เมนู

3. โสภิตเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระโสภิตเถระ


[280] ได้ยินว่า พระโสภิตเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราเป็นผู้มีสติ มีปัญญา ปรารภความเพียรเป็น
กำลัง ระลึกชาติก่อนได้ 500 กัป ดุจคืนเดียว เรา
เจริญสติปัฏฐาน 4 โพชฌงค์ 7 มรรค 8 ระลึกชาติ
ก่อนได้ 500 กัป ดุจคืนเดียว.


อรรถกถาโสภิตเถรคาถา


คาถาของท่านพระโสภิตเถระ เริ่มต้นว่า สติมา ปญฺญวา. เรื่อง
ราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในพระนคร
หงสาวดี ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ
เจริญวัยแล้ว ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงตั้ง
ภิกษุรูปหนึ่ง ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้ได้บุพเพนิวาส-
ญาณ กระทำความปรารถนามุ่งตำแหน่งนั้น แม้ด้วยตนเอง ท่องเที่ยวไปใน
สุคติภพเท่านั้น เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรง
พระนามว่า สุเมธะ บรรลุนิติภาวะแล้ว ถึงความสำเร็จ ในภาควิชาการและ

ศิลปศาสตร์ของพราหมณ์ทั้งหลาย มีใจน้อมไปในเนกขัมมะ ละฆราวาสวิสัย
แล้วบวชเป็นดาบส ให้เขาสร้างอาศรมไว้ที่ชัฏแห่งป่า ใกล้ภูเขาหิมวันต์ ยัง
อัตภาพให้เป็นไป ด้วยมูลผลาผลในป่า สดับข่าวความบังเกิดขึ้นแห่งพระ
พุทธเจ้า เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ที่ภัททวดีนคร ด้วยการพักอยู่ร่วมกันเพียง
ราตรีเดียวเท่านั้น ก็เป็นผู้มีใจเลื่อมใส ชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถา
6 คาถา มีอาทิว่า ตุวํ สตฺถา จ เกตุ จ พระองค์เป็นศาสดา เป็น
จอมเกตุ ดังนี้ และพระศาสดาก็ทรงประกาศยกย่องพระดาบส. ด้วยบุญกรรม
นั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดในตระกูลพราหมณ์
พระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้. คนทั้งหลายได้ตั้งชื่อเขาว่า โสภิตะ.
โดยสมัยต่อมา เขาฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา ได้เป็นผู้มีจิตศรัทธา
บวชแล้วเจริญวิปัสสนา ได้เป็นผู้มีอภิญญา 6 และได้เป็นผู้มีวสีอันปฏิบัติ
แล้ว (มีความชำนาญพิเศษ) ในบุพเพนิวาสญาณ. สมดังคาถาประพันธ์ที่
ท่านกล่าวไว้ ในอปทานว่า
เราสร้างอาศรมอย่างสวยงามไว้ ณ ทิศทักษิณ
แห่งภูเขาหิมวันต์ ครั้งนั้น เราแสวงหาประโยชน์อัน
สูงสุด จึงอยู่ในป่าใหญ่ เรายินดีด้วยลาภและความ
เสื่อมลาภ คือด้วยเหง้ามันและผลไม้ ไม่เบียดเบียน
ใคร ๆ เที่ยวไป เราอยู่คนเดียว ครั้งนั้น พระสัม
พุทธเจ้า พระนามว่า สุเมธะ เสด็จอุบัติขึ้นแล้วใน
โลก พระองค์กำลังรื้อขนมหาชน ประกาศสัจจะอยู่
เรานี้ได้สดับข่าวพระสัมพุทธเจ้า ถึงใคร ๆ ที่จะบอก
กล่าวให้เรารู้ก็ไม่มี เมื่อล่วงไปได้ 8 ปี เราจึงได้
สดับข่าวพระนายกของโลก เรานำเอาไฟและฟืนออก

ไปแล้ว กวาดอาศรม ถือเอาหาบสิ่งของออกจากป่าไป
ครั้งนั้น เราพักอยู่ในบ้าน และนิคมแห่งละคืน เข้าไป
ใกล้พระนครจันทวดี โดยลำดับ สมัยนั้น พระผู้มีพระ
ภาคเจ้า ผู้นำของโลกพระนามว่า สุเมธะ กำลังรื้อขน
เป็นอันมาก ทรงแสดงอมตบท เราได้ผ่านหมู่ชนไป
ถวายบังคมพระชินเจ้า ผู้เสด็จมาดี ทำหนังสัตว์
เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง แล้วสรรเสริญพระผู้นำของโลกว่า
พระองค์เป็นพระศาสดา เป็นจอมเกตุ เป็นธงชัยและ
เป็นสายัญของหมู่สัตว์ เป็นที่ยึดหน่วง เป็นที่พึ่ง
และเป็นที่เกาะของหมู่สัตว์ เป็นผู้สูงสุดกว่าประชา.
พระองค์เป็นผู้ฉลาด เป็นนักปราชญ์ในทัสสนะ ทรง
ช่วยประชุมชนให้ข้ามพ้นไปได้ ข้าแต่พระมุนี ผู้อื่น
ที่จะช่วยให้สัตว์ข้ามพ้นไปได้ ยิ่งกว่าพระองค์ไม่มีใน
โลก สาครแสนลึกที่สุด ก็พึงอาจที่จะประมาณได้
ด้วยปลายหญ้าคา ข้าแต่พระสัพพัญญู ส่วนพระญาณ
ของพระองค์ ใคร ๆ ไม่อาจประมาณได้เลย แผ่นดิน
ก็อาจที่จะวางในตราชั่งแล้วกำหนดได้ ข้าแต่พระองค์
ผู้มีจักษุ แต่สิ่งที่เสมอกับพระปัญญาของพระองค์ไม่
มีเลย อากาศก็อาจจะวัดได้ด้วยเชือกและนิ้วมือ ข้า
แต่พระสัพพัญญู ส่วนศีลของพระองค์ใคร ๆ ไม่อาจ
จะประมาณได้เลย น้ำในมหาสมุทร อากาศและพื้น
ภูมิภาค 3 อย่างนี้ ประมาณเอาได้ ข้าแต่พระองค์
ผู้มีจักษุ พระองค์ย่อมเป็นผู้อันใคร ๆ จะประมาณ

เอาไม่ได้ เรากล่าวสรรเสริญพระสัพพัญญู ผู้มีพระ
ยศใหญ่ ด้วยคาถา 6 คาถาแล้ว ประนมกรอัญชลี
ยืนนิ่งอยู่ในเวลานั้น พระพุทธเจ้าผู้มีพระปัญญาเสมอ
ด้วยแผ่นดินเป็นเมธีชั้นดี เขาขนานพระนามว่าสุเมธะ
ประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์แล้ว ได้ตรัสพระ-
คาถาเหล่านี้ว่า ผู้ใดมีใจเลื่อมใส ได้กล่าวสรรเสริญ
ญาณของเรา เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟัง
เรากล่าว ผู้นี้จะรื่นรมย์อยู่ในเทวโลก 37 กัป จักเป็น
จอมเทวดาเสวยราชสมบัติอยู่ในเทวโลก 1,000 ครั้ง
จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเกิน 100 ครั้ง และจักได้
เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์ โดยคณานับมิได้
เขาเป็นเทวดาหรือมนุษย์ จักเป็นผู้ตั้งมั่นในบุญกรรม
จักเป็นผู้มีความดำริแห่งใจไม่บกพร่อง มีปัญญากล้า
ในสามหมื่นกัป พระศาสดาทรงพระนามว่า โคตมะ
ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้น
ในโลก ผู้นี้จักไม่มีความกังวล ออกบวชเป็นบรรพชิต
จักบรรลุพระอรหัต แต่อายุ 7 ขวบ ในระหว่างที่เรา
ระลึกถึงตน และได้บรรลุศาสนธรรม เจตนาที่ไม่น่า
รื่นรมย์ใจ เราไม่รู้จักเลย เราท่องเที่ยวไปเสวยสมบัติ
ในภพน้อยภพใหญ่ ความบกพร่องในโภคทรัพย์ ไม่มี
แก่เราเลย นี้เป็นผลในการสรรเสริญพระญาณ ไฟ 3

กอง เราดับสนิทแล้ว เราถอนภพทั้งปวงขึ้นหมดแล้ว
เราเป็นผู้สิ้นอาสวะทุกอย่างแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มีอีก
ในกัปที่สามหมื่น เราได้สรรเสริญพระญาณใดด้วยการ
สรรเสริญนั้น เราไม่รู้จะจักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการ
สรรเสริญพระญาณ. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ
คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.
ก็พระเถระ ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อระลึกถึงบุพเพนิวาสญาณ
ของตนโดยลำดับ ได้เห็นจนถึงอจิตตกปฏิสนธิ ในอสัญญภพ แต่นั้นก็ไม่
เห็นจิตตประวัติ ตลอด 500 กัป เห็นเฉพาะในชาติสุดท้ายเท่านั้น เมื่อ
ตรวจดูอยู่ว่า นี้อะไร 9 จึงเข้าใจว่า จักเป็นอสัญญภพ ด้วยสามารถแห่งนัย
สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวดาผู้มีอายุยืน
ชื่อว่า อสัญญสัตว์มีอยู่ พระโสภิตะ จุติจากอสัญญภพนั้นแล้ว มาบังเกิดใน
ภพนี้ เธอย่อมรู้ภพนั่น โสภิตะ ย่อมระลึกได้ พระศาสดาทรงเห็นความเป็น
ผู้ฉลาดในการระลึกชาติ ของพระเถระผู้ระลึกชาติอยู่ ด้วยสามารถแห่งนัย
อย่างนี้ จึงทรงตั้งพระเถระไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศ ของภิกษุผู้ระลึก
บุพเพนิวาสญาณ ก็ต่อแต่นั้นมา ท่านพระโสภิตะนี้พิจารณาบุพเพนิวาสานุสติ-
ญาณ ของตนพร้อมด้วยคุณพิเศษ และข้อปฏิบัติอันเป็นปัจจัยแห่งบุพเพนิ-
วาสานุสติญาณนั้น แล้วเกิดความโสมนัส เมื่อเปล่งอุทานอันแสดงถึงเหตุทั้ง
สองนั้น ได้กล่าวคาถา 2 คาถา ความว่า
เราเป็นภิกษุผู้มีสติ มีปัญญา ปรารภความเพียร
เป็นกำลัง ระลึกชาติก่อนได้ 500 กัป ดุจคืนเดียว
เราเจริญสติปัฏฐาน 4 โพชฌงค์ 7 มรรค 8 ระลึกชาติ
ก่อนได้ 500 กัป ดุจคืนเดียว
ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สติมา ความว่า ชื่อว่าผู้มีสติเพราะ
ความบริบูรณ์ด้วยสติปัฏฐานภาวนา และเพราะถึงความไพบูลย์แห่งสติ อันถึง
พร้อมแล้วด้วยกาลเป็นที่ประชุมขึ้นเอง.
บทว่า ปญฺญวา ความว่า ชื่อว่าผู้มีปัญญา เพราะความบริบูรณ์
ด้วยอภิญญา 6 และเพราะถึงความบริบูรณ์ด้วยปัญญา. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะ
ทำลายกิเลสได้แล้ว. ภิกษุชื่อว่า มีความเพียร คือพลธรรมอันปรารภแล้ว
เพราะมีพละ 5 มีศรัทธาเป็นต้น และความเพียรอันประกอบด้วยสัมมัปปธาน
4 อย่าง สำเร็จบริบูรณ์ดีแล้ว. อธิบายว่า แม้ถึงสติเป็นต้นจะเป็นพลธรรม
ในคาถานี้ ท่านก็ถือเอาศรัทธาเป็นต้น ด้วยพลศัพท์ เหมือนในประโยคว่า
โคพลิพทฺธา ปุญฺญญาณสมฺภารา โคพลิพัทธ์ เป็นองค์แห่งบุญและ
ปัญญา.
บทว่า ปญฺจ กปฺปสตานาหํ เอกรตฺตึ อนุสฺสรึ ความว่า
ระลึกชาติก่อนได้ 500 กัป ดุจคืนเดียว ก็วิริยศัพท์ในคาถานี้ แสดงถึงการ
ลบออก ตัดออก พระเถระแสดงความที่ตนเป็นผู้ชำนาญญาณ ในบุพเพนิ-
วาสญาณ ด้วยวิริยศัพท์นี้.
บัดนี้ เพื่อจะแสดงข้อปฏิบัติ อันเป็นเหตุแห่งความเป็นผู้มีสติเป็นต้น
ของตน และเป็นเหตุให้สำเร็จบุพเพนิวาสญาณอันยอดเยี่ยมนั้น พระเถระจึง
กล่าวคาถาที่ 2 ด้วยคำมีอาทิว่า จตฺตาโร ดังนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ 2 ดังต่อไปนี้ บทว่า จตฺตาโร
สติปฏฺฐาเน
ได้แก่ สติปัฏฐาน กล่าวคือสติ อันเจือด้วยโลกิยะและโลกุตระ
มี 4 อย่างโดยความต่างแห่งอารมณ์ของตน มีกายานุปัสสนาเป็นต้น. บทว่า
สตฺต ได้แก่ โพชฌงค์ 7. บทว่า อฏฺฐ ได้แก่ มรรคมีองค์ 8.

อธิบายว่า โพชฌงค์ 7 ของพระอริยบุคคลผู้มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว ใน
สติปัฏฐานทั้งหลาย ย่อมถึงความบริบูรณ์ด้วยภาวนาแน่นอน มรรคอันประกอบ
ด้วยองค์ 8 อันประเสริฐ ก็เหมือนกัน.
สมจริงดังที่พระธรรมเสนาบดี สารีบุตร กล่าวไว้ว่า ในบรรดา
โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ อันประกอบด้วยโกฏฐาส 7 เมื่อโกฏฐาส
หนึ่ง ถึงความบริบูรณ์แห่งภาวนา ขึ้นชื่อว่าโกฏฐาสนอกนี้ จะไม่ถึงความ
บริบูรณ์ด้วยภาวนาไม่มี เพราะพระบาลีมีอาทิว่า พระอริยบุคคลผู้มีจิตตั้งมั่น
ดีแล้ว ในสติปัฏฐาน 4 ยังโพชฌงค์ 7 ให้เจริญแล้ว ตามความเป็นจริง
ดังนี้. บทว่า ภาวยํ ความว่า มีการเจริญเป็นเหตุ. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าว
แล้วทั้งนั้น.
จบอรรถกถาโสภิตเถรคาถา

4. วัลลิยเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระวัลลิยเถระ


[280] ได้ยินว่า พระวัลลิยเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
สิ่งใดอันบุคคลผู้มีความเพียรมั่นพึงทำ กิจใดอัน
บุคคลผู้ปรารถนาจะตรัสรู้พึงทำ เราจักทำกิจนั้น ๆ
ไม่ให้ผิดพลาดตามคำพร่ำสอน ขอท่านจงดูความเพียร
ความบากบั่นของเรา อนึ่ง ขอท่านจงบอกหนทางอัน
หยั่งลงสู่อมตมหานิพพานให้เรา เราจักรู้ด้วยปัญญา
เหมือนกระแสแห่งแม่น้ำคงคาไหลไปสู่สาคร ฉะนั้น.