เมนู

5. มหานามเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระมหานามเถระ


[252] ได้ยินว่า พระมหานามเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ดูก่อนมหานาม ท่านนี้จะเสื่อมจากภูเขา ชื่อ
เนสาทกะ ที่สะพรั่งไปด้วยต้นโมกมัน และไม้อ้อยช้าง
เป็นภูเขาที่สมบูรณ์ด้วยร่มเงา และน้ำเป็นอันมาก
ประดับด้วยต้นไม้และเถาวัลย์ โดยรอบ.


อรรถกถามหานามเถรคาถา


คาถาของท่านพระมหานามเถระ เริ่มต้นว่า เอสาวหิยฺยเส ปพฺพเตน.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์-
ก่อน ๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกาลของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สุเมธะ ถึงความสำเร็จในวิชชาของ
พราหมณ์ทั้งหลายแล้ว ละฆราวาสวิสัย สร้างอาศรมอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง
สอนมนต์ให้พวกพราหมณ์เป็นจำนวนมาก อยู่มาวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จไปยังอาศรมบทของเขา เพื่อจะทรงอนุเคราะห์เขา. เขาเห็นพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าแล้ว มีจิตเลื่อมใส จัดแจงปูอาสนะถวาย เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับนั่งแล้ว เข้าไปถวายน้ำผึ้งที่มีรสหวานสนิทดี. พระผู้มีพระภาคเจ้า

เสวยน้ำผึ้งนั้นแล้ว ทรงพยากรณ์อนาคตโดยนัยดังกล่าวไว้ในเรื่องของพระ-
อธิมุตตเถระแล้ว.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาบังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวไป ๆ มา ๆ อยู่แต่
ในสุคติภพเท่านั้น เกิดในตระกูลพราหมณ์ พระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาท-
กาลนี้ ได้นามว่า มหานามะ ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว เข้าไปยังสำนักของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ฟังธรรมแล้วได้มีจิตศรัทธา บวชแล้ว เรียนกรรมฐาน อยู่ที่
ภูเขาชื่อว่า เนสาทกะ ไม่สามารถจะข่มความกลุ้มรุมของกิเลสได้ คิดว่า ชีวิต
ของเราผู้มีจิตอันเศร้าหมองแล้วนี้ จะมีประโยชน์อะไร แล้วเบื่อหน่ายอัตภาพ
ปีนขึ้นสู่ยอดเขาสูง เมื่อจะแสดงตนให้เป็นเหมือนคนอื่นว่า เราจักให้เจ้าตกลง
จากภูเขานี้ตาย ดังนี้ ได้กล่าวคาถาว่า
ดูก่อนมหานาม ท่านนี้จักเสื่อมจากภูเขา ชื่อว่า
เนสาทกะ ที่สะพรั่งไปด้วยต้นโมกมัน และไม้อ้อยช้าง
เป็นภูเขาที่สมบูรณ์ด้วยร่มเงา และน้ำเป็นอันมาก
ประดับด้วยต้นไม้ และเถาวัลย์โดยรอบ
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอสาวหิยฺยเส ความว่า ดูก่อนมหานาม
ท่านนั้น จะละ คือ จะเสื่อม.
บทว่า ปพฺพเตน ความว่า จากภูเขานี้ อันเป็นที่อยู่อาศัย.
บทว่า พหุกุฏชสลฺลริเกน ความว่า ประกอบด้วยไม้โมกมัน และ
ไม้อ้อยช้าง หรือว่าด้วยไม้ช้างน้าว และไม้อ้อยช้างทั้งหลาย.
บทว่า เนสาทเกน ได้แก่ ภูเขาที่มีชื่ออย่างนี้.
บทว่า ครินา ได้แก่ ภูเขา. อธิบายว่า ภูเขาท่านเรียกว่า บรรพต
เพราะตั้งอยู่ด้วยข้อ กล่าวคือที่ต่อ (ติดต่อกันเป็นชั้นเชิง) และเรียกว่า คิรี
เพราะกลืนกินวัตถุทั้งหลายมียาเป็นต้นอันเป็นสาระ. แต่ในคาถานี้ ท่านเรียกว่า
บรรพต และเรียกว่า คิรี เพราะมีความหมายทั้งสองอย่าง (รวมกัน).

บทว่า ยสสฺสินา ความว่า ปรากฏ คือ รู้ชัดด้วยคุณทั้งปวง.
บทว่า ปริจฺเฉเทน ได้แก่ ประดับประดาไปด้วยต้นไม้ พุ่มไม้
และเถาวัลย์หลากหลาย หรือได้แก่ เป็นขอบเขต เพราะความเป็นสถานที่อยู่
ของท่าน. ก็ในคาถานี้มีอธิบายดังนี้ ดูก่อนมหานาม ถ้าท่านสละกรรมฐาน
เป็นผู้มากไปด้วยวิตกไซร้ ท่านจะเสื่อมจากภูเขา ชื่อว่า เนสาทกะ อันเป็น
สถานที่อยู่ สมบูรณ์ด้วยร่มเงาและน้ำ เป็นสัปปายะอย่างนี้ บัดนี้เราจักผลักท่าน
ให้ตกจากภูเขานี้ตาย เพราะเหตุนั้น ท่านต้องไม่ตกอยู่ในอำนาจของวิตก ดังนี้.
พระเถระข่มขู่คุกคามตนอยู่อย่างนี้นั่นแล ขวนขวายวิปัสสนา บรรลุ
พระอรหัตแล้ว . สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เราได้สร้างอาศรมสวยงามไว้ใกล้ฝั่งแม่น้ำ สินธุ
เราบอกคัมภีร์ อิติหาสะ พร้อมทั้งตำราทายลักษณะ
กะพวกศิษย์ที่อาศรมนั้น ศิษย์เหล่านั้นเป็นผู้ใคร่ธรรม
อันเราแนะนำดีแล้ว เป็นผู้ใคร่สดับคำสั่งสอนที่ดี บรรลุ
ถึงบารมีในองค์ 6 ประการ อยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำสินธุ เป็นผู้
ฉลาดในการทำนายการมาเกิดและในลักษณะทั้งหลาย
แสวงหาประโยชน์อันสูงสุดอยู่ในป่าใหญ่ ในกาลนั้น
ครั้งนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า สุเมธะ
เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นผู้นำที่วิเศษ จะทรง
อนุเคราะห์พวกเรา จึงเสด็จเข้ามา เราได้เห็นพระ-
มหาวีระ พระนามว่า สุเมธะ ผู้เป็นนายกของโลก
เสด็จมาถึง จึงได้ปูหญ้าลาดถวายแด่พระองค์ ผู้เป็น
เชษฐบุรุษของโลก เราถือเอาน้ำผึ้งมาจากป่าใหญ่
ถวายแด่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด พระสัมพุทธเจ้า

เสวยแล้ว ได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า ผู้ใดมีความเลื่อมใส
ได้ถวายน้ำผึ้งแก่เรา ด้วยมือทั้งสองของตน เราจัก
พยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ด้วยการ
ถวายน้ำผึ้ง และด้วยการลาดหญ้าถวายนี้ ผู้นั้นจัก
รื่นรมย์ อยู่ในเทวโลกตลอดสามหมื่นกัป ในกัปที่สาม
หมื่น พระศาสดาพระนามว่า โคตมะ ทรงสมภพในวงศ์
พระเจ้าโอกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก ผู้นั้นจักเป็น
ทายาทในธรรมของพระศาสดา พระองค์นั้น จักเป็น
โอรสอันธรรมเนรมิต จักกำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว
เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ปรินิพพาน เมื่อเราจากเทวโลกมา
ในมนุษยโลกนี้ เข้าอยู่ในครรภ์มารดา เมล็ดฝนได้ตก
ลงมา ปกปิดแผ่นดิน ด้วยน้ำผึ้ง แม้ในขณะเมื่อเรา
ออกจากครรภ์นั้น ฝนน้ำผึ้งก็ตกให้แก่เราเต็มเปี่ยมหม้อ
ตลอดกาลเป็นนิตย์ เมื่อเราออกจากเรือนบวชเป็น
บรรพชิตแล้ว ย่อมได้ข้าวและน้ำ นี้เป็นผลแห่งการ
ถวายน้ำผึ้ง เราเกิดเป็นเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้บริบูรณ์
ด้วยกามทั้งปวง ได้บรรลุความสิ้นอาสวะ เพราะการ
ถวายน้ำผึ้งนั้นแล.
เมื่อฝนตกแล้ว หญ้างอกยาว 4 นิ้ว เมื่อต้นไม้
ในแถวฝั่งแม่น้ำมีดอกบานสะพรั่ง เราผู้ไม่มีอาสวะเป็น
สุขอยู่เป็นนิตย์ ในเรือนว่างเปล่า ที่มณฑปและโคนไม้
เราก้าวล่วงภพที่ประณีต ปานกลาง และเลวได้ทั้งหมด
อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นแล้วในวันนี้ บัดนี้ ภพใหม่

มิได้มีอีก ใน 30,000 กัป แต่ภัทรกัปนี้ เราได้
ถวายทานใดในกาลนั้น ด้วยทานนั้น เราไม่รู้จักทุคติ
เลย นี้เป็นผลแห่งการถวายน้ำผึ้ง. เราเผากิเลสทั้งหลาย
แล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำเสร็จแล้ว

ดังนี้.
ก็คาถานี้แหละ ได้เป็นคาถาพยากรณ์พระอรหัตผล ของพระเถระ
ฉะนี้แล.
จบอรรถกถามหานามเถรคาถา

1. ปาราปริยเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระปาราปริยเถระ


[253] ได้ยินว่า พระปาราปริยเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราละผัสสายตนะ 6 ประการได้แล้ว เป็นผู้คุ้ม-
ครองทวารสำรวมด้วยดี กำจัดเสียได้ซึ่งสรรพกิเลส
อันเป็นมูลรากแห่งวัฏทุกข์ บรรลุความสิ้นอาสวะแล้ว.