในกาลนั้น พระสัมพุทธเจ้า ทรง
พระนามว่า สิทธัตถะ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์

ทรงกำจัดความมืดมิดให้พินาศแล้ว ยังแสงสว่างคือ
พระญาณให้เป็นไป ครั้งนั้น ศิษย์ของเราคนหนึ่ง ได้
บอกแก่ศิษย์ทั้งหลายของเรา พวกเขาได้ฟังความนั้น
จึงได้บอกเรา เราคิดว่า พระสัพพัญญูพุทธเจ้า ผู้เป็น
นายกของโลก เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ชนย่อมอนุวัตรตาม
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เราไม่มีลาภ พระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย เป็นผู้มีการอุบัติเลิศลอย มีจักษุ ทรงยศใหญ่
ไฉนหนอ เราพึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุด
เป็นผู้นำของโลก เราถือหนังเสือผ้าเปลือกไม้กรอง
และคนโทน้ำของเราแล้ว ออกจากอาศรม เชิญชวน
พวกศิษย์ว่า ความเป็นผู้นำโลกหาได้ยาก เหมือนกับ
ดอกมะเดื่อ กระต่ายในดวงจันทร์ หรือเหมือนกับน้ำ
นมกา ฉะนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก
แม้ความเป็นมนุษย์ก็หาได้ยาก และเมื่อความเป็นผู้นำ
โลก และความเป็นมนุษย์ทั้งสองอย่างมีอยู่ การได้
ฟังธรรมก็หาได้ยาก พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก
พวกเราจักได้ดวงตาอันเป็นของพวกเรา มาเถิดท่าน
ทั้งหลาย เราจักไปยังสำนักของพระพุทธเจ้า ด้วยกัน
ทุกคน ศิษย์ทุกคนแบกคนโทน้ำ นุ่งหนังเสือทั้งเล็บ
พวกเขาเต็มไปด้วยภาระ คือ ชฎา พากันออกไปจากป่า
ใหญ่ในครั้งนั้น พวกเขามองดูประมาณชั่วแอก แสวง
หาประโยชน์อันสูงสุด เดินมาเหมือนลูกช้าง เป็นผู้

ไม่สะดุ้ง ประหนึ่งไกรสรสีหราช ฉะนั้น เขาทั้งหลาย
ไม่มีความสะดุ้ง หมดความละโมบ มีปัญญา มีความ
ประพฤติสงบ เที่ยวเสาะแสวงหาโมกขธรรม ได้พากัน
เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด (ก่อนจะถึงที่-
หมาย) เหลือระยะทางอีกหนึ่งโยชน์ครึ่ง เราเกิดเจ็บ
ป่วยขึ้น เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุดแล้ว
ตาย ณ ที่นั้น ในกัปที่ 94 แต่ภัทรกัปนี้ เราได้
สัญญาใดในกาลนั้น ด้วยการได้สัญญานั้น เราไม่รู้จัก
ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งสัญญาในพระพุทธเจ้า. เราเผา
กิเลสทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า
เรากระทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.
ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล
ได้กล่าวคาถา 2 คาถา ความว่า
ช่างกัลบกเข้ามาหาเรา ด้วยคิดว่า จักตัดผมของเรา
เราจึงเอากระจก จากช่างกลับนั้น มาส่องดูดูร่างกาย
ร่างกายของเรามิได้ปรากฏเป็นของเปล่า ความมืดคือ
อวิชชาในกาย อันเป็นต้นเหตุแห่งความมืดมน ได้
หายหมดสิ้นไป กิเลสดุจผ้าขี้ริ้วทั้งปวง เราตัดขาด
แล้ว บัดนี้ภพใหม่มิได้มี
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เกเส เม โอลิขิสฺลนฺติ กปฺปโก
อุปสงฺกมิ
ความว่า ในเวลาที่เราเป็นคฤหัสถ์ ในเวลาโกนหนวด ช่าง
กัลบก คือช่างทำผม คิดว่า จักตัด จะแต่งผมของเรา จึงเข้ามาหาเรา โดย
เตรียมจะตัดผมเป็นต้น. บทว่า ตโต ได้แก่ จากช่างกัลบกนั้น. บทว่า

สรีรํ ปจฺจเวกฺขิสฺส ความว่า พิจารณาร่างกายที่ชราครอบงำแล้ว ด้วยตน
เองว่า ร่างกายของเราถูกชราครอบงำแล้วหนอ ดังนี้ ด้วยมุข คือการดูนิมิต
บนใบหน้า ที่มีผมหงอกและหนังเหี่ยวย่นเป็นต้น ในกระจก ได้ทั่วทั้งร่าง.
ก็เมื่อพิจารณาอยู่อย่างนี้ ร่างกายของเราก็ปรากฏเป็นของว่างเปล่า
คือร่างกายของเราได้ปรากฏ คือเห็นชัดว่าเป็นของว่างเปล่า จากสภาพต่าง ๆ
มีสภาพที่เที่ยง ยั่งยืนและเป็นสุข เป็นต้น. เพราะเหตุไร ? เพราะความมืด
คืออวิชชาในกาย อันเป็นต้นเหตุแห่งความมืดมน ได้หายหมดสิ้นไป อธิบายว่า
คนทั้งหลาย ที่อยู่ในอำนาจของความมืด ในกายของตน ด้วยความมืดกล่าว
คือ อโยนิโสมนสิการใด เมื่อไม่เห็นสภาพมีสภาพที่ไม่งามเป็นต้น แม้มีอยู่
ย่อมถือเอาอาการว่าเป็นของงามเป็นอันไม่มีอยู่ ความมืดคืออวิชชา ในกาย
อันเป็นต้นเหตุแห่งความมืดมน คือเป็นที่ตั้งแห่งการกระทำความมืดนั้น ได้
หายหมดสิ้นไป ด้วยแสงสว่างแห่งญาณ กล่าวคือ โยนิโสมนสิการ ต่อจาก
นั้น กิเลสดุจผ้าขี้ริ้วทั้งปวง เราก็ตัดได้ขาด คือกิเลสทั้งหลายอันได้นามว่า
โจฬา เพราะเป็นดุจพวกโจร โดยการเข้าไปตัดภัณฑะคือกุศล หรือเป็นดุจ
ผ้าขี้ริ้ว เพราะความเป็นท่อนผ้าเก่า ๆ ที่เขาทิ้งแล้วในกองขยะเป็นต้น โดย
เป็นเศษผ้าที่ติดลูกไฟ (หรือ) โดยเป็นผ้าที่คนดีไม่ต้องการ เพราะความเป็น
ของอันอิสรชน คือคนเจริญรังเกียจ อันเราตัดขาดแล้ว ก็เพราะความที่
กิเลสเพียงดังผ้าขี้ริ้วเหล่านั้น เป็นของอันเราเพิกถอนได้แล้ว ด้วยมรรคอัน
เลิศ นั่นแล บัดนี้ภพใหม่จึงมิได้มี ได้แก่การจะไปเกิดในภพใหม่ ไม่มีอีก
ต่อไป.
จบอรรถกถาวีตโสกเถรคาถา

6. ปุณณมาสเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระปุณณมาสเถระ


[283] ได้ยินว่า พระปุณณมาสเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราละนิวรณ์ 5 เพื่อบรรลุความเกษมจากโยคะ
แล้วถือเอาแว่นธรรม คือญาณทัสสนะของตน ส่องดู
ร่างกายนี้ทั่วทั้งหมด ทั้งภายในภายนอกร่างกาย ของ
เรานี้ ปรากฏเป็นของว่างเปล่า ทั้งภายในและภายนอก.


อรรถกถาปุณณมาสเถรคาถา


คาถาของพระปุณณมาสเถระ เริ่มต้นว่า ปญฺจ นีวรเณ หิตฺวา.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์-
ก่อน ๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ติสสะ บรรลุนิติภาวะแล้ว วันหนึ่ง เมื่อ
พระศาสดา ประทับอยู่ในป่า คล้องบังสุกุลจีวรไว้ที่กิ่งไม้ แล้วเสด็จเข้าไปสู่
พระคันธกุฎี เขาถือธนู เข้าไปสู่ชัฏป่า เห็นผ้าบังสุกุลจีวรของพระศาสดา
แล้วมีใจเลื่อมใส วางธนูแล้วระลึกถึงพระพุทธคุณไหว้ผ้าบังสุกุล.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
บังเกิดในตระกูลกุฎุมพี ในพระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้. ได้ยินว่า